คือผมกำลังถกกับท่านคันโตนา ในเรื่องนี้อยู่น่ะครับ ท่านคันโตนา อ้างอรรถกถา ของมูลปริยายสูตร และสรุปว่า เสขะ ไม่รวมกัลยาณปุถุชน
1 เสขบุคคล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงเแสดงความเป็นไปของปุถุชนซึ่งมีธรรม คือสักกายทิฏฐิทั้งหมดเป็นมูลในวัตถุธาตุมีปฐวีเป็นต้นดังพรรณนามาฉะนี้ บัดนี้ เมื่อจะแสดงความเป็นไปของพระเสขบุคคลในวัตถุธาตุเหล่านั้นเหมือนกัน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า โยปิ โส ภิกฺขุ เสโข ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า โย เป็นคำขึ้นต้น. คำว่า โส เป็นคำแสดงไข. ปิ อักษร มีการประมวลมาเป็นอรรถ ดุจในประโยคว่า ธรรมแม้นี้ไม่เที่ยง ดังนี้.
ก็ด้วย ปิ ศัพท์นั้นย่อมประมวลมาซึ่งบุคคลโดยความเสมอกันทางอารมณ์ หาได้ประมวลมาโดยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่ แต่โดยกำหนดอย่างตํ่า ได้แก่บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ ในที่นี้มุ่งเอาบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ความเสมอกันของบุคคลทั้ง ๒ นั้นไม่มี แต่อารมณ์ของบุคคลพวกแรก (ผู้มีทิฏฐิวิบัติ) เป็นอย่างไร อารมณ์ของคนพวกหลังเหล่านี้ (ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ) ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันแท้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ย่อมประมวลมาซึ่งบุคคลโดยความเสมอกันแห่งอารมณ์ หาได้ประมวลมาด้วยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่.
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระเสขบุคคลที่จะพึงกล่าว ในบัดนี้ ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ว่า โยปิ โส. บทว่า ภิกฺขเว ภิกฺขู นี้มีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
บทว่า เสกฺโข ความว่า ที่ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่ากระไร?
ตอบว่า ที่ชื่อว่าเสขะ เพราะได้เสขธรรม.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่ชื่อว่าเป็นเสขะ ด้วยธรรมมีประมาณเท่าใด.
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบ ด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นเสขะ ฯลฯ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสมาธิอันเป็นเสขะ ภิกษุ ชื่อว่าเป็นเสขะด้วยธรรมมีประมาณเท่านี้แล.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคล ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่ายังศึกษาอยู่ดังนี้บ้าง.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุศึกษาอยู่อย่างนี้แล ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสขะ
ถามว่า พระเสขบุคคลย่อมศึกษาอะไร?
ตอบว่า ย่อมศึกษาอธิสีลสิกขาบ้าง อธิจิตตสิกขาบ้าง อธิปัญญาสิกขาบ้าง ภิกษุย่อมศึกษาอย่างนี้แล เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสขะ.
บุคคลแม้ใดเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา มีศีลสมบูรณ์ มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภคโภชนะ ตามประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่ ตามประกอบภาวนานุโยคซึ่งโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้นและราตรีปลายอยู่ ด้วยความคิดว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่งในวันนี้หรือพรุ่งนี้ บุคคลนั้นท่านเรียกว่า เสขะ เพราะกำลังศึกษา.
