อัลบั้มภาพถ่ายบันทึกการเดินทางไปญี่ปุ่นครั้งแรกของเรา เป็นช่วงซากุระกำลังออกดอกบานสะพรั่งพอดี ทั้งๆที่ญี่ปุ่นเป็นเป็นประเทศที่เราไม่รีบไป ไม่ใช่ว่าไม่ชอบนะ แต่เราเบื่อการเที่ยวแล้วเจอคนเยอะๆน่ะ มันเลยกลายเป็นที่ที่เราให้อันดับท้ายๆที่อยากไปให้ได้สักครั้งในชีวิต.. เอ๊ะ ดูย้อนแย้งตัวเองใช่มั้ย 555 เปล่าหรอก เราคิดแค่ว่าไม่เป็นไร เราไม่รีบ ญี่ปุ่นยังรอเราอยู่ ^^
แต่แล้วก็เป็นโชคดีของเราที่บังเอิญได้ตั๋วบินญี่ปุ่นฟรี 9 วัน.. พร้อมกับพี่อีกคนนึง มีโจทย์ว่ามีเวลาเตรียมตัวแค่ 6 วัน เดินทางในช่วงซากุระบาน!! .. พอจะนึกภาพออกมั้ยคะ ว่ามันหินแค่ไหนกับการหาที่พักช่วงที่ซากุระกำลังออกดอกพีคๆ ยิ่งสำหรับเราด้วยแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ผ่านตามาตามโซเชียลในแต่ละวัน เราไม่เคยคิดเก็บมาเป็นข้อมูลล่วงหน้าเลย ประมาณว่าถ้าเป็นนักเรียนก็คือคนที่ไม่เคยตั้งใจเรียน แล้วมาอ่านหนังสือเอาก่อนสอบไม่กี่วันนั่นละ ง่ายๆคือ โง่วิชา(เที่ยว)ญี่ปุ่นมาก สกิลการเที่ยวญี่ปุ่นเป็น 0 หันซ้ายพึ่งพันทิป หันขวาพึ่งอากู๋ มันไม่ใช่ประเทศอื่นๆที่เราเคยไปแบคแพคมา ที่ส่วนมากเราจะ walk in เข้าไปได้เลย แถมยังเป็นประเทศที่จะต้องเตรียมตัวในการวางแผนเที่ยวค่อนข้างมาก รถไฟใช้ยังไง ซื้อตรงไหน กดดันให้เราต้องเรียนรู้ก่อนเดินทางภายในเวลาที่จำกัด
ที่เราทำได้คือพยายามจองโรงแรม (หลังจากที่หาจนเกือบจะถอดใจ ในที่สุดก็หาได้) และวางแผนการเดินทางไว้คร่าวๆ ที่เหลือค่อยไปด้นสดเอา ก่อนออกเดินทางเรานัดคุยและตกลงกับบัดดี้ว่า เรา 2 คนมีหนังสือไกด์บุ๊ค เป็นคัมภีร์ไปคนละเล่ม และข้อมูลที่ต่างคนต่างช่วยกันหามา จะไปได้เท่าที่ไหว ไม่เน้นเที่ยวเยอะ ไม่เน้นกิน (แล้วตกลงมันเน้นอะไรกันหว่า 555) พวกเรามัน เน้นเที่ยวตามอารมณ์
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ทรงพลังในหลายๆด้านอย่างเหลือเชื่อ ศิลปะ ภาษา ความเจริญ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โอยยย ให้สาธยายยังไงก็คงไม่หมด (จริงๆเป็นเพราะไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น แฮ่)เอาเป็นว่าบางคนถึงขนาดโตมาพร้อมๆกับอิทธิพลของญี่ปุ่นที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตยังไงยังงั้น เลยไม่แปลกใจที่กลายเป็นประเทศที่อยู่ในดวงใจของใครหลายๆคน ยิ่งพอยกเลิกวีซ่ายิ่งเนื้อหอมใหญ่ มีทั้งข้อมูลรีวิวที่พักที่กิน วิธีการใช้รถไฟมากมาย ไหนจะโปรตั๋ว ที่ขยันกันลดราคา จนแท่บจะบินไปกินเล่นนอนเล่นได้ง่ายๆ หลายๆคนเป็นกูรู ไปซะเกือบทั่วญี่ปุ่น ข้อมูลการเดินทางในทริปนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากรีวิวในพันทิปนี่แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่เป็นส่วนหนึ่งให้ทริปนี้ราบรื่นด้วยดี แต่ญี่ปุ่นเป็นทริปที่เดินเยอะมากวันๆนึงไม่ต่ำกว่า 10+ กิโล ไหนจะเป้บนหลังอีกประมาณ 5-6 กิโล ทั้งๆที่เราเตรียมใจไว้แล้ว แต่กลับมาถึงที่พักเมื่อไหร่ หลับเป็นตายเกือบทุกคืน!!
