>>ที่นี่ยังคงหายใจ “เชียงใหม่”<< InternLove ประสบกาณ์ฝึกงานของผมหนุ่มเชียงใหม่สู่แดนศิวิไลซ์กรุงเทพฯ [[ 18 + ]]

>>ที่นี่ยังคงหายใจ “เชียงใหม่”<< InternLove ประสบกาณ์ฝึกงานของผมหนุ่มเชียงใหม่สู้แดนศิวิไลซ์กรุงเทพฯ [[ 18 + ]]

ลองเปิดฟังดูระหว่างอ่านจะได้อรรถรสดีนะครับ

<<  sekai no yakusoku  >>
<<  snow flower  >>
<<  i believe  >>


// เรื่องที่ผมกำลังจะเล่านี้ เป็นเรื่องจริงจากการฝึกงานของผมตลอด 2 เดือนที่ผมฝึกงานครับ ผมพยายามตัดเอาเรื่องสำคัญๆมาบรรยาย ด้วยความสามารถที่ผมมี //



เอาหละ . . . มันเริ่มต้นจากตรงไหนกัน ?





ผมเป็นนักศึกษาจากมหาลัยหนึ่งในตัวเมืองเชียงใหม่ ด้วยความที่ตัวผมเองนั้นชอบการเดินทางและความท้าทาย ผมจึงพยายามหาที่ฝึกงาน และค่อนข้างไกลบ้าน จนผมได้มีโอกาสมาฝึกงานที่กรุงเทพครับ ด้วยความที่ผมสมัครมาฝึกงานที่บริษัทนั้นคนเดียว ผมจึงไม่มีรูมเมท และผมอยู่ตัวคนเดียว กอรปกับตำแหน่งที่ผมฝึกงานอยู่นั้น ไม่ตรงกับสายผมเอาเสียเลย ผมค่อนข้างดิ้นรนครับ กลับมาจากที่ทำงานผมก็เจอแต่ห้องสี่เหลี่ยม...

มันดูอ้างว้าง และ เหงามาก

ผมเข้าใจความรู้สึกของคนเมืองใหญ่ก็ครั้งนี้แหละครับ

แม้เราจะเดินทางบนเส้นทางBTSเดียวกัน แต่เราไม่รู้จักใครเลย การยืนเบียดใกล้กันไม่ช่วยทำให้เรารู้สึกใกล้กันเลย มันคือความเหงาท่ามกลางผู้คน
มันเป็นการหลงทางที่สมบูรณ์แบบ ขณะที่ทุกคนต้องดิ้นรนซื้อตั๋วBTSในช่วงเช้า ผมกลับไม่รู้ว่าต้องทำยังไง ผมไม่กล้าถามแม้แต่ จนท.
"สยามพารากอน" ทำไมมันดูกว้างจัง ผมอยากกินข้าว ผมไม่รู้จะหาอะไรกินถูกๆอร่อยๆ ผมคิดถึงข้าวต้มย้งแถวบ้านผม ทำไมคนที่นี่ดิ้นรนกันจัง

ทำไมที่นี่หมุนเร็วจัง ผมตามไม่ทัน ผมเหนื่อย. . .

กรุงเทพฝนตก... ผมพยายามวิ่งหาที่หลบฝน เหมือนฟ้าแกล้งหรือยังไง ผมเห็นพี่ๆออฟฟิศชายหญิงคู่หนึ่ง ยืนจับมือกัน ทั้งคู่ดูมีความสุขกันจัง ผมตัดสินใจเดินกลับมาที่ห้องทั้งๆที่ฝนตกนั้นแหละ ผมเดินเข้าห้องไปในสภาพที่ตัวโชกฝนที่สุด มองออกไปนอกหน้าตาของห้องผมชั้น 15

แสงสีไม่ได้ทำให้คนเราคลายเหงาได้เลย ตึกระฟ้าที่แข่งกันสูงและสวย ไม่ได้ช่วยให้เราดีขึ้นเลย

"เอาหน่า ก็แค่เหงา เดี๋ยวมันก็ผ่านไป" ผมคิดกับตัวเองเช่นนี้เสมอ ผมสลัดความรู้สึกดราม่าออกจากหัวของผม ตรงดิ่งเข้าห้องน้ำถอดชุดที่เปียกโชก ...