แต่ในเนื้อความนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิเวธเท่านั้น ท่านประสงค์เอาว่า เสขะ หาใช่ประสงค์เอาปุถุชนไม่.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1&p=4
แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการสรุปแบบนี้ เพราะผมเข้าใจว่า คำว่า ปุถุชน ตามที่ปรากฏนั้น พระอรรถกถาจารย์ ท่านหมายถึง อันธปุถุชนต่างหาก
เหตุผลก็เพราะว่า ในคำอธิบายในส่วน ปุถุชนนั้น ท่านอธิบายว่า ท่านหมายถึง อันธปุถุชน คือ ปุถุชน ทิจฉาทิฐิ ผู้ไม่ได้สดับพระธรรมคำสอน
ประเด็นนี้ ต้องพิจารณาให้ดีครับท่าน เพราะถ้าเราเชื่อตามพระอรรถกถา ว่าปุถุชนในมูลปริยายสูตรนี้ หมายถึง อันธปุถุชน
เสขะ ก็ต้องรวมเอากัลยาณปุถุชนเอาไว้ด้วย และคำว่า ปุถุชน ในส่วนเสขะ ก็ต้องหมายถึงอันธปุถุชน ไม่ได้หมายถึง กัลยาณปุถุชน
แต่ถ้าท่านคันโตนา จะบอกว่า ปุถุชนคำนี้ รวมไปถึง กัลยาณปุถุชนด้วย อย่างนั้น ภูมินัยของกัลยาณปุถุชน ก็หายไปเฉยๆ น่ะสิครับ
เพราะภูมินัยปุถุชน พระอรรถกถา ท่านบอกว่า หมายถึง อันธปุถุชน เท่านั้น
แต่ท่านคันโตนา ยังอ้างอัตตโนมัติของท่านเอง สรุปว่า กัลยาณปุถุชน ไม่อยู่ใน เสขะ อีกด้วย
อันนี้ ผมไม่เห็นด้วยครับท่าน
2 ความหมายของปุถุชน
ก็ในบทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
ปุถุชน ชื่อว่าเญยยะ เพราะไม่มีอาคม ชื่อว่าอัสสุตวา เพราะไม่มีอธิคม.
อธิบายว่า ปุถุชนใด ชื่อว่าไม่มีอาคมที่ขจัดความไม่รู้ เพราะไม่รู้เหตุที่เว้นจากการเรียน การสอบถามและการวินิจฉัยในขันธ์ ธาตุ อายตนะ สัจจะ ปัจจยาการและสติปัฏฐานเป็นต้น. ชื่อว่าไม่มีอธิคม เพราะไม่ได้บรรลุธรรมที่จะพึงบรรลุด้วยการปฏิบัติ. ปุถุชนนั้นจึงชื่อว่าเญยยะ เพราะไม่มีอาคม ชื่อว่าอัสสุตวา เพราะไม่มีอธิคม.
ชนนี้นั้น ชื่อว่า ปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลายมีการ
ยังกิเลสหนาให้เกิดเป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ชนนี้
ชื่อว่า หนา (ปุถุ) เพราะหยั่งลงภายในกิเลสที่หนา.
จริงอยู่ ชนนั้น ชื่อว่าปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลายมีอาทิคือ ยังกิเลสเป็นต้นที่หนามีประการต่างๆ ให้เกิด. สมดังพระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ชนทั้งหลาย ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ายังกิเลสหนาให้เกิด, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกสักกายทิฏฐิเบียดเบียนมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าต้องคอยมองดูศาสดาบ่อยๆ, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ายังไม่หลุดพ้นไปจากคติทั้งปวงที่หนาแน่น, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าปรุงแต่งเครื่องปรุงแต่งต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกโอฆะต่างๆ เป็นอันมากพัดพาไป, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าเดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ากำหนัด ติดใจ สยบ ลุ่มหลง ติดขัด ขัดข้อง พัวพันในกามคุณ ๕ เป็นอันมาก. ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกนิวรณ์ ๕ ร้อยรัดไว้ ปกคลุม ปิดบัง ครอบงำไว้เป็นอันมาก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน เพราะอยู่ในหมู่ชนผู้มีธรรมจริยาต่ำ ผู้หันหลังให้กับอริยธรรม. จำนวนมาก คือนับไม่ถ้วน ซึ่งหันหลังให้อริยธรรม.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่า ชนนี้ถึงการนับว่าแยกอยู่ต่างหาก คือไม่เกี่ยวข้องกับพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลและสุตะเป็นต้น.
ด้วย ๒ บทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ ดังกล่าวมานี้.
ในบรรดาปุถุชน ๒ จำพวกที่พระพุทธเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ได้ตรัสไว้ คือ อันธปุถุชน
พวกหนึ่ง กัลยาณปุถุชนพวกหนึ่ง
พึงทราบว่า
ท่านกล่าวหมายถึงอันธปุถุชน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12.0&i=1&p=2
สุดท้าย ผมก็ไปค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็พบว่า โดยทั่วไป พระอรรถกถาท่านก็บอกว่า กัลยาณปุถุชน รวมอยู่ใน เสขะ น่ะครับท่าน
3 บทว่า เจริญ ได้แก่ ไม่ทราม.
