พวกพราหมณ์และคหบดีชาวบ้านชาวสาเลยยกะ ได้ยินเสียงเล่าลือว่า
ก็กิตติศัพท์อันงามแห่งพระโคดมผู้เจริญนั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงดงามบริบูรณ์
ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย
เห็นปานนี้ ย่อมเป็นความดี ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว
จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ
นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลง
สัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล?
"หามีไม่ พระเจ้าข้า!"
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สำหรับพวกท่านที่ยังไม่ได้ศาสดาอันเป็นที่น่าพอใจ ธรรมะอันผิด
ไม่ได้(อปัณณกธรรม)นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านพึงสมาทานแล้วปฏิบัติ. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดี
ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เหิตสุข(เกื้อกูล)แก่พวก
ท่านตลอดสิ้นกาลนาน. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดี! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น(อปัณณกธรรม) เป็นอย่างไรเล่า?
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "ทานที่ให้แล้ว
ไม่มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี(ผล), ผลวิบากแห่ง
กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ไม่มี,โลกอื่นไม่มี,มารดาไม่มี, บิดา ไม่มี,
โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วโดยชอบ ปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้
แจ้งชัดโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่ว ก็ไม่มีในโลก" ดังนี้.
คหบดี ท! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อ สมณ
พราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า "ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่
สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี, โลกอื่นมี,มารดา มี บิดา มี โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณ
พราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดย
ปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี" ดังนี้. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านจะสำคัญ
ข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกัน
และกัน มิใช่หรือ?
"อย่างนั้น พระเจ้าข้า!"
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมี
วาทะมีทิฏฐิว่า "ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ..ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้
และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่ว ก็ไม่มี" ดังนี้นั้น พวกเขาพึง
หวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละกุศลธรรมสามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโน
สุจริตเสีย แล้วสมาทานประพฤติอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจี
ทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้
เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของอกุศลธรรม และไม่
มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. มิจฉาทิฏฐิ
ของเขาต่อโลกอื่น ซึ่งมีอยู่แท้ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขา
จึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของ
เขา จึงเป็นมิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่า
เขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกหน้า.โลกอื่นมีอยู่แท้ๆ เขาให้
ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็นอสัทธัมมสัญญัตติ์(ทำให้ผู้อื่น
หมายมั่นในอสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วย
การกระทำอย่างนี้ ชื่อว่าเขาละปกติภาวะอันดีงาม(ศีล)ในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ใน
ภาวะอันเลวทราม(โทษ)คือ ความเป็นคนทุศีลไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้.
อกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้
คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังก้ปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์
(การให้ผู้อื่นเข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม) การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศล
ธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็น
อย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ(ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตาย
เพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่;
แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้.เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำ
จริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้
เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนทุศีล เป็น
มิจฉาทิฏฐิ เป็น นัตถิวาท ดังนี้อยู่นั้นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การ
ได้รับกระลี๑ ทั้งสองฝ่าย(ปราชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบัน)
ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ ก็ถูก
วิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก.นี่แหละ คือปัณณกธรรม(ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดย
สิ้นเชิงย่อมแผ่ไปโดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศลเสีย.
ว่าด้วยวาทะที่เป็นข้าศึกกัน
ก็กิตติศัพท์อันงามแห่งพระโคดมผู้เจริญนั้นขจรไปแล้วอย่างนี้ว่า แม้เพราะเหตุนี้ๆ
พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ ตรัสรู้เองโดยชอบ ถึงพร้อมด้วยวิชชา
และจรณะ เสด็จไปดี ทรงรู้แจ้งโลกทั้งปวง เป็นสารถีฝึกบุรุษที่ควรฝึก ไม่มีผู้อื่นยิ่งกว่า
เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้เบิกบานแล้ว
เป็นผู้จำแนกพระธรรม พระผู้มีพระภาคพระองค์นั้น ทรงทำโลกนี้ พร้อมทั้งเทวโลก
มารโลก พรหมโลก ให้แจ้งชัดด้วยพระปัญญาอันยิ่งของพระองค์เองแล้ว ทรงสอนหมู่สัตว์
พร้อมทั้งสมณพราหมณ์ ทั้งเทวดาและมนุษย์ให้รู้ตาม ทรงแสดงธรรมงดงามบริบูรณ์
ประกาศพรหมจรรย์บริสุทธิ์สิ้นเชิง ก็การได้เห็นพระอรหันต์ทั้งหลาย
เห็นปานนี้ ย่อมเป็นความดี ก็พากันไปเฝ้าพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เสด็จมาถึงหมู่บ้านนี้แล้ว
จนถึงที่ประทับ. บางพวกแสดงความเคารพ บางพวกไม่แสดงความเคารพ
นั่งอยู่. พระผู้มีพระภาคเจ้าได้ตรัสแก่ชาวบ้านสาเลยยกะเหล่านั้น ว่า
ดูกรคฤหบดีทั้งหลาย มีอยู่ไหม ศาสดาไรๆ ซึ่งเป็นที่พอใจของท่าน จนถึงกับท่านปลง
สัทธาไปแล้วอย่างมีเหตุผล?
