พระผู้มีพระภาคตรัสว่า ดูกรกันทรกะข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริง.
ดูกรกันทรกะ ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริง. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้มีแล้วในอดีตกาลนานไกล ;
พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้น
เหมือนภิกษุสงฆ์ที่ เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้.
ดูกรกันทรกะ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จักมีอยู่ในอนาคตกาลนานไกล ;
พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็จักทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้น
เหมือนภิกษุสงฆ์ที่เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้.
ดูกรกันทรกะ ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มีภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ขีนาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำอันกระทำแล้ว
มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์แห่งตน อันตามถึงแล้ว
มีสัญโญชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ.
ดูกรกันทรกะ อนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มีภิกษุผู้เป็นเสขะ (กำลังปฏิบัติเพื่อความเป็นพระ อรหันต์)
มีศีลไม่ขาดสาย มีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญาเลี้ยงชีพด้วยปัญญาเครื่องรักษาตน
มีความประพฤติเป็นไปด้วยปัญญาเครื่องรักษาตน.
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น๑ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นไว้เฉพาะหน้าด้วยดีในสติปัฏฐานทั้งสี่อยู่. สี่อย่างไรเล่า?
สี่คือ ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกาย ...มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย....
มีปกติ ตามเห็นจิตในจิต....มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่เสียได้.
(เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ นายเปสสหัตถาโรหบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่สติปัฏฐานสี่เหล่านี้
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าว ล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อความดับแห่งทุกขโทมนัส เพื่อถึงทับซึ่งญานธรรม
เพื่อการ กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีพวกข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็น คฤหัสถ์ นุ่งขาว
ก็มีจิตตั้งไว้ดีแล้วในสติปัฏฐานสี่เหล่านี้ ตลอดกาลอันควรอยู่ ; คือ
ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีปรกติตามเห็นกายในกาย ...มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลาย...
มีปกติตามเห็นจิตในจิต...มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่. น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า !
ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ไม่เปิดเผย
เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์เดนกากเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์โอ้อวด เป็นไปอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
สิ่งอันเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย (ทุกจำพวก)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัตว์ลึกลับคือพวกมนุษย์ สัตว์เปิดเผยคือพวกปสุสัตว์.....
คือสัตว์ พระพุทธเจ้าข้า ด้วยว่าข้าพระพุทธเจ้าสามารถ
จะให้ช้างที่พอฝึกแล้วแล่นไปได้ ช้างนั้นจักทำนครจำปาให้เป็นที่ไปมาโดยระหว่างๆ จักทำความ
โอ้อวด ความโกง ความคด ความงอ นั้นทั้งหมดให้ปรากฏด้วย ส่วนมนุษย์ คือทาส คนใช้
หรือกรรมกรของข้าพระพุทธเจ้า ย่อมประพฤติด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง
และจิตของเขาเป็นอย่างหนึ่ง น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้
พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคชื่อว่าย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ในเมื่อมนุษย์
รกชัฏ เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกาก เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์โอ้อวด
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏ คือมนุษย์ สิ่งที่ตื้น คือสัตว์.
(ข้อนี้เป็นหลักการที่ยอมรับได้ว่า แม้ฆราวาสก็สมควรเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่
ดังที่บรรพบุรุษชาวไทยได้เคยกระทำกันมาแต่ก่อน).
๑. นี้หมายความว่า ภิกษุทั้งหมดทั้งที่เป็นพระอรหันต์และยังเป็นเสขะ
ล้วนแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ คำถามอาจจะมีว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว เจริญสติปัฏฐานไปทำไมกัน?
คำตอบคือ เพื่อความอยู่เป็นผาสุขของท่าน ซึ่งเป็นเช่นนั้นเอง.
__ ม.ม. ๑๓/๒-๓/๒-๓
ว่าด้วยสติปัฏฐานสี่เหมาะสมทั้งแก่อเสขะ-เสขะ-คฤหัสถ์
ดูกรกันทรกะ ข้อนั้นเป็นอย่างนั้นจริง. พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย ได้มีแล้วในอดีตกาลนานไกล ;
พระผู้มีพระภาคเหล่านั้น ทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้น
เหมือนภิกษุสงฆ์ที่ เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้.
ดูกรกันทรกะ พระอรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าทั้งหลาย จักมีอยู่ในอนาคตกาลนานไกล ;
พระผู้มีพระภาคเจ้าเหล่านั้น ก็จักทรงยังภิกษุสงฆ์ให้ดำเนินไปชอบอย่างยิ่งเพียงเท่านั้น
เหมือนภิกษุสงฆ์ที่เราให้ดำเนินไปชอบในบัดนี้.
ดูกรกันทรกะ ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มีภิกษุที่เป็นพระอรหันต์ขีนาสพ
อยู่จบพรหมจรรย์ มีกิจที่ควรทำอันกระทำแล้ว
มีภาระอันปลงลงแล้ว มีประโยชน์แห่งตน อันตามถึงแล้ว
มีสัญโญชน์ในภพสิ้นรอบแล้ว หลุดพ้นแล้วเพราะรู้โดยชอบ.