จริงอยู่
เสขบุคคลทั้งหลายมีกัลยาณปุถุชนเป็นต้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ ย่อมถึงความนับว่า ภิกษุผู้เจริญ เพราะประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันเจริญ.
บทว่า สาโร มีความว่า เสขกัลยาณปุถุชนนั้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้มีสาระ เพราะประกอบด้วยสาระทั้งหลาย มีศีลสาระเป็นต้นเหล่านั้นนั่นเอง เปรียบเหมือนผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียวฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพเท่านั้น พึงทราบว่า เป็นผู้มีสาระ เพราะเป็นผู้ปราศจากกระพี้คือกิเลส.
บทว่า เสกฺโข มีความว่า พระอริยบุคคล ๗ จำพวก กับทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมศึกษาสิกขาบท ๓ เพราะเหตุนั้น จึงจัดเป็นเสกขบุคคล. ในเสกขบุคคลเหล่านั้น คนใดคนหนึ่งพึงทราบว่า เป็นภิกขุเสกขะ. ที่ชื่อว่าอเสกขบุคคล เพราะไม่ต้องศึกษา. พระขีณาสพ ท่านเรียกว่า อเสกขบุคคล เพราะล่วงเสกขธรรมเสีย ตั้งอยู่ในผลเลิศ ไม่มีสิกขาที่จะต้องศึกษาให้ยิ่งกว่านั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=25&p=1
4 บทว่า ปริชานนฺติ อธิบายว่า
พระเสกขะทั้งหลาย จำเดิมแต่เป็นกัลยาณปุถุชน ชื่อว่าย่อมกำหนดรู้ด้วยปริญญาอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=219&p=1
5 นัยแม้ในบทที่สอง ก็เหมือนนัยนี้.
ก็ชื่อว่าผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว เพราะไม่ทำวจีทุจริต มีพูดเท็จทางวาจาเป็นต้น.
บทว่า สญฺญตตฺตโม คือผู้มีอัตภาพอันสำรวมแล้ว อธิบายว่า ผู้ไม่ทำอาการแปลก มีโคลงกาย สั่นศีรษะ และยักคิ้ว เป็นต้น.
บทว่า อชฺฌตฺตรโต ความว่า ผู้ยินดีในการเจริญกัมมัฏฐาน กล่าวคือโคจรธรรมอันเป็นไป ณ ภายใน.
บทว่า สมาหิโต คือ ผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีแล้ว.
สองบทว่า เอโก สนฺตุสิโต ความว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวยินดีแล้วด้วยดี คือมีใจยินดีแล้วด้วยอธิคมแห่งตน จำเดิมแต่การประพฤติในวิปัสสนา.
จริงอยู่
พระเสขบุคคลแม้ทุกจำพวก ตั้งต้นแต่กัลยาณปุถุชนย่อมยินดีด้วยอธิคมแห่งตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้สันโดษ. ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ยินดีแล้วโดยส่วนเดียวแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระอรหันต์นั้น จึงตรัสคำนั่นว่า "เอโก สนฺตุสิโต."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=2
6 อรรถกถาปฐมเสขสูตร
ในปฐมเสขสูตรพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คำว่า เสกฺโข ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ มีความว่าอย่างไร ชื่อว่าเสกขะเพราะได้เสกขธรรม.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประกอบด้วยทิฏฐิอันเป็นเสกขะ ฯลฯ ประกอบด้วยสมาธิอันเป็นเสกขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเสกขะ เพราะยังต้องศึกษา แม้ข้อนี้ก็ตรัสไว้ว่า๒- สิกฺขตีติ โข ภิกฺขเว ตสฺมา เสกฺโขติ วุจฺจติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุยังต้องศึกษา ฉะนั้น จึงเรียกว่าเสกขะ.
ถามว่า ศึกษาอะไร?
ตอบว่า ศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง เพราะยังต้องศึกษา ดังนี้แล ฉะนั้นจึงเรียกว่าเสกขะ. แม้ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชนกระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรโดยไม่เห็นแก่นอนมากนัก ประกอบความเพียรด้วยการเจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้น ราตรีปลาย ด้วยหวังว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันนี้หรือในวันพรุ่งนี้ ท่านก็เรียกว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา.