DAY 1 : TOKYO
เพลียกับการอดนอน จากการเดินทางไฟล์ทกลางคืน ทำให้พลังการเที่ยวในวันนี้เหลือเพียง 30% เริ่มจากขึ้นรถไฟจากสนามบินไปในเมือง เราพักกันที่ Anne Hostel ที่พักใหม่สะอาด ไม่ไกลจากทั้ง JR และ SUBWAY แถมคนไม่เยอะพลุกพล่านอีกต่างหาก เราซื้อตั๋วรถไฟ JR แบบ One day pass เลยเที่ยวไปตามเส้น JR Loop ..ได้แผนที่มา เรานี่รักษายังกับเป็นลายแทงสมบัติ ถึงจะโหลดแผนที่ไว้ในมือถือ แต่ถือเป็นแผ่นๆยังไงก็สะดวกกว่า
วันแรกนี้ตื่นเต้นกับการขึ้นรถไฟและการวางตัวในญี่ปุ่นมาก ยอมรับว่าโครตเกร็ง จากที่ง่วงๆ เพลียๆ เลยทำให้ตื่นตัวที่จะเรียนรู้การร่วมสังคมกับคนญี่ปุ่นเรียกว่ามานี่เปลี่ยนไปเป็นคนเรียบร้อยเลย
DAY 2 : ASAKUSA
หลังจากทานมื้อเช้าที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทเมื่อคืน วันนี้เราก็ออกเดินทางต่อในเส้น Subway Loop คนเยอะมากๆตามเคย เราเริ่มคุ้นและชิลมากขึ้น ตรงไหนคนเยอะเราหลีก ร้านไหนคนเยอะเราไม่กิน แม้จะเป็นร้านแนะนำก็ตาม... ว่าแต่รู้หรอว่าร้านไหนเค้าแนะนำ ไม่รู้หรอก เราไม่มีลิสต์ร้านอาหารร้านขนมมาด้วยซ้ำ เจอร้านไหน น่ากิน ราคาน่าคบกับงบของเรา ก็โอแล้ว เพราะเอาจริงๆ พวกเราแฮปปี้มากนะ ที่ได้ลองเดินดุ่มๆเข้าร้าน หรือชิมอะไรแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บางวันก็อร่อยคุ้มเกินราคา หรือบางมื้อไม่ได้เรื่องเลยก็มี เราสนุกกับการลองชิมในแบบของเราเองมากกว่า
DAY 3 : NIKKO
วันนี้แยกกันเทียว ต่างคนต่างปีกกล้าขาแข็งแล้ว เราแยกไปนิกโก้ ส่วนพี่อีกคนเก็บที่เที่ยวตามชานเมืองโตเกียวอย่างโอไดบะ เราซื้อตั๋ว Nikko pass รวมตั๋วไป-กลับมาอาซากุสะ พร้อมรถบัสเที่ยวในตัวเมืองนิกโก้

หลังจากเอากระเป๋าไปไว้ที่พัก Sumica Guesthouse ที่นี่เล็กๆแต่อบอุ่น เจ้าของน่ารักใจดี แถมใกล้สถานีรถไฟมากๆ เราก็ออกไปรอรถบัสหน้าสถานี
นิกโก้เป็นเมืองมรดกโลกเล็กๆน่ารัก เราใช้เวลาบ่ายนั้นเดินเที่ยวตามวัด และในตัวเมือง พอตกเย็นทั้งเมืองก็เงียบสงบแล้ว
DAY 4 : TOKYO - OSAKA
มีเวลาถึงตอนเที่ยง ก่อนที่จะนั่งรถไฟกลับไปโตเกียว วันนี้เราไม่แน่ใจว่าผิดพลาดตรงไหนกับการขึ้นรถไฟ จากที่ต้องเปลี่ยนขบวนแค่ต่อเดียว กลายเป็น4-5 ต่อกว่าจะถึงอาซากุสะ ทำให้เราไปถึงอุเอโนะเลทจากเวลาที่นัดพี่ไว้