"หามีไม่ พระเจ้าข้า!"
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย สำหรับพวกท่านที่ยังไม่ได้ศาสดาอันเป็นที่น่าพอใจ ธรรมะอันผิด
ไม่ได้(อปัณณกธรรม)นี้ มีอยู่ สำหรับพวกท่านพึงสมาทานแล้วปฏิบัติ. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดี
ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น เมื่อท่านสมาทานเต็มเปี่ยมแล้ว จักเป็นไปเพื่อประโยชน์เหิตสุข(เกื้อกูล)แก่พวก
ท่านตลอดสิ้นกาลนาน. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดี! ธรรมะอันผิดไม่ได้นั้น(อปัณณกธรรม) เป็นอย่างไรเล่า?
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย มีสมณพราหมณ์พวกหนึ่ง มีวาทะมีทิฏฐิอย่างนี้ว่า "ทานที่ให้แล้ว
ไม่มี(ผล), ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี (ผล), การบูชาที่บูชาแล้วไม่มี(ผล), ผลวิบากแห่ง
กรรมที่สัตว์ทำดีทำชั่ว ไม่มี, โลกนี้ไม่มี,โลกอื่นไม่มี,มารดาไม่มี, บิดา ไม่มี,
โอปปาติกะสัตว์ ไม่มี, สมณพราหมณ์ที่ไปแล้วโดยชอบ ปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้
แจ้งชัดโลกนี้และโลกอื่น ด้วยปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่ว ก็ไม่มีในโลก" ดังนี้.
คหบดี ท! ยังมีสมณพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง ซึ่งมีวาทะเป็นข้าศึก โดยตรงต่อ สมณ
พราหมณ์เหล่านั้น กล่าวอยู่อย่างนี้ว่า "ทานที่ให้แล้ว มี(ผล), ผลวิบากแห่งกรรมที่
สัตว์ทำดีทำชั่วมี โลกนี้มี, โลกอื่นมี,มารดา มี บิดา มี โอปปาติกะสัตว์ มี, สมณ
พราหมณ์ที่ไปแล้วปฏิบัติแล้วโดยชอบ ถึงกับกระทำให้แจ้งโลกนี้และโลกอื่น โดย
ปัญญาโดยชอบเอง แล้วประกาศให้ผู้อื่นรู้ ก็มี" ดังนี้. ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ท่านจะสำคัญ
ข้อความนี้อย่างไร : สมณพราหมณ์สองพวกนี้ เป็นผู้มีวาทะเป็นข้าศึกโดยตรงต่อกัน
และกัน มิใช่หรือ?
"อย่างนั้น พระเจ้าข้า!"