ในข้อนี้
ท่านประสงค์เอาพระเสกขะผู้ยังไม่แทงตลอด ที่แท้ก็เป็นกัลยาณปุถุชน.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=194&p=1
เสขะ รวมไปถึง กัลยาณปุถุชนไหมครับ ? จากหลักฐานในตำรา ท่านว่ารวมด้วยนะครับ
1 เสขบุคคล
พระผู้มีพระภาคเจ้า ครั้นทรงเแสดงความเป็นไปของปุถุชนซึ่งมีธรรม คือสักกายทิฏฐิทั้งหมดเป็นมูลในวัตถุธาตุมีปฐวีเป็นต้นดังพรรณนามาฉะนี้ บัดนี้ เมื่อจะแสดงความเป็นไปของพระเสขบุคคลในวัตถุธาตุเหล่านั้นเหมือนกัน จึงตรัสคำเป็นต้นว่า โยปิ โส ภิกฺขุ เสโข ดังนี้
บรรดาบทเหล่านั้น คำว่า โย เป็นคำขึ้นต้น. คำว่า โส เป็นคำแสดงไข. ปิ อักษร มีการประมวลมาเป็นอรรถ ดุจในประโยคว่า ธรรมแม้นี้ไม่เที่ยง ดังนี้.
ก็ด้วย ปิ ศัพท์นั้นย่อมประมวลมาซึ่งบุคคลโดยความเสมอกันทางอารมณ์ หาได้ประมวลมาโดยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่ แต่โดยกำหนดอย่างตํ่า ได้แก่บุคคลผู้มีทิฏฐิวิบัติ ในที่นี้มุ่งเอาบุคคลผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ ความเสมอกันของบุคคลทั้ง ๒ นั้นไม่มี แต่อารมณ์ของบุคคลพวกแรก (ผู้มีทิฏฐิวิบัติ) เป็นอย่างไร อารมณ์ของคนพวกหลังเหล่านี้ (ผู้สมบูรณ์ด้วยทิฏฐิ) ก็เป็นเช่นนั้นเหมือนกันแท้. ด้วยเหตุนั้น ท่านจึงกล่าวไว้ว่า ย่อมประมวลมาซึ่งบุคคลโดยความเสมอกันแห่งอารมณ์ หาได้ประมวลมาด้วยความเสมอกันแห่งบุคคลไม่.
พึงทราบว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงแสดงพระเสขบุคคลที่จะพึงกล่าว ในบัดนี้ ด้วยคำทั้งสิ้นนี้ว่า โยปิ โส. บทว่า ภิกฺขเว ภิกฺขู นี้มีนัยดังกล่าวแล้วนั้นแล.
บทว่า เสกฺโข ความว่า ที่ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่ากระไร?
ตอบว่า ที่ชื่อว่าเสขะ เพราะได้เสขธรรม.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า
ภิกษุทั้งหลายทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ ที่ชื่อว่าเป็นเสขะ ด้วยธรรมมีประมาณเท่าใด.
พระพุทธเจ้าตรัสตอบว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เป็นผู้ประกอบ ด้วยสัมมาทิฏฐิอันเป็นเสขะ ฯลฯ เป็นผู้ประกอบด้วยสัมมาสมาธิอันเป็นเสขะ ภิกษุ ชื่อว่าเป็นเสขะด้วยธรรมมีประมาณเท่านี้แล.
อีกอย่างหนึ่ง บุคคล ชื่อว่าเสขะ เพราะอรรถว่ายังศึกษาอยู่ดังนี้บ้าง.
สมจริงดังพระดำรัสที่พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสไว้ว่า ภิกษุศึกษาอยู่อย่างนี้แล ฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสขะ
ถามว่า พระเสขบุคคลย่อมศึกษาอะไร?
ตอบว่า ย่อมศึกษาอธิสีลสิกขาบ้าง อธิจิตตสิกขาบ้าง อธิปัญญาสิกขาบ้าง ภิกษุย่อมศึกษาอย่างนี้แล เพราะฉะนั้น ท่านจึงเรียกว่า เสขะ.
