การมาอยู่ประเทศอังกฤษมา 2 ปี มีหลายเรื่องที่เราได้เรียนรู้ จากการได้คลุกคลี พูดคุย ใช้ชีวิตกับคนที่นั่น บางเรื่องก็ประหล้าด ประหลาดจนน่าตกใจ บางเรื่องประหลาดจนน่าขำ … มาดูกันค่ะว่า เพื่อนๆเคยได้รู้เรื่องพวกนี้รึเปล่า ^^
1. เรื่องส้วมๆ กับ ผู้ดีอังกฤษ … จริงมั้ยที่ว่า … คนอังกฤษไม่กดชักโครก?
จริงค่ะ!!! แต่เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นนะคะ …
ฉันเพิ่งได้ความรู้ใหม่อย่างนึง หลังจากได้รับเชิญไปค้างกับครอบครัวชาวอังกฤษแท้ๆ ว่า “เข้าส้วมตอนกลางคืน ไม่ต้องกดชักโครก” …. ถูกแล้วค่ะ คนอังกฤษถ้าเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน เค้าจะไม่กดชักโครกกันนะคะ เค้าก็จะปล่อยๆไว้ หรือ บางคนก็วางทิชชู่ทับไว้ และ จะกดนำ้ทีเดียวตอนเช้าเลย ><
… ไอ่เราก็ งง ซิคะ … เคยถามเหตุผล เค้าบอกมาว่า “เกรงใจ” เพราะคนอื่นในบ้านนอนหลับกันอยู่ จะกดได้ยังไง เสียงดับ รบกวนคนอื่นเค้า ==’ อืมมมมม แล้วยังไงล่ะ ก็เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามค่ะ YY
ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปพักกับคนอังกฤษเข้าล่ะค่ะ อย่าเผลอกดชักโครกตอนกลางคืนนะคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่า ไม่มีมารยาทเอาได้ (กรณีนี้ ใช้กับการถ่ายเบานะคะ ถ้ากรณีจำเป็นหนัก ก็กดเถอะค่ะ อย่างทิ้งไว้ให้เค้าดูต่างหน้าเลยค่ะ 555)
2. อีกซักนิดกับเรื่องส้วมๆ โค้ดลับของการเข้าส้วม
เวลาเข้าส้วมคนไทยมีโค้ดลับกันว่า “หนัก เบา” (จริงๆ ก็ไม่ลับเน๊าะ ใครฟังก็รู้ 555) ผู้ดีอังกฤษเค้าก็มีโค้ดลับกันนะคะ เค้าแรกกันว่า “เบอร์ 1″ กับ “เบอร์ 2″ ค่ะ (1 = เบา, 2 = หนัก)
ถ้าใครเคยดูซีรี่ย์เด็กเนิร์ดชื่อดังเรื่อง “The big bang theory” … ในตอนที่ Howard ได้ไปเจอกับผู้หญิงที่เขาเคยนัดเดทด้วย แต่ก่อนจะได้ทำอย่างว่ากัน เขาก็เกิดปวดท้องเข้าห้องน้ำซะก่อน … ซวยยิ่งกว่านั้น ชักโครกของสาวเจ้าก็ดั๊น กดไม่ได้ Howard จึงมีความจำเป็นต้องชิ่งสาวเจ้า แล้วหนีไปเลย … ต่อมาเมื่อเขาได้มาเจอสาวเจ้าอีกครั้ง เค้าก็เล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า “I did the number on her bathroom … and the number was two” ซึ่งก็คือ ฉันเคยไปขรี้ในส้วมบ้านเทอนั่นเองค่ะ
คราวนี้เวลาได้ยินใครเค้าบอกว่า เค้าจะไปทำ เบอร์ 1 เบอร์ 2 ก็เป็นที่เข้าใจกันนะคะ อย่าไปถามเซ้าซี้เค้าค่ะ … เดี๋ยวเค้าจะอายย ><
3. คนอังกฤษ เรียก “สมูตตี้” ว่า “สมูฟวี่”