// และการเดินตากฝนดราม่าของผมครั้งนี้ ได้นำพาผมมาเจอกับเธอ //

ผมรวบรวมเสื้อผ้าทั้งผมที่ผมหมักหมมมาตลอดครึ่งเดือนออกมาซัก ผมตัดสินใจว่า คืนนี้ผมจะไม่เหงาอีกต่อไป ผมจะไปลาดพร้าว แต่ไปยังไงนี่สิประเด็น ขณะที่รอปั่นผ้า ผมไม่รอช้าที่จะเอามือถือผมควักออกมาsearchหาวิธีการไป แต่อะไรคือ MRT ??? BTS ?? AIRPORT LINK  ?!?!??  ถ้าคุณเป็นคนตจว. ผมเชื่อว่าการจดจำสถานีในช่วงแรกๆนั้นเป็นอะไรที่เกรงมากๆ ผมจึงตัดสินใจถามคนที่อยู่ตรงนั้น. . .

เธอคือผู้หญิงที่อยู่ในเสื้อยืดขาวกางเกงยีนขาสั้น หน้าตาเพิ่งตื่นนอนคนนั้น

"เออ พี่ครับ ขอโทษนะครับ ผมจะไปลาดพร้าวได้ยังไงครับ ?"
"อ่อออ น้องก็ )(*(@&&^&@^&*&$#(@&!%"

อะไรวะ ??? ผมยิ่งทำหน้างงกว่าเดิม เพราะสิ่งที่เธอพูดไม่ได้ช่วยให้ผมเข้าใจขึ้นเลย  แล้วในขณะที่ผมกำลังหาทางไปต่อ เครื่องปั่นผมก็หยุดลง ผมกำลังจะเดินไปหยิบผ้า เวรละครับ

{{ ผู้หญิงคนที่ผมถามทาง กำลังจับกนน.ผมออกจากตู้ปั่น !!!}}

ยังไม่พอ เธอกางกนน. ผมออกดูเหมือนจะเช็คว่าของ ผช หรือ ผญ ด้วยความอายสุดๆ ผมรีบวิ่งไปคว้าจากมือเธอ...
แล้วสายตาทั้งคู่ก็สบกัน เหมือนนิยายน้ำเน่าแต่ผมบอกตรงๆว่าผมเขินสุดๆ ผมขอโทษเธอยกใหญ่ เธอเริ่มพูดถึงมารยาทการใช้ตู้ปั่นที่นี่ เพราะเหมือนผมไปแซงคิวเธอหรือยังไง ผมโดนเทศน์ แต่การเทศน์ครั้งนี้มาจากคนแปลกหน้า ผมอายจนไม่รู้จะมุดหน้าไปไว้ไหน แล้วเธอก็เริ่มเปลี่ยนเรื่องคุย ถามถึงที่ที่ผมจะไป เราขึ้นลิฟท์ตัวเดียวกัน

[ [ เธอยื่น มือถือเธอมาให้ พร้อมช่องกรอกLine ID ] ]

แล้วเธอก้ทักมา
"สวัสดีคะ >W< ตัวเองชื่อไร ??"
"เราชื่อ ดิว นะ "
"อายุเท่าไหร่จ๊ะ เรา 25 เอง"
"ไม่ต้องเรียกพี่หรอก"

คืนนั้นสรุปเราเริ่มต้นด้วย การที่เธอพาผมไปเที่ยว โซนชาวต่างชาติแห่งหนึ่ง ...

เราเริ่มบทสนทนาด้วยการถามถามชื่อ เธอชื่อ "ดิว" ส่วนผมชื่อ "ต้น" เราเริ่มต้นด้วยบรรยากาศที่มันอบอวล จะบอกว่าเป็นพี่ก็ใช่ แต่ก็ไม่เชิง หรือเป็นเพราะผมมีเพื่อนคนแรกในรอบครึ่งเดือนมานี่ก็ไม่ทราบ ผมเริ่มถามคำถามในบทสนทนา...

"เธอ ไม่กลัวเราหรอ ชวนคนแปลกหน้ามาเที่ยวด้วยกัน ?" เป็นครั้งแรกที่ผมพูดแบบนี้กับคนที่ห่างกับผม 4 - 5 ปี

เธอตอบว่าเธอทะเลาะกับเพื่อน และอยากพูดและพักผ่อนกับใครซักคน ที่อย่างน้อยไม่รู้จักเธอ แต่ก็พร้อมรับฟังเธอ วันนั้นเราคุยกันเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นความฝัน ความชอบ ความคิดเห็น สเปกผช ผญ แต่ที่ทำให้ผมช๊อกคือ

เธอเป็น พิธีการ และ นางแบบ ...