บุคคลแม้ใดเป็นกัลยาณปุถุชน เป็นผู้กระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา มีศีลสมบูรณ์ มีทวารอันคุ้มครองแล้วในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในการบริโภคโภชนะ ตามประกอบความเพียรของบุคคลผู้ตื่นอยู่ ตามประกอบภาวนานุโยคซึ่งโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้นและราตรีปลายอยู่ ด้วยความคิดว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่งในวันนี้หรือพรุ่งนี้ บุคคลนั้นท่านเรียกว่า เสขะ เพราะกำลังศึกษา.
แต่ในเนื้อความนี้ บุคคลผู้บรรลุปฏิเวธเท่านั้น ท่านประสงค์เอาว่า เสขะ หาใช่ประสงค์เอาปุถุชนไม่.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12&i=1&p=4
แต่ผมไม่เห็นด้วยกับการสรุปแบบนี้ เพราะผมเข้าใจว่า คำว่า ปุถุชน ตามที่ปรากฏนั้น พระอรรถกถาจารย์ ท่านหมายถึง อันธปุถุชนต่างหาก
เหตุผลก็เพราะว่า ในคำอธิบายในส่วน ปุถุชนนั้น ท่านอธิบายว่า ท่านหมายถึง อันธปุถุชน คือ ปุถุชน ทิจฉาทิฐิ ผู้ไม่ได้สดับพระธรรมคำสอน
ประเด็นนี้ ต้องพิจารณาให้ดีครับท่าน เพราะถ้าเราเชื่อตามพระอรรถกถา ว่าปุถุชนในมูลปริยายสูตรนี้ หมายถึง อันธปุถุชน
เสขะ ก็ต้องรวมเอากัลยาณปุถุชนเอาไว้ด้วย และคำว่า ปุถุชน ในส่วนเสขะ ก็ต้องหมายถึงอันธปุถุชน ไม่ได้หมายถึง กัลยาณปุถุชน
แต่ถ้าท่านคันโตนา จะบอกว่า ปุถุชนคำนี้ รวมไปถึง กัลยาณปุถุชนด้วย อย่างนั้น ภูมินัยของกัลยาณปุถุชน ก็หายไปเฉยๆ น่ะสิครับ
เพราะภูมินัยปุถุชน พระอรรถกถา ท่านบอกว่า หมายถึง อันธปุถุชน เท่านั้น
แต่ท่านคันโตนา ยังอ้างอัตตโนมัติของท่านเอง สรุปว่า กัลยาณปุถุชน ไม่อยู่ใน เสขะ อีกด้วย
อันนี้ ผมไม่เห็นด้วยครับท่าน
2 ความหมายของปุถุชน
ก็ในบทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ พึงทราบวินิจฉัยดังนี้ :-
ปุถุชน ชื่อว่าเญยยะ เพราะไม่มีอาคม ชื่อว่าอัสสุตวา เพราะไม่มีอธิคม.
อธิบายว่า ปุถุชนใด ชื่อว่าไม่มีอาคมที่ขจัดความไม่รู้ เพราะไม่รู้เหตุที่เว้นจากการเรียน การสอบถามและการวินิจฉัยในขันธ์ ธาตุ อายตนะ สัจจะ ปัจจยาการและสติปัฏฐานเป็นต้น. ชื่อว่าไม่มีอธิคม เพราะไม่ได้บรรลุธรรมที่จะพึงบรรลุด้วยการปฏิบัติ. ปุถุชนนั้นจึงชื่อว่าเญยยะ เพราะไม่มีอาคม ชื่อว่าอัสสุตวา เพราะไม่มีอธิคม.
ชนนี้นั้น ชื่อว่า ปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลายมีการ
ยังกิเลสหนาให้เกิดเป็นต้น อีกอย่างหนึ่ง ชนนี้
ชื่อว่า หนา (ปุถุ) เพราะหยั่งลงภายในกิเลสที่หนา.