**** (อันนี้มีเพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ตามหลักภาษาแล้ว ไม่ควรออกเสียงแบบนี้นะคะ คือไม่ควรออกเสียง th เป็น f ค่ะ ถ้าออกเสียง th แล้วเค้าเข้าใจได้จะดีมาก ...ลองๆ กันดูนะค แต่สำหรับเรา เราออกเสียง th แล้วเค้าไม่เข้าใจ แต่พอเราใช้เสียง f แล้วทุกคนเข้าใจอ่ะค่ะ เพื่อนๆ คนอังกฤษที่เรารู้จักก็สอนเราแบบนี้ เอาเป็นว่า เพื่อนๆ ลองหาข้อมูลกันดูอีกรอบแล้วกันนะคะ)
อันนี้เป็นคลิปตัวอย่างจากเพื่อนๆ ที่ช่วยหาตัวอย่างมาให้พวกเราดูกันนะคะ กับการออกเสียงคำว่า Smoothie ทั้งสองแบบ "สมูทที้" และ "สมูฟวี่" ... พิธีกรเป็นคนอังกฤษทั้งคู่ แต่ออกเสียงต่างกัน ซึ่งอาจจะมาจากท้องถิ่นที่ต่างกันค่ะ ... เอาไว้ดูความแตกต่างนะคะ
เราเคยพลาดมาแล้ว หลังจากอยู่อังกฤษมาได้ปีนึง ฉันเริ่มรู้สึกว่า “บานเบอะ” อ้วนมาก … นี่คือเรื่องปกตินะคะ คนที่ไปอยู่อังกฤษ เริ่มต้นเลย จะผอมลงก่อนค่ะ เพราะว่าช่วงแรกๆ เราไม่คุ้นกับอาหาร เราทานแซนวิสเย็นๆ ไม่อร่อย อาหารอังกฤษที่เราคิดว่า โอ้ยย สบาย ชั้นชอบอาหารฝรั่ง แต่ ลองมาเถอะค่ะ แรกๆ กินยังไง๊ ยังไงก็ไม่อร่อย (ถ้าจะให้อร่อย ถ้ากินที่ร้านอาหาร แต่จะเอาเงินที่ไหนไปกินคะ อย่างดีก็ซื้อตามซุปเปอร์มาเก็ตค่ะ) …. พอผ่านจุดของการกินไม่ได้ไปแล้ว ต่อมาเริ่มจะชินค่ะ เริ่มจะปรับตัว เริ่มเจอของที่ใช่ อาหารที่ชอบ จากนั้นหละค่ะ อย่าไปดู อ้วนนนนนนนแน่นอนค่ะ
ส่วนตัวเรา พอผ่านพ้นปีแรกไป ก็ชักจะเริ่มสำเหนียกได้ว่า “อ้วน” พอไปนั่งร้านกาแฟ จากที่เคยสั่งแต่กาแฟหอมหวาน ครีมท่วม เลยอยากสั่ง สมูทตี้ดูบ้างค่ะ เพื่อสุขภาพ … เอาความผอมเพรียมของช้านนนคืนมา 555
คนขาย: What can I help you? (ให้ชั้นช่วยอะไรบ้าง?)
เรา: (พูดอย่างมั่นใจ แหม่ อยู่มาเป็นปีละ ภาษาชั้นดี) แคน ไอ แฮฟ เอ สมูทตี้ พลีส?
คนขาย: Of course. (ได้เลย)
จากนั้นคนขายก็หันขวับไปจับแก้ว ไอเราก็นึกสงสัย นี่เค้าจะไม่ถามเลยเหรอว่าชั้นจะกินรสอะไร!!! เค้าจะทำถูกได้ไงฟร่ะ??!??? 10 วินาทีถัดมา นางก็วางแก้วน้ำเปล่าแก้วนึงตรงหน้าเรา แล้วบอกว่า Here we go!! (ได้แล้ว น้ำของเทอออออ)
เรา: อึ้งงงงงงง สั่งน้ำปั่นผลไม้ ได้นำ้เปล่า T^T ได้แต่รับน้ำแก้วนั้นไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม 555 (สรุปวันนั้น เดินมาอีกรอบ ละสั่งกาแฟค่าาา ><‘)
มารู้ทีหลัง ที่วันนั้นเราไม่ได้กิน สมูตตี้ เพราะ เราออกเสียงผิดต้าาาา …. เพื่อนคนอังกฤษบอกว่า ที่เค้าฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะเราออกเสียผิดค่าาาา เราออกเสียง สมูทที้ เค้านึกว่าเราขอ วอเต้อ จร้าาา …. ที่ถูกต้อง “สมูฟวี่” เหมือน movie ที่แปลว่าหนังอ่ะค่ะ
4. การพูดภาษาอังกฤษ สำเนียงไม่ต้องเน้น เอาให้เข้าใจก็พอ?!?!?! ไม่จริ้งงงง ไม่เข้าใจค่ะ!!
