เธอคือใคร บทส่งท้าย (และอาจจะมีเหตุการณ์อื่นต่อใน โอกาสต่อไป)

กระทู้คำถาม
ผมชื่อเอก คนเดิมครับ หลังจากเหตุการณ์ที่ผมเจอผีตอนรับน้องใหม่ชั้นปีที่ 1 ได้ผ่านไปแล้ว 1 ปี ตอนนี้ผมขึ้นชั้นปีที่ 2 แล้ว ในปีนี้ผมได้ออกจากบ้านมาอยู่หอพักใกล้ ๆ มหาวิทยาลัย เนื่องจากภาระทางด้านการเรียนที่มากขึ้น ส่วน P เพื่อนสนิทผมนั้นไม่สามารถย้ายมาพักที่หอพักกับผมได้ เนื่องจากทางครอบครัวของเขาค่อนข้างจะเข็มงวดและ แอน สาวสวย ลูกพี่ลูกน้องของผมก็ย้ายออกจากบ้านไปพักที่หอพักกับแฟนหนุ่มของเธอเช่นกัน
หอพักที่ผมอยู่นั้นเป็นหอพักเก่า ๆ แต่ก็มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครัน ทั้งเคเบิลทีวี และอินเทอร์เน็ต มีตู้เย็นเล็ก ๆ และตู้เสื้อผ้าไม้ตู้ใหญ่ให้อย่างละหนึ่งตู้ มีโต๊ะเครื่องแป้ง และก็มีห้องน้ำภายในห้อง หอพักแห่งนี้ตั้งอยู่ถนนฝั่งตรงข้ามของมหาวิทยาลัยที่ผมเรียนเท่านั้นเอง  หอถูกสร้างเป็นตึกรูปตัวยูมีทั้งหมดหกชั้น ตรงกลางของตึกรูปตัวยูนั้นเป็นลานจอดรถและสวนสาธารณะขนาดเล็กๆ สำหรับให้คนที่มาพักได้นั่งพักผ่อน ผมได้พักที่ชั้นสุดท้ายคือชั้นที่ 6 แถมยังเป็นห้องสุดท้ายของชั้นนี้ คือห้องหมายเลข 12/1 สิ่งที่ผมแปลกใจเมื่อได้ย้ายเข้าห้องพักของหอพักแห่งนี้คือ อย่างแรก  ประตูทางเข้าห้องพักนั้นตรงกับประตูทางเข้าห้องน้ำ และประตูทางเข้าห้องก็ยังตรงกันบันได้ขึ้นลงด้วย อย่างที่สอง หอพักแห่งนี้กำแพงด้านหนึ่งติดกับกำแพงวัด ส่วนกำแพงด้านหลังติดกับเมรุเผาศพ  ซึ่งผู้อ่านทุกท่านก็คงจะไม่ต้องรู้สึกแปลกใจเลยใช่ใหมหล่ะครับที่หอแห่งนี้จะไม่ค่อยมีคนมาอยู่สักเท่าไหร่ แต่ผมก็จำเป็นที่จะต้องพักหอนี้ครับ เนื่องจากมันอยู่ใกล้มหาวิทยาลัย และอีกอย่างญาติของผมก็เป็นเจ้าของหอนี้ ผมจึงไม่ต้องจ่ายค่าหอแพงเหมือนกับคนอื่น ๆ (ตอนแรกเจ้าของหอจะให้ผมอยู่ฟรี ๆ แต่ผมรู้สึกเกรงใจครับ) ก็อย่างที่บอกไปครับชั้นของผมมี 13 ห้อง แต่หมายเลขห้องพักของผมนั้น คือ 12/1 เนื่องจากความเชื่อของคนทั่วไปว่าเลข 13 นั้นไม่ดี แต่ทั้งชั้นนี้กลับมีคนพักอยู่แค่ 2 ห้อง นั่นคือ ห้องหมายเลข 1 และก็ห้องผม แต่ก็ดีสำหรับผมครับ เพราะว่ามันเงียบดี จะได้ไม่มีคนมากวนผมตอนอ่านหนังสือ (แต่ถ้าเป็นอย่างอื่นที่ไม่ใช่คนมากวนผม ผมคงจะห้ามไม่ได้) ส่วนที่ว่าทำไมผมถึงได้เลือกพักห้องนี้หน่ะหรือครับ ก็เพราะว่าห้องอื่น ๆ ที่ผ่านมานั้นมีคนจองไว้และได้จ่ายค่ามัดจำไว้แล้ว แต่พวกเขายังไม่ได้เข้ามาพัก ผมจึงเข้าพักไม่ได้