จริงอยู่ ชนนั้น ชื่อว่าปุถุชน เพราะเหตุทั้งหลายมีอาทิคือ ยังกิเลสเป็นต้นที่หนามีประการต่างๆ ให้เกิด. สมดังพระธรรมสังคาหกาจารย์กล่าวไว้ว่า ชนทั้งหลาย ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ายังกิเลสหนาให้เกิด, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกสักกายทิฏฐิเบียดเบียนมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าต้องคอยมองดูศาสดาบ่อยๆ, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ายังไม่หลุดพ้นไปจากคติทั้งปวงที่หนาแน่น, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าปรุงแต่งเครื่องปรุงแต่งต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกโอฆะต่างๆ เป็นอันมากพัดพาไป, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าเดือดร้อนด้วยความเดือดร้อนต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าเร่าร้อนด้วยความเร่าร้อนต่างๆ เป็นอันมาก, ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่ากำหนัด ติดใจ สยบ ลุ่มหลง ติดขัด ขัดข้อง พัวพันในกามคุณ ๕ เป็นอันมาก. ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่าถูกนิวรณ์ ๕ ร้อยรัดไว้ ปกคลุม ปิดบัง ครอบงำไว้เป็นอันมาก. อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน เพราะอยู่ในหมู่ชนผู้มีธรรมจริยาต่ำ ผู้หันหลังให้กับอริยธรรม. จำนวนมาก คือนับไม่ถ้วน ซึ่งหันหลังให้อริยธรรม.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าปุถุชน เพราะอรรถว่า ชนนี้ถึงการนับว่าแยกอยู่ต่างหาก คือไม่เกี่ยวข้องกับพระอริยเจ้าทั้งหลายผู้ประกอบด้วยคุณมีศีลและสุตะเป็นต้น.
ด้วย ๒ บทว่า อสฺสุตวา ปุถุชฺชโน นี้ ดังกล่าวมานี้.
ในบรรดาปุถุชน ๒ จำพวกที่พระพุทธเจ้าผู้เป็น
เผ่าพันธุ์พระอาทิตย์ได้ตรัสไว้ คือ อันธปุถุชน
พวกหนึ่ง กัลยาณปุถุชนพวกหนึ่ง พึงทราบว่า
ท่านกล่าวหมายถึงอันธปุถุชน
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=12.0&i=1&p=2
สุดท้าย ผมก็ไปค้นหาหลักฐานเกี่ยวกับประเด็นนี้ ก็พบว่า โดยทั่วไป พระอรรถกถาท่านก็บอกว่า กัลยาณปุถุชน รวมอยู่ใน เสขะ น่ะครับท่าน
3 บทว่า เจริญ ได้แก่ ไม่ทราม.
จริงอยู่ เสขบุคคลทั้งหลายมีกัลยาณปุถุชนเป็นต้นจนถึงเป็นพระอรหันต์ ย่อมถึงความนับว่า ภิกษุผู้เจริญ เพราะประกอบด้วยศีล สมาธิ ปัญญา วิมุตติและวิมุตติญาณทัสสนะอันเจริญ.
บทว่า สาโร มีความว่า เสขกัลยาณปุถุชนนั้น พึงทราบว่า ภิกษุผู้มีสาระ เพราะประกอบด้วยสาระทั้งหลาย มีศีลสาระเป็นต้นเหล่านั้นนั่นเอง เปรียบเหมือนผ้าสีเขียว เพราะประกอบด้วยสีเขียวฉะนั้น. อีกอย่างหนึ่ง พระขีณาสพเท่านั้น พึงทราบว่า เป็นผู้มีสาระ เพราะเป็นผู้ปราศจากกระพี้คือกิเลส.
บทว่า เสกฺโข มีความว่า พระอริยบุคคล ๗ จำพวก กับทั้งกัลยาณปุถุชน ย่อมศึกษาสิกขาบท ๓ เพราะเหตุนั้น จึงจัดเป็นเสกขบุคคล. ในเสกขบุคคลเหล่านั้น คนใดคนหนึ่งพึงทราบว่า เป็นภิกขุเสกขะ. ที่ชื่อว่าอเสกขบุคคล เพราะไม่ต้องศึกษา. พระขีณาสพ ท่านเรียกว่า อเสกขบุคคล เพราะล่วงเสกขธรรมเสีย ตั้งอยู่ในผลเลิศ ไม่มีสิกขาที่จะต้องศึกษาให้ยิ่งกว่านั้น.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=1&i=25&p=1
4 บทว่า ปริชานนฺติ อธิบายว่า พระเสกขะทั้งหลาย จำเดิมแต่เป็นกัลยาณปุถุชน ชื่อว่าย่อมกำหนดรู้ด้วยปริญญาอันเป็นโลกิยะและโลกุตระ.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=15&i=219&p=1
5 นัยแม้ในบทที่สอง ก็เหมือนนัยนี้.