ได้ยินกันบ่อยๆ คนไทยชอบพูดกันว่า … พูดภาษาอังกฤษ อย่ากระแดะ!! พูดให้เข้าใจก็พอ … ไม่จริ้งงงค่ะ ปัญหาคือ เค้าจะไม่เข้าใจน่ะสิค่ะ การพูดภาษาอังกฤษ การเน้นเสียงสูงเสียงต่ำสำคัญมาก อันนี้นักเรียนที่ไปเรียนเมืองนอกจะรู้กันดี … เพราะถ้าใช้โทนเสียงเดียว เค้าจะไม่เข้าใจค่าาา แล้วก็อาจจะอับอายได้ แบบเรานี่แหละ 555
เรื่องออกเสียงนี่ก็ทำเราหน้าแหกกกก มาหลายทีแล้ว … ช่วงครึ่งปีแรกที่เราไป เราจะไม่ขึ้นรถเมล์เลยค่ะ เพราะกลัว … แต่พอครึ่งปีหลัง ปีกล้าขาแข็ง ขึ้นอย่างห้าวหาญ อยากจะไปห้าง Sainsbury พอขึ้นรถ รถเมล์ที่อังกฤษจะต้องบอกคนขับว่าจะไปลงที่ไหน แล้วจ่ายเงินตอนขึ้นเลยนะคะ
เรา: เซน-เบอ-รี่ พลีส?
คนขับ: What? (พร้อมกับทำหน้า งง มาก)
เรา: (อายยย แต่ก็ขึ้นมาแล้ว เอาวะ ลองใหม่ๆ) เซ้นนนนนนนน เบอ รี่
คนขับ: £@$£@!!@£ (เค้าคงคิดในใจ นี่

พูดภาษาต่างดาวเหรออออออ 555)
เรา: (นึกในใจ ซวยแล้ว คนรอขึ้นรถเต็มเลย แถวเริ่มยาว อายยยมาก แต่ เดอะโชว์มัสโกออน ลองใหม่ค่ะ) เซ็น เบ้ออออ รี่….. เซ้นนนน เบอ รี้ (ลากเสียงท้ายยาววววมากกก)
คนขับ: หน้าเริ่มบึ้ง เอามือป้องหู เงี่ยหูฟังใกล้เรามากกก แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ T^T
เราเริ่มถอดใจ เห้ออ เดินก็ได้ว่ะ โชคดีมีชายด้านหลังตะโกนมาว่า “เซ้นนนนน บรี้ ……” ป้าดดดด คนขับกดตั๋วอย่างรวดเร็ว แล้วบอกว่า £1.50 เท่านั้นแหละ เรารีบจ่ายเงิน แล้วขึ้นไปนั่งในมุมอับของรถอย่างรวดเร็ว อายมากกกกกก 5555
เพื่อนๆ คนไหนที่อยากฝึกภาษาเพื่อไปใช้จริงๆ ที่ ต่างประเทศนะคะ อย่าลืมฝึกการพูด ฝึกสำเนียงเค้าด้วยนะคะ ดูหนังจากบ้านเค้าเยอะนะคะ พอไปจริงๆ จะได้ไม่ยากมาก (แบบเรา)
5. เด็กฝรั่งพ่อแม่เลี้ยงแค่ 18 จริงมัย้??