ในทุกวันผมจะออกจากหอพักตั้งแต่เช้าเพื่อไปเรียน และกลับมาหอพักในตอนค่ำ เวลาประมาณ ห้าโมง ดึกสุดที่ผมกลับมาก็จะประมาณ สี่ทุ่มเห็นจะได้ และเรื่องมันก็เกิดในวันที่ผมกลับมาตอนสี่ทุ่มนั่นแหล่ะ  
ในวันนั้น ผมเลิกเรียนตอนห้าโมงเย็น แต่หลังเลิกเรียน พีเพื่อนผมก็ชวนผมกับเพื่อนอีกห้าคนไปกินเลี้ยงด้วยกันเนื่องจากว่าพีนั้นถูกรางวัลหายได้ดิน เป็นเงินกว่าสองพันบาท พวกเรารวมเพื่อนเจ็ดคน จึงไปกินหมูกระทะกัน ผมรู้สึกทะยิ้ม ๆ ทันทีที่นั่งลงที่โต๊ะอาหาร เมื่อพนักงานเสิร์ฟ นำถ้วยจานและน้ำจิ้มมาวางทั้งหมดแปดชุด ทั้ง ๆ ที่พวกผมมีกันเจ็ดคน ทุกคนต่างก็มองหน้ากัน แต่ก็ไม่ได้มีใครพูดอะไรออกมา เนื่องจากไม่อยากทำให้เสียบรรยากาศ พวกเราทานกันไปคุยกันไปอย่างสนุกสนาน แล้วจากนั้นก็ค่อยแยกย้ายกันกลับ ระหว่างที่ผมกำลังเดินทางกลับ ในความรู้สึกของผมแล้วมันบอกไม่ถูก เหมือนกับว่าผมไม่ได้เดินทางกลับคนเดียว  เมื่อถึงห้องพักผมก็พบกล่องพัสดุไปรษณีย์ที่ส่งมาถึงผมวางอยู่ที่หน้าห้อง ผมหยิบขึ้นมาดูพบว่ามันจ่าหน้ากล่องถึงผู้รับก็คือผมแต่ไม่ได้จ่าหน้ากล่องผู้ส่งว่าคือใคร ผมถือกล่องนั้นเข้ามาภายในห้องจากนั้นก็วางมันลงที่เตียงนอนก่อนจะเข้าไปอาบน้ำอาบท่าแล้ว จึงออกมาแกะกล่องออกดู ผมพบว่าภายในกล่องมีผ้าลักษณะเหมือนผ้ายันต์สีขาวผืนเล็ก ๆ ผืนหนึ่ง ซึ่งมีขนาดพอ ๆ กับฝ่ามือ ตรงกลางผ้ายันต์เขียนรูปหญิงสาวมีเส้นผมยาวตรงถึงเอว สวมชุดไทยแบบโบราณ นั่งพับเพียบพนมมืออยู่ และเขียนล้อมรอบรูปหญิงสาวด้วยอักขระ ซึ่งผมไม่แน่ใจว่าเป็นภาษาอะไร ผมนำผ้าผืนนี้ ลงไปทิ้งที่ถังขยะหน้าหอพักชั้นล่างทันที แล้วก็เดินขึ้นมาบนห้อง แต่ก็ผมต้องตกใจอย่างมาก เมื่อผ้ายันต์ผืนนี้นั้นมันกลับมาวางที่เตียงนอนของผมเหมือนเดิม ทั้ง ๆ ที่ผมเพิ่งจะทิ้งมันไปหยก ๆ  ผมเริ่มจะรู้สึกไม่ดีแล้ว จึงนำผ้ายันต์ผืนนี้ลงไปทิ้งอีกถึงสามครั้ง แต่มันก็กลับมาวางที่เดิมอีกทุกครั้ง ผมก็เลยคิดในใจว่าต้องเจอดีอีกแน่ ๆ ก็เลยคิดในใจพร้อมกับมองไปที่ผ้ายันต์ว่า “ก็ไม่รู้นะว่าใครส่งคุณมา แต่ถ้าจะอยู่ด้วยก็อยู่นะ ช่วยคุ้มครองด้วยก็แล้วกัน” หลังจากนั้นผมก็นำผ้ายันต์ผืนนี้ไปวางไว้บนหลังตู้เสื้อผ้า แล้วผมก็เข้านอน