ก็ชื่อว่าผู้มีวาจาอันสำรวมแล้ว เพราะไม่ทำวจีทุจริต มีพูดเท็จทางวาจาเป็นต้น.
บทว่า สญฺญตตฺตโม คือผู้มีอัตภาพอันสำรวมแล้ว อธิบายว่า ผู้ไม่ทำอาการแปลก มีโคลงกาย สั่นศีรษะ และยักคิ้ว เป็นต้น.
บทว่า อชฺฌตฺตรโต ความว่า ผู้ยินดีในการเจริญกัมมัฏฐาน กล่าวคือโคจรธรรมอันเป็นไป ณ ภายใน.
บทว่า สมาหิโต คือ ผู้มีจิตตั้งมั่นด้วยดีแล้ว.
สองบทว่า เอโก สนฺตุสิโต ความว่า เป็นผู้มีปกติอยู่ผู้เดียวยินดีแล้วด้วยดี คือมีใจยินดีแล้วด้วยอธิคมแห่งตน จำเดิมแต่การประพฤติในวิปัสสนา.
จริงอยู่ พระเสขบุคคลแม้ทุกจำพวก ตั้งต้นแต่กัลยาณปุถุชนย่อมยินดีด้วยอธิคมแห่งตน เพราะฉะนั้น จึงชื่อว่าผู้สันโดษ. ส่วนพระอรหันต์เป็นผู้ยินดีแล้วโดยส่วนเดียวแล.
พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงหมายเอาพระอรหันต์นั้น จึงตรัสคำนั่นว่า "เอโก สนฺตุสิโต."
ในกาลจบเทศนา ชนเป็นอันมากบรรลุอริยผลทั้งหลาย มีโสดาปัตติผลเป็นต้น ดังนี้แล.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=35&p=2
6 อรรถกถาปฐมเสขสูตร
ในปฐมเสขสูตรพึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้ :-
คำว่า เสกฺโข ในบทว่า เสกฺขสฺส นี้ มีความว่าอย่างไร ชื่อว่าเสกขะเพราะได้เสกขธรรม.
สมดังที่ท่านกล่าวไว้ว่า๑-
ข้าแต่ท่านผู้เจริญ ด้วยเหตุเพียงเท่าไร ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
ภิกษุในธรรมวินัยนี้ประกอบด้วยทิฏฐิอันเป็นเสกขะ ฯลฯ ประกอบด้วยสมาธิอันเป็นเสกขะ.
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ด้วยเหตุเพียงเท่านี้แล ภิกษุชื่อว่าเป็นเสกขะ.
อีกอย่างหนึ่ง ชื่อว่าเสกขะ เพราะยังต้องศึกษา แม้ข้อนี้ก็ตรัสไว้ว่า๒- สิกฺขตีติ โข ภิกฺขเว ตสฺมา เสกฺโขติ วุจฺจติ ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เพราะภิกษุยังต้องศึกษา ฉะนั้น จึงเรียกว่าเสกขะ.
ถามว่า ศึกษาอะไร?
ตอบว่า ศึกษาอธิศีลบ้าง อธิจิตบ้าง อธิปัญญาบ้าง เพราะยังต้องศึกษา ดังนี้แล ฉะนั้นจึงเรียกว่าเสกขะ. แม้ผู้ที่เป็นกัลยาณปุถุชนกระทำให้บริบูรณ์ด้วยอนุโลมปฏิปทา ถึงพร้อมด้วยศีล คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย รู้จักประมาณในโภชนะ ประกอบความเพียรโดยไม่เห็นแก่นอนมากนัก ประกอบความเพียรด้วยการเจริญโพธิปักขิยธรรมตลอดราตรีต้น ราตรีปลาย ด้วยหวังว่า เราจักบรรลุสามัญญผลอย่างใดอย่างหนึ่ง ในวันนี้หรือในวันพรุ่งนี้ ท่านก็เรียกว่า เสกขะ เพราะยังต้องศึกษา.
ในข้อนี้ ท่านประสงค์เอาพระเสกขะผู้ยังไม่แทงตลอด ที่แท้ก็เป็นกัลยาณปุถุชน.
http://www.84000.org/tipitaka/attha/attha.php?b=25&i=194&p=1