เรื่องจริงนะคะ จากการที่เราสอบถามเด็กอังกฤษส่วนใหญ่มา … พออายุ 18 เค้าก็จะต้องทำงานเลี้ยงตัวเองกันแล้วล่ะค่ะ (สำหรับครอบครัวชั้นกลางทั่วๆ ไปนะคะ)
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเด็กฝรั่งกับเด็กไทย เท่าที่เราได้สัมผัสมา เด็กของเค้าจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กไทยมาก ความคิดความอ่าน ความรับผิดชอบ เด็กปริญญาตรีปี 1 บางคน ทำงานเก็บตังค์ แยกเป็นส่วนๆ วางแผนการเงินได้ดีกว่าเราซะอีก
เด็กโตเร็วแบบนี้ก็เพราะวัฒนธรรมการเลี้ยงดูของเค้านั่นเองค่ะ คือรัฐบาลของอังกฤษเค้าจะจ่ายเงินให้พ่อแม่นะคะ สำหรับการเลี้ยงดูลูกแต่ละคน เช่น เมื่อคุณมีลูกไปแจ้งรัฐ รัฐจะจ่ายให้เลย เช่น ถ้าลูกคุณ 1 คน เอาไป £100 ต่ออาทิตย์, ลูก 2 คน เอาไป £180 ต่ออาทิตย์ (บางคนเค้าก็ว่ากันว่า อยากสบาย ก็มีลูกเยอะๆสิ 555) … รัฐจะให้แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกอายุครบ 18 ปีค่ะ … พูดง่ายๆ คือตั้งแต่เกิดถึงอายุ 18 รัฐเลี้ยงมาตลอด โรงเรียนก็ไม่ต้องจ่าย เจ็บป่วยก็รักษาฟรี พ่อแม่ก็ไม่ลำบากมาก
พอถึงเวลาอายุ 18 ปุ๊บ พ่อแม่ส่วนใหญ่ในครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลาง ก็จะเลิกเลี้ยงลูกค่ะ … เค้าจะให้ลูกไปกู้เงินค่าเทอม เหมือนเงินกู้ กยศ ไทยนี่แหละค่ะ และ ก็ให้ทำงานหาเงินเอา … บางบ้าน ถึงขนาดให้ย้ายไปอยู่ข้างนอก ถ้าจะอยู่บ้านก็ต้องช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟ!!
การที่เด็กฝรั่งทำงานพิเศษ จึงถือเป็นเรื่องปกติมากกกกกก ทุกคนก็ทำงานเก็บเงินกัน ความรับผิดชอบเค้าก็เลยสูง บางบ้าน เตรียมลูกตั้งแต่อายุ 16 ว่า ถ้าอยากได้ของอะไรพิเศษๆ ต้องทำงานเก็บเงินเองนะ พ่อแม่จะไม่ซื้อให้ ลูกก็จะชินกับการเก็บเงินและหาเงิน พอ 18 ปุ๊บ ทำงานได้ตามกฏหมาย ก็วิ่งออกไปหางานกันได้เลยค่ะ
เราว่าการเลี้ยงแบบนี้ก็ดีนะคะ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐบาลของเราด้วย … แต่ยังไงก็น่าจะเอามาปรับใช้บางส่วนได้นะคะ เด็กๆจะได้ฝึกความรับผิดชอบ และ มองว่าการทำงานพิเศษเป็นเรื่องที่น่าชมเชยค่ะ ^^
ขอจบไว้แค่ 5 ก่อนนะคะ … เอาไว้มีเวลา เราจะเอาอีก 5 ข้อมาเล่าสู่กันฟังต่อค่ะ ….
*****************************************************************
เพื่อนๆ คนไหนอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอังกฤษ การเรียน การทำงาน การท่องเที่ยว เราจะพยายามเอาประสบการณ์มาเล่าให้มากที่สุด หรือเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเรื่องอะไร ก็สามารถสอบถามเราได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ สามารถเข้ามาพูดคุยกันในบล็อคของเราได้เลยนะคะ
http://indyinuk.com/
10 เรื่องน่ารู้ วัฒนธรรมของคนอังกฤษ … อยากมาเรียนที่นี่ ต้องรู้ไว้!! (ตอนที่ 1)
1. เรื่องส้วมๆ กับ ผู้ดีอังกฤษ … จริงมั้ยที่ว่า … คนอังกฤษไม่กดชักโครก?
