ครั้งหนึ่ง พระมุสิละ พระปวิฏฐะ พระนารทะและพระอานนท์ อยู่
ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี. ครั้งนั้น พระปวิฏฐะได้กล่าวกับพระมุสิละว่า:-
"ดูก่อนทานมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย๑,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย๑, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย๑,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย๑,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย๑; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ
จะมีแก่ท่านมุสิละว่า 'เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กัน
มาเสีย@, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้น
ได้ว่า '’เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้.
(พระปวิฏฐะได้ถามเป็นลำดับไปถึงข้อที่เกี่ยวกับชาติ เกี่ยวกับภพ
เกี่ยวกับอุปาทาน เกี่ยวกับตัณหา เกี่ยวกับเวทนา เกี่ยวกับผัสสะ เกี่ยวกับสฬายตนะ
เกี่ยวกับนามรูป เกี่ยวกับวิญญาณ ด้วยคำถามอย่างเดียวกัน
พระมุสิละก็ได้ตอบยืนยันด้วยคำตอบอย่างเดียวกัน จนถึงข้อสุดท้าย
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย๑,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย๑, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย๑,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย๑,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย๑; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ได้หรือ?
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า
' เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ได้หรือ?"
(พระปวิฏฐะได้ถามพระมุสิละต่อไปถึงอาการปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร เป็นลำดับ ๆ ไปจนกระทั่งข้อสุดท้าย
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร' ดังนี้ ได้หรือ?
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า
'เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร' ดังนี้".
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ
จะมีแก่ท่านมุสิละว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟัง
ตาม ๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย;
กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ?
"เมื่อถูกถามอย่างนี้ พระมุสิละได้นิ่งเสีย.
(ลำดับนั้น พระนารทะได้เสนอตัวเข้ามาให้พระปวิฏฐะถามปัญหาอย่างเดียวกันนั้นบ้าง
เมื่อพระปวิฏฐะถาม
พระนารทะก็ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระมุสิละได้ตอบแล้ว ทั้งในส่วน
สมุทยวาร และนิโรธวาร จนกระทั้งถึงคำถามและคำตอบคู่สุดท้าย
"ดูก่อนท่านนารทะ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ
กันมาเสีย@, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้น
ได้ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้"ดูก่อนท่านนารทะ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ?"
"ดูก่อนท่าน! ธรรมที่ว่า 'ความดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น
เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญา๑
(ปัญญาที่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง
๑โดยไม่ต้องอาศัยเหตุ ๕ ประการ @ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น) จริง ๆ
แต่ว่ากระผมก็หาเป็นพระอรหันตขีณาสพไม่.
ดูก่อนท่าน! เปรียบเหมือนบ่อน้ำ มีอยู่ริมหนทางอันกันดาร, ที่บ่อนั้น
เชือกก็ไม่มี ครุสำหรับตักน้ำก็ไม่มี. ลำดับนั้น มีบุรุษผู้ถูกความร้อนแผดเผา
แล้ว ถูกความร้อนครอบงำแล้ว อ่อนเพลียอยู่ หิวกระหายอยู่
มาถึงบ่อนั้นแล้ว; บุรุษนั้นมองลงในบ่อนั้น เขามีความรู้สึกว่า น้ำในบ่อนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่อาจจะทำ
ให้น้ำนั้นถูกต้องกายเขาได้, ฉันใด; ดูก่อนท่าน! ข้อนี้ก็ฉันนั้น :
ธรรมที่ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี
ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่ว่ากระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่".
ครั้นพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระอานนท์ได้หันไปกล่าวกะพระปวิฏฐะว่า
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! ท่านเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้ ได้กล่าวอะไรแก่ท่านนารทะบ้าง?
".พระปวิฏฐะได้ตอบว่า "ดูก่อนท่านอานนท์! ผมซึ่งเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้
ไม่ได้กล่าวเรื่องอะไร ๆ กะพระนารทะเลย นอกจากเรื่องที่งดงาม และเรื่องที่เป็นกุศลธรรม", ดังนี้ แล.
สูตรที่ ๘ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๒๖๘-๒๗๕/๑๔๐
หลักการทดสอบตัวเองว่าเป็นอรหันต์หรือไม่
ณ โฆสิตาราม ใกล้เมืองโกสัมพี. ครั้งนั้น พระปวิฏฐะได้กล่าวกับพระมุสิละว่า:-
"ดูก่อนทานมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย๑,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย๑, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย๑,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย๑,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย๑; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ
จะมีแก่ท่านมุสิละว่า 'เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กัน
มาเสีย@, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้น
ได้ว่า '’เพราะมีชาติเป็นปัจจัย จึงมีชรามรณะ' ดังนี้.
(พระปวิฏฐะได้ถามเป็นลำดับไปถึงข้อที่เกี่ยวกับชาติ เกี่ยวกับภพ
เกี่ยวกับอุปาทาน เกี่ยวกับตัณหา เกี่ยวกับเวทนา เกี่ยวกับผัสสะ เกี่ยวกับสฬายตนะ
เกี่ยวกับนามรูป เกี่ยวกับวิญญาณ ด้วยคำถามอย่างเดียวกัน
พระมุสิละก็ได้ตอบยืนยันด้วยคำตอบอย่างเดียวกัน จนถึงข้อสุดท้าย
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย๑,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย๑, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย๑,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย๑,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย๑; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ได้หรือ?