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในบรรดาสมณพราหมณ์ทั้งสองพวกนั้น สมณพราหมณ์ พวกใดมี
วาทะมีทิฏฐิว่า "ทานที่ให้แล้ว ไม่มี, ยัญที่บูชาแล้ว ไม่มี, ...ฯลฯ..ผู้ทำให้แจ้งโลกนี้
และโลกอื่น ด้วยปัญญาอันยิ่งเองแล้ว ประกาศให้ผู้อื่นรู้ทั่ว ก็ไม่มี" ดังนี้นั้น พวกเขาพึง
หวังได้ในข้อนี้ คือเลิกละกุศลธรรมสามประการนี้ กล่าวคือ กายสุจริต วจีสุจริต มโน
สุจริตเสีย แล้วสมาทานประพฤติอกุศลธรรมสามประการ กล่าวคือ กายทุจริต วจี
ทุจริต มโนทุจริต เป็นแน่นอน. ข้อนั้นเพราะเหตุไร? เพราะเหตุว่า สมณพราหมณ์ผู้
เจริญเหล่านั้น ไม่มองเห็นโทษอันต่ำทรามเศร้าหมองของอกุศลธรรม และไม่
มองเห็นอานิสงส์ในเนกขัมมะอันเป็นธรรมขาวฝ่ายกุศลธรรมทั้งหลาย เสียเลย. มิจฉาทิฏฐิ
ของเขาต่อโลกอื่น ซึ่งมีอยู่แท้ๆ กลับไปเห็นเสียว่าโลกอื่นไม่มี ความดำรินั้นของเขา
จึงเป็นมิจฉาสังกัปปะ. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี วาจานั้นของ
เขา จึงเป็นมิจฉาวาจา. เขากล่าวซึ่งโลกอื่นอันมีอยู่แท้ๆ ว่าโลกอื่นไม่มี เช่นนี้ชื่อว่า
เขาทำตนเป็นข้าศึกต่อพระอรหันต์ทั้งหลายผู้รู้แจ้งโลกหน้า.โลกอื่นมีอยู่แท้ๆ เขาให้
ผู้อื่นสำคัญว่าโลกอื่นไม่มี การกระทำของเขานั้น จึงเป็นอสัทธัมมสัญญัตติ์(ทำให้ผู้อื่น
หมายมั่นในอสัทธรรม) และด้วยอสัทธัมมสัญญัตติ์ของเขานั่นเอง เขายกตนข่มผู้อื่น. ด้วย
การกระทำอย่างนี้ ชื่อว่าเขาละปกติภาวะอันดีงาม(ศีล)ในกาลก่อนของเขาเสีย มาตั้งอยู่ใน
ภาวะอันเลวทราม(โทษ)คือ ความเป็นคนทุศีลไว้ก่อนเทียว ด้วยประการฉะนี้.
อกุศลธรรมอันลามก เป็นอเนกเหล่านี้
คือมิจฉาทิฏฐิ มิจฉาสังก้ปปะ มิจฉาวาจา ความเป็นข้าศึกต่อพระอริยเจ้า อสัทธัมมสัญญัตติ์
(การให้ผู้อื่นเข้าใจผิดโดยไม่ชอบธรรม) การยกตน และการข่มผู้อื่น. ด้วยอาการอย่างนี้ อกุศล
ธรรมอันลามกเป็นอเนกเหล่านั้น ย่อมเกิดแก่เขา เพราะมีมิจฉาทิฏฐิเป็นปัจจัย.
ดูกรพราหมณ์และคฤหบดีทั้งหลาย ในบรรดาทิฏฐิทั้งสองอย่างนั้น บุรุษผู้วิญญูชน ย่อม ใคร่ครวญเห็น
อย่างนี้ว่า ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญ(ผู้ถืออยู่ว่าโลกอื่นไม่มี) นี้หลังจากการตาย
เพราะการทำลายแห่งกาย จักทำความสวัสดีให้แก่ตนได้ เพราะเหตุนั้น ก็จริงอยู่;
แต่ถ้าโลกอื่นไม่มี บุรุษผู้เจริญนี้ หลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย จักเข้าถึง
อบาย ทุคติ วินิบาต นรก. เพราะเหตุนั้น เป็นแน่แท้.เอาละ เป็นอันว่าโลกอื่นก็อย่ามี คำ
จริงของสมณพราหมณ์ผู้เจริญเหล่านั้น ก็ไม่ต้องเอามากล่าวอ้าง ; ถึงกระนั้น บุรุษผู้
เจริญนั้น ก็ยังจะถูกวิญญูชนติเตียนในทิฏฐิธรรมนี้แหละ ว่าเป็นคนทุศีล เป็น
มิจฉาทิฏฐิ เป็น นัตถิวาท ดังนี้อยู่นั้นเอง. ถ้าว่าโลกอื่นเกิดมีขึ้นมาจริงๆแล้ว การ
ได้รับกระลี๑ ทั้งสองฝ่าย(ปราชัยในโลกทั้งสอง คือในปัจจุบัน)
ย่อมมีแก่บุรุษผู้เจริญนั้น กล่าวคือ ในทิฏฐิธรรมนี้ ก็ถูก
วิญญูชนติเตียน และหลังจากการตายเพราะการทำลายแห่งกาย ก็เข้าถึงอบาย ทุคติ
วินิบาต นรก.นี่แหละ คือปัณณกธรรม(ธรรมอันผิดไม่ได้) นี้ ที่ทุกคนนี้ถือเอาผิดโดย
สิ้นเชิงย่อมแผ่ไปโดยท่าเดียว ตั้งอยู่อย่างลิดรอนซึ่งรากฐานแห่งกุศลเสีย.