จริงค่ะ!!! แต่เฉพาะตอนกลางคืนเท่านั้นนะคะ …
ฉันเพิ่งได้ความรู้ใหม่อย่างนึง หลังจากได้รับเชิญไปค้างกับครอบครัวชาวอังกฤษแท้ๆ ว่า “เข้าส้วมตอนกลางคืน ไม่ต้องกดชักโครก” …. ถูกแล้วค่ะ คนอังกฤษถ้าเข้าห้องน้ำตอนกลางคืน เค้าจะไม่กดชักโครกกันนะคะ เค้าก็จะปล่อยๆไว้ หรือ บางคนก็วางทิชชู่ทับไว้ และ จะกดนำ้ทีเดียวตอนเช้าเลย ><
… ไอ่เราก็ งง ซิคะ … เคยถามเหตุผล เค้าบอกมาว่า “เกรงใจ” เพราะคนอื่นในบ้านนอนหลับกันอยู่ จะกดได้ยังไง เสียงดับ รบกวนคนอื่นเค้า ==’ อืมมมมม แล้วยังไงล่ะ ก็เข้าเมืองตาหลิ่ว ต้องหลิ่วตาตามค่ะ YY
ถ้าเพื่อนๆคนไหนได้ไปพักกับคนอังกฤษเข้าล่ะค่ะ อย่าเผลอกดชักโครกตอนกลางคืนนะคะ เดี๋ยวเค้าจะหาว่า ไม่มีมารยาทเอาได้ (กรณีนี้ ใช้กับการถ่ายเบานะคะ ถ้ากรณีจำเป็นหนัก ก็กดเถอะค่ะ อย่างทิ้งไว้ให้เค้าดูต่างหน้าเลยค่ะ 555)
2. อีกซักนิดกับเรื่องส้วมๆ โค้ดลับของการเข้าส้วม
เวลาเข้าส้วมคนไทยมีโค้ดลับกันว่า “หนัก เบา” (จริงๆ ก็ไม่ลับเน๊าะ ใครฟังก็รู้ 555) ผู้ดีอังกฤษเค้าก็มีโค้ดลับกันนะคะ เค้าแรกกันว่า “เบอร์ 1″ กับ “เบอร์ 2″ ค่ะ (1 = เบา, 2 = หนัก)
ถ้าใครเคยดูซีรี่ย์เด็กเนิร์ดชื่อดังเรื่อง “The big bang theory” … ในตอนที่ Howard ได้ไปเจอกับผู้หญิงที่เขาเคยนัดเดทด้วย แต่ก่อนจะได้ทำอย่างว่ากัน เขาก็เกิดปวดท้องเข้าห้องน้ำซะก่อน … ซวยยิ่งกว่านั้น ชักโครกของสาวเจ้าก็ดั๊น กดไม่ได้ Howard จึงมีความจำเป็นต้องชิ่งสาวเจ้า แล้วหนีไปเลย … ต่อมาเมื่อเขาได้มาเจอสาวเจ้าอีกครั้ง เค้าก็เล่าให้เพื่อนๆ ฟังว่า “I did the number on her bathroom … and the number was two” ซึ่งก็คือ ฉันเคยไปขรี้ในส้วมบ้านเทอนั่นเองค่ะ
คราวนี้เวลาได้ยินใครเค้าบอกว่า เค้าจะไปทำ เบอร์ 1 เบอร์ 2 ก็เป็นที่เข้าใจกันนะคะ อย่าไปถามเซ้าซี้เค้าค่ะ … เดี๋ยวเค้าจะอายย ><
3. คนอังกฤษ เรียก “สมูตตี้” ว่า “สมูฟวี่”
**** (อันนี้มีเพื่อนๆ หลายคนบอกว่า ตามหลักภาษาแล้ว ไม่ควรออกเสียงแบบนี้นะคะ คือไม่ควรออกเสียง th เป็น f ค่ะ ถ้าออกเสียง th แล้วเค้าเข้าใจได้จะดีมาก ...ลองๆ กันดูนะค แต่สำหรับเรา เราออกเสียง th แล้วเค้าไม่เข้าใจ แต่พอเราใช้เสียง f แล้วทุกคนเข้าใจอ่ะค่ะ เพื่อนๆ คนอังกฤษที่เรารู้จักก็สอนเราแบบนี้ เอาเป็นว่า เพื่อนๆ ลองหาข้อมูลกันดูอีกรอบแล้วกันนะคะ)
อันนี้เป็นคลิปตัวอย่างจากเพื่อนๆ ที่ช่วยหาตัวอย่างมาให้พวกเราดูกันนะคะ กับการออกเสียงคำว่า Smoothie ทั้งสองแบบ "สมูทที้" และ "สมูฟวี่" ... พิธีกรเป็นคนอังกฤษทั้งคู่ แต่ออกเสียงต่างกัน ซึ่งอาจจะมาจากท้องถิ่นที่ต่างกันค่ะ ... เอาไว้ดูความแตกต่างนะคะ