ดูกรกันทรกะ อนึ่ง ในภิกษุสงฆ์หมู่นี้ มีภิกษุผู้เป็นเสขะ (กำลังปฏิบัติเพื่อความเป็นพระ อรหันต์)
มีศีลไม่ขาดสาย มีความประพฤติไม่ขาดสาย มีปัญญาเลี้ยงชีพด้วยปัญญาเครื่องรักษาตน
มีความประพฤติเป็นไปด้วยปัญญาเครื่องรักษาตน.
ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้น๑ เป็นผู้มีจิตตั้งมั่นไว้เฉพาะหน้าด้วยดีในสติปัฏฐานทั้งสี่อยู่. สี่อย่างไรเล่า?
สี่คือ ภิกษุในกรณีนี้ เป็นผู้มีปกติตามเห็นกายในกาย ...มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนาทั้งหลาย....
มีปกติ ตามเห็นจิตในจิต....มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่เสียได้.
(เมื่อพระผู้มีพระภาคตรัสอย่างนี้ นายเปสสหัตถาโรหบุตรได้กราบทูลพระผู้มีพระภาคว่า
"น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า ! ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่สติปัฏฐานสี่เหล่านี้
พระผู้มีพระภาคทรงบัญญัติไว้ดีแล้ว เพื่อความหมดจดแห่งสัตว์ทั้งหลาย
เพื่อก้าว ล่วงโสกะปริเทวะ เพื่อความดับแห่งทุกขโทมนัส เพื่อถึงทับซึ่งญานธรรม
เพื่อการ กระทำให้แจ้งซึ่งนิพพาน.
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! มีพวกข้าพเจ้าทั้งหลายผู้เป็น คฤหัสถ์ นุ่งขาว
ก็มีจิตตั้งไว้ดีแล้วในสติปัฏฐานสี่เหล่านี้ ตลอดกาลอันควรอยู่ ; คือ
ข้าพเจ้าทั้งหลายเป็นผู้มีปรกติตามเห็นกายในกาย ...มีปกติตามเห็นเวทนาในเวทนา ทั้งหลาย...
มีปกติตามเห็นจิตในจิต...มีปกติตามเห็นธรรมในธรรมทั้งหลาย มีความเพียรเครื่องเผากิเลส
มีสัมปชัญญะ มีสติ นำออกเสียได้ซึ่งอภิชฌาและโสมนัสในโลกอยู่. น่าอัศจรรย์ พระเจ้าข้า !
ไม่เคยมี พระเจ้าข้า ! คือข้อที่เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์ไม่เปิดเผย
เมื่อมนุษย์เป็นสัตว์เดนกากเมื่อมนุษย์เป็นสัตว์โอ้อวด เป็นไปอยู่ พระผู้มีพระภาคทรงทราบ
สิ่งอันเป็นประโยชน์และไม่เป็นประโยชน์แก่สัตว์ทั้งหลาย (ทุกจำพวก)
ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ! สัตว์ลึกลับคือพวกมนุษย์ สัตว์เปิดเผยคือพวกปสุสัตว์.....
คือสัตว์ พระพุทธเจ้าข้า ด้วยว่าข้าพระพุทธเจ้าสามารถ
จะให้ช้างที่พอฝึกแล้วแล่นไปได้ ช้างนั้นจักทำนครจำปาให้เป็นที่ไปมาโดยระหว่างๆ จักทำความ
โอ้อวด ความโกง ความคด ความงอ นั้นทั้งหมดให้ปรากฏด้วย ส่วนมนุษย์ คือทาส คนใช้
หรือกรรมกรของข้าพระพุทธเจ้า ย่อมประพฤติด้วยกายเป็นอย่างหนึ่ง ด้วยวาจาเป็นอย่างหนึ่ง
และจิตของเขาเป็นอย่างหนึ่ง น่าอัศจรรย์ พระพุทธเจ้าข้า ไม่เคยมี พระพุทธเจ้าข้า เพียงเท่านี้
พระพุทธเจ้าข้า พระผู้มีพระภาคชื่อว่าย่อมทรงทราบประโยชน์และมิใช่ประโยชน์ ในเมื่อมนุษย์
รกชัฏ เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์เดนกาก เป็นไปอยู่อย่างนี้ ในเมื่อมนุษย์โอ้อวด
เป็นไปอยู่อย่างนี้ ก็สิ่งที่รกชัฏ คือมนุษย์ สิ่งที่ตื้น คือสัตว์.
(ข้อนี้เป็นหลักการที่ยอมรับได้ว่า แม้ฆราวาสก็สมควรเจริญสติปัฏฐานทั้งสี่
ดังที่บรรพบุรุษชาวไทยได้เคยกระทำกันมาแต่ก่อน).
๑. นี้หมายความว่า ภิกษุทั้งหมดทั้งที่เป็นพระอรหันต์และยังเป็นเสขะ
ล้วนแต่เจริญสติปัฏฐานสี่ คำถามอาจจะมีว่า เป็นพระอรหันต์แล้ว เจริญสติปัฏฐานไปทำไมกัน?
คำตอบคือ เพื่อความอยู่เป็นผาสุขของท่าน ซึ่งเป็นเช่นนั้นเอง.
__ ม.ม. ๑๓/๒-๓/๒-๓