เห้ย !!?! ผมตกใจเบาๆ แต่ก็ไม่แปลก เพราะเธอเป็นคนคุยเก่งมากๆ เธอสวยดูดี ลุคเธอดูเป็น "นางพญา"มากๆ ในขณะที่ผมเป็น "หมาปั๊ก"โง่ๆ ตัวนึง เราจบการดื่มของเราอย่างสวยงาม โดยที่เธอพาผมไป Foodland ซึ่งที่เชียงใหม่ไม่มี ดังนั้นมันจึงเป็นอะไรที่แปลกใหม่สำหรับผมมากๆ

ผมมาส่งเธอที่ห้อง. . .





"จูบ" -///- ไม่มีคำพูดใดๆ เราแค่จูบกัน เธอสัมผัสใบหน้าผมด้วยมืออันแผ่วเบา ผมโอบกอดเอวเธออย่างนุ่มนวลที่สุด
"เราสวมกอดกันเหมือนแหวนแต่งงานบนนิ้วนางของหญิงสาว"  ไม่เกินเลยไปกว่านั้น เราบอกลาคืนอันแสนวิเศษนี้ ...



// ผมตื่นเช้าด้วยอาการที่แฮงค์และโลกหมุน  //

ผมจำได้ว่าเมื่อคืนเธอบอกว่าปวดหัว ด้วยความเป็นห่วง ผมเลยซื้อยาแก้ปวดและโจ้กไปให้เธอ แต่เธอดีขึ้นแล้ว เธอเลยพาผมไปสนามหลวง แต่เธอไม่เคยขึ้นรถเมล์เลย เธออยากมีเพื่อนขึ้น วันนั้นเราไปเที่ยวสนามหลวงด้วยรถเมล์ราคาเพียง 7 บาท สาย 60 คืนนั้นเราเดินเที่ยวไปถึงถนนข้าวสาร ถนนที่ผมเคยได้ยินแต่ในทีวี แต่วันนี้ผมได้มาเดินจริงๆแล้ว

เรานั่งกินผัดไทกันข้างทาง และเธอก็เล่าให้ผมฟังถึงชีวิตเธอ และทำให้ผมได้รู้ว่า ...

การเป็นนางแบบหรือพิธีกรสำหรับผู้หญิงนั้นไม่ง่ายเลย แม่พวกเธอจะสวยและดูเพียบพร้อม แต่เธอมักถูก เสี่ย เฮียรวยๆ ทักมาเสมอ ชวนไปกินข้าว ไปนอนด้วย เหมือนเธอเป็นของเล่น บางครั้งงานที่ติดต่อมา ผมแทบไม่อยากเชื่อว่ามันคืองาน เช่น งานนั่งกินข้ากับผู้ใหญ่ ชั่วโมงละ 14000 ??  นี่เรายังไม่ได้นับที่การเป็น pretty อีก

เหมือนนกในกรงทอง ยังไงยังงั้น

ผมมองย้อนมาในตัวผม ...

เป็นเพียงนักศึกษา เราสนุกกับการไปเที่ยวกับเพื่อนๆ แม้เราไม่มีเงินแต่เราก็มีความสุขกับอะไรโง่ๆได้ ไม่ว่าจะเป็นการกินเหล้าเมาเหมือนหมา ทำกิจกรรมต่างๆ ชีวิตนักศึกษา

ในขณะที่ผมยังเป็นเด็กน้อยที่ล่องลอยอยู่ในความฝัน เธอที่โตกว่าผมออกจากความฝันมานานมากแล้ว

มีบางครั้งที่เราสองคน รู้สึกเหมือนกัน แต่ มันเป็นไปได้บ้างไหม กับความรักแบบนี้ ? ลึกๆแล้ว แม้เธอจะดูเข้มแข็ง แต่ภายในเธออ่อนแรงเหลือเกิน กับผู้ชายมากมายที่เข้ามาต้องการจะครอบครองเธอ ถึงแม้ช่วงเวลาสั้นๆแบบนี้จะเป็นเพียงแค่ความฝัน

งั้น...

กับเธอที่คงอยู่ในความจริง ผมอยากเพียงกล่อมเธอให้หลับสบาย เป็นฝันที่ดีของเธอ ก่อนที่เธอจะตื่นมา...