เราเคยพลาดมาแล้ว หลังจากอยู่อังกฤษมาได้ปีนึง ฉันเริ่มรู้สึกว่า “บานเบอะ” อ้วนมาก … นี่คือเรื่องปกตินะคะ คนที่ไปอยู่อังกฤษ เริ่มต้นเลย จะผอมลงก่อนค่ะ เพราะว่าช่วงแรกๆ เราไม่คุ้นกับอาหาร เราทานแซนวิสเย็นๆ ไม่อร่อย อาหารอังกฤษที่เราคิดว่า โอ้ยย สบาย ชั้นชอบอาหารฝรั่ง แต่ ลองมาเถอะค่ะ แรกๆ กินยังไง๊ ยังไงก็ไม่อร่อย (ถ้าจะให้อร่อย ถ้ากินที่ร้านอาหาร แต่จะเอาเงินที่ไหนไปกินคะ อย่างดีก็ซื้อตามซุปเปอร์มาเก็ตค่ะ) …. พอผ่านจุดของการกินไม่ได้ไปแล้ว ต่อมาเริ่มจะชินค่ะ เริ่มจะปรับตัว เริ่มเจอของที่ใช่ อาหารที่ชอบ จากนั้นหละค่ะ อย่าไปดู อ้วนนนนนนนแน่นอนค่ะ
ส่วนตัวเรา พอผ่านพ้นปีแรกไป ก็ชักจะเริ่มสำเหนียกได้ว่า “อ้วน” พอไปนั่งร้านกาแฟ จากที่เคยสั่งแต่กาแฟหอมหวาน ครีมท่วม เลยอยากสั่ง สมูทตี้ดูบ้างค่ะ เพื่อสุขภาพ … เอาความผอมเพรียมของช้านนนคืนมา 555
คนขาย: What can I help you? (ให้ชั้นช่วยอะไรบ้าง?)
เรา: (พูดอย่างมั่นใจ แหม่ อยู่มาเป็นปีละ ภาษาชั้นดี) แคน ไอ แฮฟ เอ สมูทตี้ พลีส?
คนขาย: Of course. (ได้เลย)
จากนั้นคนขายก็หันขวับไปจับแก้ว ไอเราก็นึกสงสัย นี่เค้าจะไม่ถามเลยเหรอว่าชั้นจะกินรสอะไร!!! เค้าจะทำถูกได้ไงฟร่ะ??!??? 10 วินาทีถัดมา นางก็วางแก้วน้ำเปล่าแก้วนึงตรงหน้าเรา แล้วบอกว่า Here we go!! (ได้แล้ว น้ำของเทอออออ)
เรา: อึ้งงงงงงง สั่งน้ำปั่นผลไม้ ได้นำ้เปล่า T^T ได้แต่รับน้ำแก้วนั้นไปนั่งอย่างสงบเสงี่ยม 555 (สรุปวันนั้น เดินมาอีกรอบ ละสั่งกาแฟค่าาา ><‘)
มารู้ทีหลัง ที่วันนั้นเราไม่ได้กิน สมูตตี้ เพราะ เราออกเสียงผิดต้าาาา …. เพื่อนคนอังกฤษบอกว่า ที่เค้าฟังเราไม่รู้เรื่อง เพราะเราออกเสียผิดค่าาาา เราออกเสียง สมูทที้ เค้านึกว่าเราขอ วอเต้อ จร้าาา …. ที่ถูกต้อง “สมูฟวี่” เหมือน movie ที่แปลว่าหนังอ่ะค่ะ
4. การพูดภาษาอังกฤษ สำเนียงไม่ต้องเน้น เอาให้เข้าใจก็พอ?!?!?! ไม่จริ้งงงง ไม่เข้าใจค่ะ!!