เช้าวันต่อมาผมตื่นตั้งแต่เช้า อาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ออกจากห้องพัก เดินทางลงไปทานข้าว ณ ร้านขายอาหารตามสั่งใกล้ ๆ หอพักเหมือนเดิม แต่คราวนี้เหตุการณ์ปกติ พนักงานเสิร์ฟ ไม่ได้ให้จานกับข้าวมาเกินเหมือนกับที่ร้านหมูกระทะ หลังจากผมทานข้าวเสร็จผมก็จ่ายเงินแม่ค้าแล้วก็เดินออกจากร้าน เพื่อเดินทางขับรถเข้าไปยังมหาวิทยาลัย ผมนำรถไปจอดที่ลานจอดรถ จากนั้นก็เดินด้วยเท้าไปยังตึกที่จะเข้าเรียน ผมเดินผ่านหน้าห้องสมุดพร้อมกับคิดถึงเรื่องที่เคยประสบมา จึงหยุดยืนดูสักพัก แต่จุ่ ๆ ผมก็เห็นหญิงสาวในชุดนักศึกษาคนหนึ่ง เดินมานั่งที่เก้าอี้หินอ่อนหน้าห้องสมุด เมื่อเธอหันหน้ามาทางผม ผมถึงกับช๊อก เพราะเธอคือ “ผกากรอง”  ผกากรองยิ้มให้ผม ก่อนที่เธอจะค่อย ๆ เดินถอยหลังออกห่างจากผมไปด้วยท่าทางหวาดกลัว  “ออกไปให้ห่างจากเจ้านายกู” เสียงของผู้หญิงอีกคนดังมาจากด้านหลังของผม ผมจึงหันกลับไปดู แล้วผมก็ต้องตกใจอีกครั้งพร้อมกับยืนตะลึง เมื่อพบว่า มีผู้หญิงอีกคนยืนอยู่ข้างหลังผม พร้อมกับชี้นิ้วไปที่ผกากรอง  หญิงสาวคนนี้เธอสวมชุดไทยโบราณเหมือนกับภาพวาดในผ้ายันต์ที่ผมเจอจากกล่องพัสดุ
“เฮ้ย เอก ๆ ๆ ตื่นเว้ย” ผมสะดุ้งขึ้นทันทีที่มีคนเขย่าตัวของผม ผมเริ่มมีสติผมก็พบว่าตนเองนั้นนั่งฟุ๊บหลับอยู่ที่โต๊ะหินอ่อนหน้าห้องสมุด และคนที่มาเขย่าตัวของผมคือ P เพื่อนผมนั่นเอง ผมเล่าเรื่องต่าง ๆ ให้พีเพื่อนของผมฟัง
“นี่เพื่อนตามความคิดของฉัน” พีแสดงความคิดเห็นซึ่งก็ดูมีเหตุผลที่สุดที่ผมเคยได้ยินคำพูดจากปากของเขา “เรื่องของคนมันจบไปแล้ว แต่เรายังไม่ได้จัดการเรื่องของผีให้จบ”
“ยังไง” หล่ะผมเริ่มสงสัย
“ขั้นแรก นายควรจะหาวิธีบอก พรายอะไรนั่นของนายให้ห่างจากนายสักพักก่อน” พีพูดต่อ “ไม่อย่างนั้น เราก็ช่วยผกากรองไปสู่สุคติไม่ได้ ถ้านายยังมี บอดีกาด คุมแจแบบนี้”
“แล้วไงต่อ” ผมถามพีต่อ
“เรามีสามขานะ” พีพูดพร้อมยักไหล่ พร้อมกับชี้นิ้วไปที่แอน ซึ่งก็กำลังเดินมาหาผม “โน่นอีกขาหนึ่ง”
“นี่ เอก พี” แอนตะโกนกลับมายังผม “ให้มันจบจริง ๆ ซะทีเถอะ”
พวกทั้งสามคนจึงนัดกันหลังเลิกเรียน มาที่ตึกเรียนที่ผกากรองตาย จากนั้น แอนก็พาพวกผมมียืนที่จุดที่คิดว่าศพของผกากรองตกลงมา
“ตรงนี้แหล่ะ” แอนพูดพร้อมกับเรียกผมกับพีมาให้นั่งลง แล้วเธอก็กางกระดาษสี่เหลี่ยมจัตุรัสแผ่นหนึ่งออก