เราเที่ยวเล่นกันอยู่ในห้วงเวลาที่หยุดอยู่ชั่วขณะ แต่มันไม่ได้มีเพียงแค่ฝันดี. . .

มีคืนนึงเธอพาผมไปพบกับเพื่อนๆของเธอ แน่นอน ผมเป็นเพียงเด็กน้อยในวงนั้น แต่เธอไม่เคยปล่อยมือผมว่างเลย เธอเพียงจับมือและส่งตายตาให้กับผม เหมือนบอกเป็นนัยๆว่า "เข้มแข็งหน่อยสิ เราไม่ทิ้งเธอหรอก"

เพื่อนเธอ เธอและผม เราไปเที่ยวกันที่ผับหนึ่งแถวรัชดา ในขณะที่เธอและเพื่อนเธอแต่งตัวดูดี ใส่ส้นสูง ชุดเดรสเหมือนชุดราตรี ผมใส่เสื้อเชิ้ตที่คิดว่าดูดีที่สุด กางเกงสแลคโนเนม รองเท้าหนังขาดๆ แต่เพื่อนเธอและเธอกลับดูแลผมเหมือนเป็นทั้งน้องและเพื่อนเธอ

แต่งานเลี้ยงก็ต้องมีวันเลิกรา ในระหว่างที่เธอและเพื่อนเธอกำลังขับรถไปส่งผมกับเธอที่พัก (ซึ่งเป็นที่เดียวกัน)

เราเจอด่าน. . .

เธอและเพื่อนเธอ กินไปหนักกว่าผมมากๆ ในขณะที่ผมก็กินแต่หนักไม่เท่า ผมจึงเลือกที่จะเป่าแทนพวกเธอ

สรุป เป็นครั้งแรก ที่ผมมากทม. และเป็นครั้งแรกที่ ผมได้นอนคุก

"ปริมาณ alcohol ของผมพุ่งไปแตะ 220 เกินมาตรฐานกำหนด"

ในขณะที่ผมกำลังเดินเข้าคุก เธอมายืนเกาะลูกกรงและถามผมว่า
"ทำไม ต้น ทำแบบนี้ ??"
"ทำไมต้น ต้องรับแทนด้วย"
"ทำแบบนี้ทำไม"
"คิดว่าเท่ห์มากใช่ไหม ?"

ผมจำสายตาในคืนนั้นที่เธอมองผมได้ น้ำตาเธอผสมกับอายไลน์เนอร์ มาสคาร่าบนขนตาเธอ อาบแก้มเธอทั้งสองฝั่ง เธอร้องไห้ให้ผม แววตาคู่นั้นทำให้ผมนึกถึงหงษ์ดำ เธอเหมือนหงษ์ดำ เธอลึกลับมาก เบ้าตาที่ดูมืดมิดนั้นเหมือนกำลังกุมความรู้สึกอะไรบางอย่างไว้ และเธอกำลังร่ำไห้ให้ผม

ผมตอบเธอไปไม่มาก เพียงบอกว่า
" เอาหน่าาา อย่างน้อยเธอก้ไม่ได้เข้าคุก ก็ดีแล้ว เป็นผู้หญิงเข้าคุกไม่ดีหรอก " และผมก็หลบมุมไปหลบ

เมื่อฤทธิ์แอลกอฮอลหมด ผมตื่นเช้าขึ้นมา และพบว่าตัวเองอยู่ในห้องขังนั้นเพียงคนเดียว ความร็สึกของผม... ผมกลัว ผมจะได้ออกไปไหม ?? กฎหมายใหม่ที่ไม่รอลงอาญา ผมจะโดนเข้าคุกจริงไหม ผมกลัว แต่ในความกลัวนั้น ผมกลับมีความสุข เพราะอย่างน้อยเธอก็ไม่ได้เข้าคุก เที่ยงวันนั้นเธอกลับมาพร้อมกับเพื่อนๆของเธอ

เธอกุมมือผมผ่านทางลูกกรง เธอบอกกับผมว่า "รอเธอกลับบ้านไปเอาเงินก่อนนะ ดิวจะพาต้นออกมานะ" น้ำตาเธออาบมือผม
เป็นอีกครั้งที่เธอร้องไห้โดยไม่อายตำรวจ

ผมรอเธอในห้องขังนั้น คนเดียว ผมยังจำความรู้สึกช่วงนั้นได้ดี ผมเดินวนอยู่ในนั้น นับวินาทีที่เดินได้ครบ1รอบ มันคือ 25 วินาที ผมเดินมันอย่างนั้นเป็นพันกว่ารอบสลับการเกาะลูกกรง หวังว่าเธอจะไม่ทิ้งผม ผมภาวนา ผมกลัวเหลือกเกิน

และแล้วเธอก็มารับผม เวลา 1 ทุ่ม . . .