พวกเราเดินเล่นกินข้าว จนถึงเวลาที่ต้องไปขึ้นรถนอน คืนนี้เปลี่ยนเมืองไปโอซาก้าแล้วค่ะ ใช้รถนอนแทนเพื่อประหยัดค่าโรงแรม และสามารถมาถึงโอซาก้าโดยที่ไม่ต้องใช้ชินกังเซน
DAY 5 : OSAKA
บนรถนอน คือเบาะที่นั่งอ่ะ ประมาณว่าจะยังไงเค้าก็มีความเกรงใจคนข้างหลังกัน แต่ละคนก็เอนกันลงมานิดเดียว เราเลยไม่กล้าเอนเบาะเยอะ สรุปคือนอนไม่หลับเลย หันไปทีไรก็เห็นเค้านั่งหลับกันเรียบร้อย แถมสนิทด้วย คือเก่งมากกกกกก ส่วนเราอดนอนมาทั้งคืน ง่วงมาก กะจะเอากระเป๋าไปเก็บที่พัก พอถึงแล้วกลับไม่มีคนอยู่ซะงั้น โทรไปก็ไม่รับ ฝนก็ตก ไปไหนกันไม่ได้ เราเลยรอใต้ตึก นั่งไปมาเลยเผลองีบ สุดท้ายเลยต้องเข็นกระเป๋าไปเก็บในล็อคเกอร์ แล้วค่อยออกเที่ยวในโอซาก้าแบบง่วงๆ
เราโทรไปที่พักอีกที คราวนี้มีคนรับสาย ตอนนั้นไม่ได้เอะใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงพูดภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะเวอร์ขนาดนี้ เค้าบอกว่ารอเราอยู่ มาถึงแล้วให้โทรมาอีกทีพอกลับไป ก็ยังไม่เจอใคร ประตูก็ล็อค พอโทรหาก็ให้คนมารับ ... เพื่อไปอีกที่นึง.. ใช่ เจ้าของไม่ได้ทำการอัปเดต ว่ามีการเปลี่ยนที่อยู่จากในแผนที่ที่อยู่ในเว็บไซต์ ทำให้เราเสียเวลาเดินไป-มาหลายรอบ แม้มันจะไม่ได้ไกลกันมาก และเราไม่ได้หงุดหงิดแต่เราก็อดมาเมาส์ไม่ได้ว่าที่นี่ทำให้เราประทับใจยังไง ตั้งแต่ตอนที่เราจองผ่านเว็บ ก็ไม่มีเมล์มายืนยันจนเราต้องโทรหาข้ามประเทศเพื่อถามว่าเราจะได้ห้องมั้ย

พอมาเจอหน้าเจ้าของ จึงไม่แปลกใจกับสำเนียงอังกฤษที่เราได้ยินเลย เค้าเป็นชายต่างชาติผิวสีที่ทำธุรกิจและอยู่ญี่ปุ่นมานาน วีรกรรมเกี่ยวกับที่พักนี้ มีเยอะแยะมากมายตลอด 4 คืนที่เราพัก สำหรับเรามองเป็นเรื่องฮาๆขำๆนะ แต่ลูกค้าบางคนขำไม่ออกถึงกับย้ายออกก่อนกำหนด ทั้งที่จ่ายเต็มไปแล้วล่วงหน้าในราคาหลายหมื่นเยน ที่นี่ดีอยู่อย่างเดียวคือทำเลดี ไม่ไกลจากนัมบะและรถไฟ
-- ต่อที่ข้อความถัดไปด้านล่างนะคะ
ซากุระแรกที่ญี่ปุ่น กับการเที่ยวญี่ปุ่นครั้งแรก (Sakura Feverrrr!!)
