ผมได้ใช้ LG Watch Urbane มาเดือนกว่าๆแล้ว เมื่อก่อนสมัยเรียน ผมชอบใส่นาฬิกาพวก Casio Pro Trek และเมื่อ Nike ได้ออก smart band ตัวแรกของโลกที่ชื่อ Nike Fuelband ผมก็ได้ซื้อมาใช้ โดยใช้มันมาปีกว่าๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Basis B1 และ ตัวล่าสุดก่อนที่จะมาเป็น LG Watch Urbane ก็เป็น Samsung Gear Fit โดยแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย ต่างๆกันไป
กล่องของ LG Watch Urbane นั้น ดูเรียบๆดี ขนาดกำลังพอดี (สังเกตุว่ามัน Made in Korea ไม่ได้ Made in China)
ที่ชาร์ตจะมีแม่เหล็ก แค่วางตัวนาฬิกาลงไป มันก็จะดูดติดแน่นเลย การชาร์ตทำได้เร็วมากๆ จากแบ็ตเหลือ 20% สามารถชาร์ตได้เต็ม 100% ได้ภายในเวลา 30 นาทีเท่านั้น
ปกติผมจะใส่นาฬิกานอนด้วย เพื่อให้มันวัดการนอนหลับ โดยตัวมันสามารถทำงานเชื่อมเข้ากับโปรแกรม Sleep as Android ได้อย่างครบถ้วน ราบรื่น แบ็ตของตัวนาฬิกาค่อนข้างอึดทีเดียว โดยผมจะชาร์ตเอาไว้ช่วงที่จะอาบน้ำ และนอนดูทีวี (ช่วงเวลาประมาณ 21.00 ถึง 22.30) และจะเริ่มสวมใส่ยาวเลยตั้งแต่ 22:30 จนถึง สามทุ่มของอีกวัน โดยรวมก็เป็นเวลาเกือบๆ 24 ชั่วโมงเต็มๆ แบ็ตจะเหลืออยู่ที่ประมาณ 20% ทั้งนี้ผมเปิด Ambient mode ไว้ตลอดเวลา (มันคือโหมดที่หน้าจอนาฬิกาจะแสดงผลตลอดเวลา)
ส่วนหน้าจอนาฬิกานั้น มีให้เลือกโหลดได้มากมาย หลากหลายชนิด เท่าที่ผมดูๆ ตอนนี้น่าจะมีหลายร้อยแบบ
หน้าจอ Active Mode (โดยปกติจะแสดงผลที่ประมาณ 5 วินาที ก่อนที่จะสลับมาแสดงผลที่ ambient mode)
หน้าจอ Ambient Mode
ในบางหน้าจอนาฬิกา ผู้สร้างได้ใส่ลูกเล่นเอาไว้มากมายเช่น สามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงผลที่หน้าจอ Active Mode นานเท่าไหร่ (เท่าที่ผมเห็นบางตัว แสดงได้นานถึง 30 วินาที เลยทีเดียว)
หรืออย่างหน้าจอ Running

นาฬิกาจะวัดอัตราการเต้นขอหัวใจแบบ Real Time และนับก้าววิ่งแบบ Real Time หน้าจอนี้ผมจะชอบใช้ตอนที่วิ่งออกกำลังกาย แต่มันก็ซดแบ็ตค่อนข้างมาก เพราะมันวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา ผมวิ่ง 45 นาที แบ็ตจะหายไปราวๆ 6%
Active Mode

Ambient Mode
ตัวอย่าง Card ที่มันดึงมาจากโปรแกรม Weather Timeline
และที่ผมชอบมากๆคือ คุณสามารถตอบ Line ได้โดยพูดลงไปที่นาฬิกา แล้วมันจะเปลี่ยนคำพูดให้เป็นตัวพิมพ์ให้เอง(ภาษาไทยก็ใช้ได้) ความแม่นยำนั้นผมให้ที่ 98%) มันค่อนข้างสะดวกมากเวลาคุณจำเป้นต้องตอบ ไลน์ ของเจ้านาย ขณะที่กำลังขับรถอยู่
หน้าจอของ Android Wear ที่เอาไว้ใช้ควบคุมการตั้งค่าต่างๆของนาฬิกา
หน้าจอของโปรแกรมแต่งจอแสดงผลของนาฬิกา