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า
' เพราะมีอวิชชาเป็นปัจจัย จึงมีสังขารทั้งหลาย' ดังนี้ ได้หรือ?"
(พระปวิฏฐะได้ถามพระมุสิละต่อไปถึงอาการปฏิจจสมุปบาทฝ่ายนิโรธวาร เป็นลำดับ ๆ ไปจนกระทั่งข้อสุดท้าย
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร' ดังนี้ ได้หรือ?
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า
'เพราะมีความดับแห่งอวิชชา จึงมีความดับแห่งสังขาร' ดังนี้".
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ
จะมีแก่ท่านมุสิละว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย, เว้นการฟัง
ตาม ๆ กันมาเสีย, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย;
กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้นได้ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้
"ดูก่อนท่านมุสิละ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ?
"เมื่อถูกถามอย่างนี้ พระมุสิละได้นิ่งเสีย.
(ลำดับนั้น พระนารทะได้เสนอตัวเข้ามาให้พระปวิฏฐะถามปัญหาอย่างเดียวกันนั้นบ้าง
เมื่อพระปวิฏฐะถาม
พระนารทะก็ตอบอย่างเดียวกันกับที่พระมุสิละได้ตอบแล้ว ทั้งในส่วน
สมุทยวาร และนิโรธวาร จนกระทั้งถึงคำถามและคำตอบคู่สุดท้าย
"ดูก่อนท่านนารทะ! ถ้าเว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า)เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ กันมาเสีย@,
เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; ญาณเป็นเครื่องรู้เฉพาะตนจริง ๆ จะมีแก่ท่านมุสิละว่า
'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้ ได้หรือ?"
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! แม้เว้นความเชื่อ (ตามที่ได้ฟังจากพระผู้มีพระภาคเจ้า) เสีย@,
เว้นความชอบใจ (ตามที่บุคคลบางคนกล่าว) เสีย@, เว้นการฟังตาม ๆ
กันมาเสีย@, เว้นการตริตรึกไปตามอาการ (ของสิ่งแวดล้อมภายนอก) เสีย@,
เว้นการเห็นว่ามันเข้ากันได้กับทิฏฐิของตนเสีย@; กระผมก็ย่อมรู้ย่อมเห็นซึ่งธรรมข้อนั้น
ได้ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' ดังนี้"ดูก่อนท่านนารทะ! ถ้าอย่างนั้น ท่านเป็นพระอรหันตขีณาสพหรือ?"
"ดูก่อนท่าน! ธรรมที่ว่า 'ความดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น
เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญา๑
(ปัญญาที่เห็นอย่างถูกต้องตามที่เป็นจริง
๑โดยไม่ต้องอาศัยเหตุ ๕ ประการ @ดังที่ได้กล่าวแล้วข้างต้น) จริง ๆ
แต่ว่ากระผมก็หาเป็นพระอรหันตขีณาสพไม่.
ดูก่อนท่าน! เปรียบเหมือนบ่อน้ำ มีอยู่ริมหนทางอันกันดาร, ที่บ่อนั้น
เชือกก็ไม่มี ครุสำหรับตักน้ำก็ไม่มี. ลำดับนั้น มีบุรุษผู้ถูกความร้อนแผดเผา
แล้ว ถูกความร้อนครอบงำแล้ว อ่อนเพลียอยู่ หิวกระหายอยู่
มาถึงบ่อนั้นแล้ว; บุรุษนั้นมองลงในบ่อนั้น เขามีความรู้สึกว่า น้ำในบ่อนั้นมีอยู่ แต่เขาไม่อาจจะทำ
ให้น้ำนั้นถูกต้องกายเขาได้, ฉันใด; ดูก่อนท่าน! ข้อนี้ก็ฉันนั้น :
ธรรมที่ว่า 'การดับแห่งภพ คือนิพพาน' นั้น เป็นธรรมที่กระผมเห็นแล้วด้วยดี
ด้วยยถาภูตสัมมัปปัญญาจริง ๆ แต่ว่ากระผมก็หาเป็นอรหันตขีณาสพไม่".
ครั้นพระนารทะกล่าวอย่างนี้แล้ว พระอานนท์ได้หันไปกล่าวกะพระปวิฏฐะว่า
"ดูก่อนท่านปวิฏฐะ! ท่านเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้ ได้กล่าวอะไรแก่ท่านนารทะบ้าง?
".พระปวิฏฐะได้ตอบว่า "ดูก่อนท่านอานนท์! ผมซึ่งเป็นผู้ขี้มักถามอย่างนี้
ไม่ได้กล่าวเรื่องอะไร ๆ กะพระนารทะเลย นอกจากเรื่องที่งดงาม และเรื่องที่เป็นกุศลธรรม", ดังนี้ แล.
สูตรที่ ๘ มหาวรรค อภิสมยสังยุตต์ นิทาน. สํ. ๑๖/๒๖๘-๒๗๕/๑๔๐