แต่แล้วก็เป็นโชคดีของเราที่บังเอิญได้ตั๋วบินญี่ปุ่นฟรี 9 วัน.. พร้อมกับพี่อีกคนนึง มีโจทย์ว่ามีเวลาเตรียมตัวแค่ 6 วัน เดินทางในช่วงซากุระบาน!! .. พอจะนึกภาพออกมั้ยคะ ว่ามันหินแค่ไหนกับการหาที่พักช่วงที่ซากุระกำลังออกดอกพีคๆ ยิ่งสำหรับเราด้วยแล้ว ข้อมูลเกี่ยวกับญี่ปุ่นที่ผ่านตามาตามโซเชียลในแต่ละวัน เราไม่เคยคิดเก็บมาเป็นข้อมูลล่วงหน้าเลย ประมาณว่าถ้าเป็นนักเรียนก็คือคนที่ไม่เคยตั้งใจเรียน แล้วมาอ่านหนังสือเอาก่อนสอบไม่กี่วันนั่นละ ง่ายๆคือ โง่วิชา(เที่ยว)ญี่ปุ่นมาก สกิลการเที่ยวญี่ปุ่นเป็น 0 หันซ้ายพึ่งพันทิป หันขวาพึ่งอากู๋ มันไม่ใช่ประเทศอื่นๆที่เราเคยไปแบคแพคมา ที่ส่วนมากเราจะ walk in เข้าไปได้เลย แถมยังเป็นประเทศที่จะต้องเตรียมตัวในการวางแผนเที่ยวค่อนข้างมาก รถไฟใช้ยังไง ซื้อตรงไหน กดดันให้เราต้องเรียนรู้ก่อนเดินทางภายในเวลาที่จำกัด
ที่เราทำได้คือพยายามจองโรงแรม (หลังจากที่หาจนเกือบจะถอดใจ ในที่สุดก็หาได้) และวางแผนการเดินทางไว้คร่าวๆ ที่เหลือค่อยไปด้นสดเอา ก่อนออกเดินทางเรานัดคุยและตกลงกับบัดดี้ว่า เรา 2 คนมีหนังสือไกด์บุ๊ค เป็นคัมภีร์ไปคนละเล่ม และข้อมูลที่ต่างคนต่างช่วยกันหามา จะไปได้เท่าที่ไหว ไม่เน้นเที่ยวเยอะ ไม่เน้นกิน (แล้วตกลงมันเน้นอะไรกันหว่า 555) พวกเรามัน เน้นเที่ยวตามอารมณ์
ญี่ปุ่นเป็นประเทศที่มีเสน่ห์ทรงพลังในหลายๆด้านอย่างเหลือเชื่อ ศิลปะ ภาษา ความเจริญ วัฒนธรรม ประวัติศาสตร์ โอยยย ให้สาธยายยังไงก็คงไม่หมด (จริงๆเป็นเพราะไม่ได้รู้ลึกขนาดนั้น แฮ่)เอาเป็นว่าบางคนถึงขนาดโตมาพร้อมๆกับอิทธิพลของญี่ปุ่นที่แทรกซึมเข้ามาในชีวิตยังไงยังงั้น เลยไม่แปลกใจที่กลายเป็นประเทศที่อยู่ในดวงใจของใครหลายๆคน ยิ่งพอยกเลิกวีซ่ายิ่งเนื้อหอมใหญ่ มีทั้งข้อมูลรีวิวที่พักที่กิน วิธีการใช้รถไฟมากมาย ไหนจะโปรตั๋ว ที่ขยันกันลดราคา จนแท่บจะบินไปกินเล่นนอนเล่นได้ง่ายๆ หลายๆคนเป็นกูรู ไปซะเกือบทั่วญี่ปุ่น ข้อมูลการเดินทางในทริปนี้ส่วนหนึ่งก็มาจากรีวิวในพันทิปนี่แหละค่ะ ขอบคุณมากนะคะ ที่เป็นส่วนหนึ่งให้ทริปนี้ราบรื่นด้วยดี แต่ญี่ปุ่นเป็นทริปที่เดินเยอะมากวันๆนึงไม่ต่ำกว่า 10+ กิโล ไหนจะเป้บนหลังอีกประมาณ 5-6 กิโล ทั้งๆที่เราเตรียมใจไว้แล้ว แต่กลับมาถึงที่พักเมื่อไหร่ หลับเป็นตายเกือบทุกคืน!!