เนื่องจากผมเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ผมเลยต้องเปลี่ยนสายหนังแท้สีน้ำตาลที่ LG ให้มาเป็นสาย Kevlar เพราะเสียดายสายหนังที่ต้องมาเจอเหงื่อทุกๆวัน
สรุป
สิ่งที่ผมชอบ
- การออกแบบที่ดูเหมือนนาฬิกาธรรมดา แต่แฝงด้วยความมี Style
- วัสดุที่ใช้เป็นโลหะทั้งหมด ทำให้ดูแข็งแรง ทนทาน ใส่อาบน้ำได้สบายๆ เพราะมันกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP67
- แบ็ตอึด ไม่ว่าจะใช้งานหนักแค่ไหน ก็มั่นใจได้ว่าอยู่ครบ 1 วันแน่ๆ (เปิดแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา)
- Android Wear ตัวใหม่นั้นทำได้ดีมากและให้อิสระกับนักเขียนโปรแกรม มันสามารถดึงความสามารถของนาฬิกาออกมาได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแสดงเข็มทิศ ความกดอากาศ ความสูง ความเร็ว ฯลฯ ที่หน้าจอของนาฬิกาได้เลย
- มีหน้าจอให้เลือกได้มากมาก หลายหลายแบบ รับรองว่าไม่มีเบื่อ
- ความสามารถของนาฬิกาที่ใช้ WiFi ได้ โดยคุณสามารถวางมือถือไว้ที่ไหนในโลกนี้ก็ได้(แต่ต้องต่อกับ internet) และนาฬิกาของคุณเชื่อต่อกับสัญญาณ WiFi มันก็สามารถที่จะส่งข้อมูลถึงกันได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ต้องปรับปรุง
- โปรแกรม Google Fit ยังทำงานแปลกๆ คือมันจะยึด sensor ของมือถือเป็นหลัก เช่นเวลาผมวิ่งบนลู่วิ่ง ถ้าผมวางมือถือไว้ใน Locker แล้วใส่แค่นาฬิกาวิ่ง โปรแกรม Google Fit มันจะบอกว่าผมนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัวทำอะไร ตรงนี้ Google น่าจะแก้ไขในอนาคตอันใกล้นี้
[CR] LG Watch Urbane
ผมได้ใช้ LG Watch Urbane มาเดือนกว่าๆแล้ว เมื่อก่อนสมัยเรียน ผมชอบใส่นาฬิกาพวก Casio Pro Trek และเมื่อ Nike ได้ออก smart band ตัวแรกของโลกที่ชื่อ Nike Fuelband ผมก็ได้ซื้อมาใช้ โดยใช้มันมาปีกว่าๆ ก่อนที่จะเปลี่ยนเป็น Basis B1 และ ตัวล่าสุดก่อนที่จะมาเป็น LG Watch Urbane ก็เป็น Samsung Gear Fit โดยแต่ละตัวก็จะมีจุดเด่น จุดด้อย ต่างๆกันไป
กล่องของ LG Watch Urbane นั้น ดูเรียบๆดี ขนาดกำลังพอดี (สังเกตุว่ามัน Made in Korea ไม่ได้ Made in China)
ที่ชาร์ตจะมีแม่เหล็ก แค่วางตัวนาฬิกาลงไป มันก็จะดูดติดแน่นเลย การชาร์ตทำได้เร็วมากๆ จากแบ็ตเหลือ 20% สามารถชาร์ตได้เต็ม 100% ได้ภายในเวลา 30 นาทีเท่านั้น
ปกติผมจะใส่นาฬิกานอนด้วย เพื่อให้มันวัดการนอนหลับ โดยตัวมันสามารถทำงานเชื่อมเข้ากับโปรแกรม Sleep as Android ได้อย่างครบถ้วน ราบรื่น แบ็ตของตัวนาฬิกาค่อนข้างอึดทีเดียว โดยผมจะชาร์ตเอาไว้ช่วงที่จะอาบน้ำ และนอนดูทีวี (ช่วงเวลาประมาณ 21.00 ถึง 22.30) และจะเริ่มสวมใส่ยาวเลยตั้งแต่ 22:30 จนถึง สามทุ่มของอีกวัน โดยรวมก็เป็นเวลาเกือบๆ 24 ชั่วโมงเต็มๆ แบ็ตจะเหลืออยู่ที่ประมาณ 20% ทั้งนี้ผมเปิด Ambient mode ไว้ตลอดเวลา (มันคือโหมดที่หน้าจอนาฬิกาจะแสดงผลตลอดเวลา)