เรากลับมาที่ห้องเตรียมตัวก่อนที่พรุ่งนี้จะต้องไปศาล เราผ่านเรื่องร้ายนี้ไปได้ เธอพาผมไปกินร้านก๋วยเตี๋ยวร้านโปรดเธอ เรานั่งกินก๋วยเตี๋ยวกัน

ในระหว่างที่เรากำลังกินก๋วยเตี๋ยวกัน เพื่อนเธอไลน์มาบอกกับผมว่า เธอคนนี้ที่ช่วยผม กลับบ้านไปเอาเงิน ซึ่งไม่พอมาประกันผม เธอหาเงินอีก 10,000 มาด้วย

เธอยังไม่ได้นอนจนถึงตอนนี้. . .

เราหัวเราะให้กับวีรกรรมของครั้งนี้ของกันและกัน เราหัวเราะกับเรื่องไม่เป็นเรื่อง เราเข็ดกับดรากินเหล้าแบบนี้ไปอีกนาน

ในขณะผมจะส่งเธอกลับมาที่ห้อง เธอรั้งมือผมไว้ก่อนที่จะพูดว่า

"คืนนี้อยู่ด้วยกันก่อนได้ไหม ?"

ผมเข้าไปในห้องเธอที่หอมกลิ่นกำยาน เรานอนดูหนังเรื่องโปรดของกันและกัน "The letter" และ "Howl ' s the moving castle"
เราพูดอะไรไม่มากในคืนนั้น มือที่ประสานกันแน่น เธอมองตาผมและน้ำตาก็ทำงานของมัน . . .

จูบที่เธอส่งให้ผม . . .ผมไม่ได้ฝันไปใช่ไหม ? ทำไมเธออ่อนโยนจัง
เธอ คนที่อยู่ไกลจากความเป็นจริงของผม
เธอ คนที่อ่อนโยน และ เข็มแข็งในเวลาเดียวกัน
เมื่อเราสวมกอดกัน มันเหมือนเป็นจุดบรรจบของความฝันและความเป็นจริง
แม้คืนนั้นเราไม่ได้มีอะไรกัน แต่ให้มันเป็นไปในทางแบบนี้ก็ดีแล้ว...  

เราตื่นเช้ามาในวันนั้น ผมจำได้ว่าเป็นวันหยุด เธอเป็นคนที่ชอบอยู่คนเดียวและไม่ออกไปไหน แตกต่างจากผมที่ชอบออกไปเดินเล่น

เรามีความสุขและทุกข์ร่วมกันตลอด 2 เดือนที่อยู่ด้วยกัน เวลาหมุนเร็วจัง

แม้เราอายุจะแตกต่างกัน แต่เราไม่เคยแตกต่างกันเลย แต่แล้ววันนึง. . .




// เมื่อถึงเวลาที่ผมและเธอต้องตื่น  //


ระยะห่างระหว่างความฝันและความเป็นจริงเท่ากับเปลือกตา
เหมือนตกจากที่สูงและตื่นขึ้นมา

เธอนัดกับผมมาในเย็นวันนึง เธอก็ยังดูเป็นพญาหงษ์ดำในสายตาผมและคนอื่นๆ แต่แล้วเมื่อเธอเอ่ยประโยคที่เป็นทุกข์

"ต้น ดิวว่า เราหยุดเรื่องแค่นี้กันเถอะ"

ด้วยเหตุผลที่เธอมี และการควบคุมวงสนทนาของเธออย่างอยู่หมัด

"ต้น ดิวไม่ได้อายุ 25 ดิวอายุ 28 ดิวของโทษนะ ที่โกหกต้นแบบนี้ ต้นแค่ 21 ต้นต้องไปเจอกับอะไรที่มากกว่านี้นะ ทางเดินยังอีกยาวไกล ตั้งใจเรียนนะ จบออกมาจะได้ดูแลพ่อแม่ได้ มีคนที่พร้อมจะรักกับต้นอีกเยอะ คนที่สาวกว่าดิว คนที่ใกล้กว่าดิว ดิวรู้ว่าต้นรักดิวนะ แต่ดิวไม่ได้รักต้น . . . "

มีต่อนะครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่