“เอาหล่ะ” แอนพูดพร้อมกับยื่นธูปดอกหนึ่งให้ผม “เรื่องนางพรายอะไรนั่นของนายหน่ะ เราค่อยมาหาคำตอบกันทีหลัง แต่ตอนนี้ กันเธอให้ออกไปห่าง ๆ ก่อน”
“ผมรับธูปจากแอนมาพร้อมกับอธิฐานจิตบอกพรายว่า “ที่นี่ปลอดภัย ไม่ต้องมาคุ้มครองแล้ว” จากนั้นก็ปักธูปลงดิน
“เดี๋ยวก่อนนะ” พีพูดพร้อมกับเดินมานั่งข้าง ๆ ผม “อย่าบอกนะจะถามด้วยผีถ้วยแก้ว”
“ใช่แล้ว” แอนพูดพร้อมกับ นำแก้วใบเล็ก ๆ ใบหนึ่งวางลงที่กระดาษ “เดี๋ยวอีกขาหนึ่งกำลังมา”
สักพักชายหนุ่มรูปร่างสูงโปรง ผิวขาว คนหนึ่งก็เดินมาที่วงของพวกเรา ผมจำได้ทันที ว่าหมอนี่คือ ไอ้น๊อต นักบาสตัวแทนของมหาวิทยา หนุ่มหน้าตาดี ที่มีสาว ๆ ติดตรึม ตามกรีดทุกสนาม แต่ผมก็ไม่เข้าใจอยู่อย่างหนึ่งว่าทำไมเขาถึงมาชอบแอนได้ ทั้ง ๆ ที่ตัวเลือกดี ๆ มีเยอะ
“นายเชื่อเรื่องนี้ด้วยเหรอ” ผมหันหน้าไปถามน๊อต “นึกว่านายจะเป็นพวกหัววิทยาศาสตร์ซะอีก”
“ก็อย่างนั้นแหล่ะ” น๊อตตอบพร้อมกับยักไหล่เล็กน้อย “แต่ฉันเป็นคนที่ชอบหาคำตอบ”
“โอเค” พีพูดพร้อมกับมองหน้าทุกคน “ถ้าพร้อมกันแล้วมาเริ่มกันเลย ทุกคนจับที่แก้ว”
จากนั้นแอนก็เริ่มพูดคาถา แล้วก็พูดว่า “ถ้าวิญญาณคุณผกามาแล้ว ช่วยบอกด้วย” เมื่อแอนพูดจบถ้วยก็เคลื่อนไป ผมรู้สึกว่านิ้วของผมนั้นแข็งทื่อ ต้องขยับไปตามที่แก้วพาไป ในตอนแรกผมคิดว่าเพื่อจะแกล้งผมหรือเปล่า แต่เมื่อผมก้มลงมองดูก็พบว่า นิ้วของพวกเรานั้นลอยอยู่เหนือแก้วน้ำประมาณสองถึงสามเซนติเมตร ไม่ได้สัมผัสแก้วเลย  
แก้ววนรอบกระดาษสองรอบจากนั้นก็มาหยุดอยู่ตรงที่หน้าผม แล้วผมก็รู้สึกว่าตนเองนั้นวูบไป  ผมรู้สึกตัวอีกครั้งก็พบว่าตนเองนั้นยืนอยู่ที่ตึกนี้ แต่สภาพของมันในตอนนี้นั้น เป็นสภาพครั้งที่ตอนกำลังสร้าง  ผมเห็นผกา เดินมาที่ตึกนี้อย่างรีบร้อน เธอลอดเส้นเชือกสีเหลืองที่ติดป้ายห้ามเข้าเข้ามา และก็เหมือนกับว่าเธอนั้นมองไม่เห็นผม แล้วสักพักอาจารย์วรวิทย์ ก็เดินเข้ามา
“มาแล้วเหรอ ผกากรอง” อาจารย์วรวิทย์พูดเบา ๆ จากทางด้านหลัง ผกากรองจนเธอสะดุ้ง
“อา..จารย์วรวิทย์” ผกากรองหันกลับไปด้วยอาการตกใจเธอถอยหลังออกมาจากอาจารย์วรวิทย์ สองสามก้าว “อาจารย์ผิดสัญญา”
“อาจารย์ไม่ได้ช่วยหนู” ผกากรองพูดพร้อมกับยกแผ่นซีดีแผ่นหนึ่งขึ้นมา “หนูกำลังจะโดนรีไทร์”
“ใจเย็น ๆ นะ”อาจารย์วรวิทย์พูดพร้อมกับเดินเข้าไปใกล้ ๆ ผกากรอง “อาจารย์กำลังทำอยู่ ขอแผ่นซีดีต้นฉบับคืนมาให้อาจารย์เถอะ”