DAY 1 : TOKYO
เพลียกับการอดนอน จากการเดินทางไฟล์ทกลางคืน ทำให้พลังการเที่ยวในวันนี้เหลือเพียง 30% เริ่มจากขึ้นรถไฟจากสนามบินไปในเมือง เราพักกันที่ Anne Hostel ที่พักใหม่สะอาด ไม่ไกลจากทั้ง JR และ SUBWAY แถมคนไม่เยอะพลุกพล่านอีกต่างหาก เราซื้อตั๋วรถไฟ JR แบบ One day pass เลยเที่ยวไปตามเส้น JR Loop ..ได้แผนที่มา เรานี่รักษายังกับเป็นลายแทงสมบัติ ถึงจะโหลดแผนที่ไว้ในมือถือ แต่ถือเป็นแผ่นๆยังไงก็สะดวกกว่า
วันแรกนี้ตื่นเต้นกับการขึ้นรถไฟและการวางตัวในญี่ปุ่นมาก ยอมรับว่าโครตเกร็ง จากที่ง่วงๆ เพลียๆ เลยทำให้ตื่นตัวที่จะเรียนรู้การร่วมสังคมกับคนญี่ปุ่นเรียกว่ามานี่เปลี่ยนไปเป็นคนเรียบร้อยเลย
DAY 2 : ASAKUSA
หลังจากทานมื้อเช้าที่ซื้อมาจากมินิมาร์ทเมื่อคืน วันนี้เราก็ออกเดินทางต่อในเส้น Subway Loop คนเยอะมากๆตามเคย เราเริ่มคุ้นและชิลมากขึ้น ตรงไหนคนเยอะเราหลีก ร้านไหนคนเยอะเราไม่กิน แม้จะเป็นร้านแนะนำก็ตาม... ว่าแต่รู้หรอว่าร้านไหนเค้าแนะนำ ไม่รู้หรอก เราไม่มีลิสต์ร้านอาหารร้านขนมมาด้วยซ้ำ เจอร้านไหน น่ากิน ราคาน่าคบกับงบของเรา ก็โอแล้ว เพราะเอาจริงๆ พวกเราแฮปปี้มากนะ ที่ได้ลองเดินดุ่มๆเข้าร้าน หรือชิมอะไรแบบไม่รู้อิโหน่อิเหน่ บางวันก็อร่อยคุ้มเกินราคา หรือบางมื้อไม่ได้เรื่องเลยก็มี เราสนุกกับการลองชิมในแบบของเราเองมากกว่า
DAY 3 : NIKKO
วันนี้แยกกันเทียว ต่างคนต่างปีกกล้าขาแข็งแล้ว เราแยกไปนิกโก้ ส่วนพี่อีกคนเก็บที่เที่ยวตามชานเมืองโตเกียวอย่างโอไดบะ เราซื้อตั๋ว Nikko pass รวมตั๋วไป-กลับมาอาซากุสะ พร้อมรถบัสเที่ยวในตัวเมืองนิกโก้
หลังจากเอากระเป๋าไปไว้ที่พัก Sumica Guesthouse ที่นี่เล็กๆแต่อบอุ่น เจ้าของน่ารักใจดี แถมใกล้สถานีรถไฟมากๆ เราก็ออกไปรอรถบัสหน้าสถานี
นิกโก้เป็นเมืองมรดกโลกเล็กๆน่ารัก เราใช้เวลาบ่ายนั้นเดินเที่ยวตามวัด และในตัวเมือง พอตกเย็นทั้งเมืองก็เงียบสงบแล้ว
DAY 4 : TOKYO - OSAKA