ส่วนหน้าจอนาฬิกานั้น มีให้เลือกโหลดได้มากมาย หลากหลายชนิด เท่าที่ผมดูๆ ตอนนี้น่าจะมีหลายร้อยแบบ
หน้าจอ Active Mode (โดยปกติจะแสดงผลที่ประมาณ 5 วินาที ก่อนที่จะสลับมาแสดงผลที่ ambient mode)
หน้าจอ Ambient Mode
ในบางหน้าจอนาฬิกา ผู้สร้างได้ใส่ลูกเล่นเอาไว้มากมายเช่น สามารถเลือกได้ว่าจะให้แสดงผลที่หน้าจอ Active Mode นานเท่าไหร่ (เท่าที่ผมเห็นบางตัว แสดงได้นานถึง 30 วินาที เลยทีเดียว)
หรืออย่างหน้าจอ Running
นาฬิกาจะวัดอัตราการเต้นขอหัวใจแบบ Real Time และนับก้าววิ่งแบบ Real Time หน้าจอนี้ผมจะชอบใช้ตอนที่วิ่งออกกำลังกาย แต่มันก็ซดแบ็ตค่อนข้างมาก เพราะมันวัดอัตราการเต้นของหัวใจตลอดเวลา ผมวิ่ง 45 นาที แบ็ตจะหายไปราวๆ 6%
Active Mode
Ambient Mode
ตัวอย่าง Card ที่มันดึงมาจากโปรแกรม Weather Timeline
และที่ผมชอบมากๆคือ คุณสามารถตอบ Line ได้โดยพูดลงไปที่นาฬิกา แล้วมันจะเปลี่ยนคำพูดให้เป็นตัวพิมพ์ให้เอง(ภาษาไทยก็ใช้ได้) ความแม่นยำนั้นผมให้ที่ 98%) มันค่อนข้างสะดวกมากเวลาคุณจำเป้นต้องตอบ ไลน์ ของเจ้านาย ขณะที่กำลังขับรถอยู่
หน้าจอของ Android Wear ที่เอาไว้ใช้ควบคุมการตั้งค่าต่างๆของนาฬิกา
หน้าจอของโปรแกรมแต่งจอแสดงผลของนาฬิกา
เนื่องจากผมเป็นคนที่ชอบออกกำลังกาย ผมเลยต้องเปลี่ยนสายหนังแท้สีน้ำตาลที่ LG ให้มาเป็นสาย Kevlar เพราะเสียดายสายหนังที่ต้องมาเจอเหงื่อทุกๆวัน
สรุป
สิ่งที่ผมชอบ
- การออกแบบที่ดูเหมือนนาฬิกาธรรมดา แต่แฝงด้วยความมี Style
- วัสดุที่ใช้เป็นโลหะทั้งหมด ทำให้ดูแข็งแรง ทนทาน ใส่อาบน้ำได้สบายๆ เพราะมันกันน้ำกันฝุ่นที่ระดับ IP67
- แบ็ตอึด ไม่ว่าจะใช้งานหนักแค่ไหน ก็มั่นใจได้ว่าอยู่ครบ 1 วันแน่ๆ (เปิดแสดงผลหน้าจอตลอดเวลา)
- Android Wear ตัวใหม่นั้นทำได้ดีมากและให้อิสระกับนักเขียนโปรแกรม มันสามารถดึงความสามารถของนาฬิกาออกมาได้เต็มที่ ไม่ว่าจะเป็นแสดงเข็มทิศ ความกดอากาศ ความสูง ความเร็ว ฯลฯ ที่หน้าจอของนาฬิกาได้เลย
- มีหน้าจอให้เลือกได้มากมาก หลายหลายแบบ รับรองว่าไม่มีเบื่อ
- ความสามารถของนาฬิกาที่ใช้ WiFi ได้ โดยคุณสามารถวางมือถือไว้ที่ไหนในโลกนี้ก็ได้(แต่ต้องต่อกับ internet) และนาฬิกาของคุณเชื่อต่อกับสัญญาณ WiFi มันก็สามารถที่จะส่งข้อมูลถึงกันได้ตลอดเวลา
สิ่งที่ต้องปรับปรุง
- โปรแกรม Google Fit ยังทำงานแปลกๆ คือมันจะยึด sensor ของมือถือเป็นหลัก เช่นเวลาผมวิ่งบนลู่วิ่ง ถ้าผมวางมือถือไว้ใน Locker แล้วใส่แค่นาฬิกาวิ่ง โปรแกรม Google Fit มันจะบอกว่าผมนั่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ขยับตัวทำอะไร ตรงนี้ Google น่าจะแก้ไขในอนาคตอันใกล้นี้