ได้ยินกันบ่อยๆ คนไทยชอบพูดกันว่า … พูดภาษาอังกฤษ อย่ากระแดะ!! พูดให้เข้าใจก็พอ … ไม่จริ้งงงค่ะ ปัญหาคือ เค้าจะไม่เข้าใจน่ะสิค่ะ การพูดภาษาอังกฤษ การเน้นเสียงสูงเสียงต่ำสำคัญมาก อันนี้นักเรียนที่ไปเรียนเมืองนอกจะรู้กันดี … เพราะถ้าใช้โทนเสียงเดียว เค้าจะไม่เข้าใจค่าาา แล้วก็อาจจะอับอายได้ แบบเรานี่แหละ 555
เรื่องออกเสียงนี่ก็ทำเราหน้าแหกกกก มาหลายทีแล้ว … ช่วงครึ่งปีแรกที่เราไป เราจะไม่ขึ้นรถเมล์เลยค่ะ เพราะกลัว … แต่พอครึ่งปีหลัง ปีกล้าขาแข็ง ขึ้นอย่างห้าวหาญ อยากจะไปห้าง Sainsbury พอขึ้นรถ รถเมล์ที่อังกฤษจะต้องบอกคนขับว่าจะไปลงที่ไหน แล้วจ่ายเงินตอนขึ้นเลยนะคะ
เรา: เซน-เบอ-รี่ พลีส?
คนขับ: What? (พร้อมกับทำหน้า งง มาก)
เรา: (อายยย แต่ก็ขึ้นมาแล้ว เอาวะ ลองใหม่ๆ) เซ้นนนนนนนน เบอ รี่
คนขับ: £@$£@!!@£ (เค้าคงคิดในใจ นี่
เรา: (นึกในใจ ซวยแล้ว คนรอขึ้นรถเต็มเลย แถวเริ่มยาว อายยยมาก แต่ เดอะโชว์มัสโกออน ลองใหม่ค่ะ) เซ็น เบ้ออออ รี่….. เซ้นนนน เบอ รี้ (ลากเสียงท้ายยาววววมากกก)
คนขับ: หน้าเริ่มบึ้ง เอามือป้องหู เงี่ยหูฟังใกล้เรามากกก แต่ก็ยังคงไม่เข้าใจ T^T
เราเริ่มถอดใจ เห้ออ เดินก็ได้ว่ะ โชคดีมีชายด้านหลังตะโกนมาว่า “เซ้นนนนน บรี้ ……” ป้าดดดด คนขับกดตั๋วอย่างรวดเร็ว แล้วบอกว่า £1.50 เท่านั้นแหละ เรารีบจ่ายเงิน แล้วขึ้นไปนั่งในมุมอับของรถอย่างรวดเร็ว อายมากกกกกก 5555
เพื่อนๆ คนไหนที่อยากฝึกภาษาเพื่อไปใช้จริงๆ ที่ ต่างประเทศนะคะ อย่าลืมฝึกการพูด ฝึกสำเนียงเค้าด้วยนะคะ ดูหนังจากบ้านเค้าเยอะนะคะ พอไปจริงๆ จะได้ไม่ยากมาก (แบบเรา)
5. เด็กฝรั่งพ่อแม่เลี้ยงแค่ 18 จริงมัย้??