มีเวลาถึงตอนเที่ยง ก่อนที่จะนั่งรถไฟกลับไปโตเกียว วันนี้เราไม่แน่ใจว่าผิดพลาดตรงไหนกับการขึ้นรถไฟ จากที่ต้องเปลี่ยนขบวนแค่ต่อเดียว กลายเป็น4-5 ต่อกว่าจะถึงอาซากุสะ ทำให้เราไปถึงอุเอโนะเลทจากเวลาที่นัดพี่ไว้
พวกเราเดินเล่นกินข้าว จนถึงเวลาที่ต้องไปขึ้นรถนอน คืนนี้เปลี่ยนเมืองไปโอซาก้าแล้วค่ะ ใช้รถนอนแทนเพื่อประหยัดค่าโรงแรม และสามารถมาถึงโอซาก้าโดยที่ไม่ต้องใช้ชินกังเซน
DAY 5 : OSAKA
บนรถนอน คือเบาะที่นั่งอ่ะ ประมาณว่าจะยังไงเค้าก็มีความเกรงใจคนข้างหลังกัน แต่ละคนก็เอนกันลงมานิดเดียว เราเลยไม่กล้าเอนเบาะเยอะ สรุปคือนอนไม่หลับเลย หันไปทีไรก็เห็นเค้านั่งหลับกันเรียบร้อย แถมสนิทด้วย คือเก่งมากกกกกก ส่วนเราอดนอนมาทั้งคืน ง่วงมาก กะจะเอากระเป๋าไปเก็บที่พัก พอถึงแล้วกลับไม่มีคนอยู่ซะงั้น โทรไปก็ไม่รับ ฝนก็ตก ไปไหนกันไม่ได้ เราเลยรอใต้ตึก นั่งไปมาเลยเผลองีบ สุดท้ายเลยต้องเข็นกระเป๋าไปเก็บในล็อคเกอร์ แล้วค่อยออกเที่ยวในโอซาก้าแบบง่วงๆ
เราโทรไปที่พักอีกที คราวนี้มีคนรับสาย ตอนนั้นไม่ได้เอะใจว่าทำไมคนญี่ปุ่นถึงพูดภาษาอังกฤษสำเนียงเป๊ะเวอร์ขนาดนี้ เค้าบอกว่ารอเราอยู่ มาถึงแล้วให้โทรมาอีกทีพอกลับไป ก็ยังไม่เจอใคร ประตูก็ล็อค พอโทรหาก็ให้คนมารับ ... เพื่อไปอีกที่นึง.. ใช่ เจ้าของไม่ได้ทำการอัปเดต ว่ามีการเปลี่ยนที่อยู่จากในแผนที่ที่อยู่ในเว็บไซต์ ทำให้เราเสียเวลาเดินไป-มาหลายรอบ แม้มันจะไม่ได้ไกลกันมาก และเราไม่ได้หงุดหงิดแต่เราก็อดมาเมาส์ไม่ได้ว่าที่นี่ทำให้เราประทับใจยังไง ตั้งแต่ตอนที่เราจองผ่านเว็บ ก็ไม่มีเมล์มายืนยันจนเราต้องโทรหาข้ามประเทศเพื่อถามว่าเราจะได้ห้องมั้ย
พอมาเจอหน้าเจ้าของ จึงไม่แปลกใจกับสำเนียงอังกฤษที่เราได้ยินเลย เค้าเป็นชายต่างชาติผิวสีที่ทำธุรกิจและอยู่ญี่ปุ่นมานาน วีรกรรมเกี่ยวกับที่พักนี้ มีเยอะแยะมากมายตลอด 4 คืนที่เราพัก สำหรับเรามองเป็นเรื่องฮาๆขำๆนะ แต่ลูกค้าบางคนขำไม่ออกถึงกับย้ายออกก่อนกำหนด ทั้งที่จ่ายเต็มไปแล้วล่วงหน้าในราคาหลายหมื่นเยน ที่นี่ดีอยู่อย่างเดียวคือทำเลดี ไม่ไกลจากนัมบะและรถไฟ
-- ต่อที่ข้อความถัดไปด้านล่างนะคะ