“ไม่ จนกว่าอาจารย์จะรับปากจะช่วยหนู” ผกากรองยกแผ่นซีดีขึ้นมาให้อาจารย์วรวิทย์ดูอีกครั้ง “ให้ได้ภายในสัปดาห์นี้ ไม่อย่างนั้น ทั้งอาจารย์และหนูก็พังกันทั้งคู่ เพราะหนังเรื่องนี้อาจารย์กับหนูแสดงด้วยกัน”
“อาจารย์ไม่ยอมพังกันหนูแน่” อาจารย์วรวิทย์วิ่งเข้าใส่ผกากรองพร้อมกับบีบคอเธอแน่น จนเธอแน่นิ่งไป จากนั้นเขาก็หยิบแผ่นซีดีจากมือผกากรองมาเก็บไว้ในกระเป๋าเสื้อ แล้วจู่ ๆ  ชายคนหนึ่งซึ่งตามที่ผมมองเห็นเขาน่าจะเป็นช่างติดกระจกก็รีบวิ่งมา “นี่คุณทำอะไรกัน”
อาจารย์วรวิทย์ไม่พูด เขาเริ่มชกต่อยกับช่างทันที แล้วในขณะที่ช่างยังไม่ทันตั้งตัวเขาก็นำก้อนอิฐฟาดที่หัวของเขาจนสลบ จากนั้นอาจารย์วรวิทย์ก็ทำลายหลักฐานด้วยการนำแผ่นกระจกมาตัดคอร่างของผกากรองซะ โดยที่ให้บนแผ่นกระจกมีรอยนิ้วมือช่างทำกระจกติดอยู่  แต่ก่อนจะเดินจากไป อาจารย์วรวิทย์ ได้ฉีกกระโปรงของผกากรองที่เปื้อนเลือดออกมานิดหน่อย จากนั้นก็ถือมันเดินไป ผมรีบเดินตามไปดู พบว่า อาจารย์วรวิทย์กำกลังใช้ปากกาเขียนข้อความอะไรบางอย่างในเศษผ้า จากนั้นเขาก็นำมันไปฝังไว้ใต้โคนต้นไม้ใหญ่ซึ่งก็คือต้นก้ามปูที่อยู่หน้าห้องสมุดนั่นเอง แล้วหลังจากนั้นทุกอย่างก็ดำมืด
ผมตัวอีกทีก็ตอนที่พีนำมือทั้งสองข้างมาเขย่าตัวของผม เมื่อผมเริ่มมีสติ ผมก็รีบวิ่งไปที่โคนต้นก้ามปูหน้าห้องสมุดทันที โดยที่เพื่อนของผมอีกสามคนวิ่งตามหลังมาติด ๆ  ผมหยิบท่อนไม้ที่หาได้จากแถว ๆ นั้นขุดลงไปที่โคนต้นก้ามปูลึกลงไปพอสมควร ในที่สุดผมก็พบเศษผ้ากระโปรงนักศึกษาขนาดเท่าผ่ามือผืนหนึ่ง บนผ้ายังมีคราบเลือดติดและมีอักขระที่เขียนด้วยภาษาแปลกๆด้วยปากกาสีแดง
“นี่ไง” ผมยื่นผ้าให้เพื่อน ๆ ทั้งสามดู “ผมว่าเธอคงอยากจะให้เราช่วยปล่อยเธอ”
“ใช่” แอนพูดเสริม “ถ้าอย่างนั้น ฉันพอรู้จักวัดแห่งหนึ่ง พระที่นั่นท่านช่วยได้”
ผมจึงมอบเศษผ้าให้แอนไป  จากนั้นพวกเราก็แยกย้ายกันกลับ เช้าวันต่อมา แอนพาพวกผมไปยังวัดแห่งหนึ่ง ซึ่งอยู่ห่างจากมหาวิทยาลัยพอสมควร เธอมอบผ้าให้เจ้าอาวาส จากนั้นท่านก็นำไปทำพิธีอะไรบางอย่าง แล้วก็เผาผ้าไป แล้วพวกเราก็กรวดน้ำอุทิศส่วนกุศล ถวายสังฆทาน แล้วก็พากันเดินทางกลับ และจากนั้นเป็นต้นมาผมก็ไม่ได้เห็นวิญญาณผกากรองอีกเลย  (เรื่องนี้...จบจริง ๆ)
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่