เรื่องจริงนะคะ จากการที่เราสอบถามเด็กอังกฤษส่วนใหญ่มา … พออายุ 18 เค้าก็จะต้องทำงานเลี้ยงตัวเองกันแล้วล่ะค่ะ (สำหรับครอบครัวชั้นกลางทั่วๆ ไปนะคะ)
ถ้าเปรียบเทียบระหว่างเด็กฝรั่งกับเด็กไทย เท่าที่เราได้สัมผัสมา เด็กของเค้าจะมีความเป็นผู้ใหญ่มากกว่าเด็กไทยมาก ความคิดความอ่าน ความรับผิดชอบ เด็กปริญญาตรีปี 1 บางคน ทำงานเก็บตังค์ แยกเป็นส่วนๆ วางแผนการเงินได้ดีกว่าเราซะอีก
เด็กโตเร็วแบบนี้ก็เพราะวัฒนธรรมการเลี้ยงดูของเค้านั่นเองค่ะ คือรัฐบาลของอังกฤษเค้าจะจ่ายเงินให้พ่อแม่นะคะ สำหรับการเลี้ยงดูลูกแต่ละคน เช่น เมื่อคุณมีลูกไปแจ้งรัฐ รัฐจะจ่ายให้เลย เช่น ถ้าลูกคุณ 1 คน เอาไป £100 ต่ออาทิตย์, ลูก 2 คน เอาไป £180 ต่ออาทิตย์ (บางคนเค้าก็ว่ากันว่า อยากสบาย ก็มีลูกเยอะๆสิ 555) … รัฐจะให้แบบนี้ไปเรื่อยๆ จนกระทั่งลูกอายุครบ 18 ปีค่ะ … พูดง่ายๆ คือตั้งแต่เกิดถึงอายุ 18 รัฐเลี้ยงมาตลอด โรงเรียนก็ไม่ต้องจ่าย เจ็บป่วยก็รักษาฟรี พ่อแม่ก็ไม่ลำบากมาก
พอถึงเวลาอายุ 18 ปุ๊บ พ่อแม่ส่วนใหญ่ในครอบครัวที่เป็นชนชั้นกลาง ก็จะเลิกเลี้ยงลูกค่ะ … เค้าจะให้ลูกไปกู้เงินค่าเทอม เหมือนเงินกู้ กยศ ไทยนี่แหละค่ะ และ ก็ให้ทำงานหาเงินเอา … บางบ้าน ถึงขนาดให้ย้ายไปอยู่ข้างนอก ถ้าจะอยู่บ้านก็ต้องช่วยจ่ายค่าน้ำค่าไฟ!!
การที่เด็กฝรั่งทำงานพิเศษ จึงถือเป็นเรื่องปกติมากกกกกก ทุกคนก็ทำงานเก็บเงินกัน ความรับผิดชอบเค้าก็เลยสูง บางบ้าน เตรียมลูกตั้งแต่อายุ 16 ว่า ถ้าอยากได้ของอะไรพิเศษๆ ต้องทำงานเก็บเงินเองนะ พ่อแม่จะไม่ซื้อให้ ลูกก็จะชินกับการเก็บเงินและหาเงิน พอ 18 ปุ๊บ ทำงานได้ตามกฏหมาย ก็วิ่งออกไปหางานกันได้เลยค่ะ
เราว่าการเลี้ยงแบบนี้ก็ดีนะคะ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับการสนับสนุนของรัฐบาลของเราด้วย … แต่ยังไงก็น่าจะเอามาปรับใช้บางส่วนได้นะคะ เด็กๆจะได้ฝึกความรับผิดชอบ และ มองว่าการทำงานพิเศษเป็นเรื่องที่น่าชมเชยค่ะ ^^
ขอจบไว้แค่ 5 ก่อนนะคะ … เอาไว้มีเวลา เราจะเอาอีก 5 ข้อมาเล่าสู่กันฟังต่อค่ะ ….
*****************************************************************
เพื่อนๆ คนไหนอยากรู้เรื่องราวเกี่ยวกับการใช้ชีวิตในอังกฤษ การเรียน การทำงาน การท่องเที่ยว เราจะพยายามเอาประสบการณ์มาเล่าให้มากที่สุด หรือเพื่อนๆ มีข้อสงสัยเรื่องอะไร ก็สามารถสอบถามเราได้เลยนะคะ ไม่ต้องเกรงใจค่ะ สามารถเข้ามาพูดคุยกันในบล็อคของเราได้เลยนะคะ
http://indyinuk.com/