นี่เป็นกระทู้แรก ถ้าพิมผิดหรืออ่านไม่ถนัดก็ขออภัยด้วยนะคะ
เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองค่ะ อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ชาวพันทิพค่ะ
จะขอพิมม้วนเดียวจบนะคะ อาจจะยาวหน่อย แต่อยากแชร์จริงๆค่ะ
ถ้าแท็กผิดห้องก็ขอโทษด้วยนะคะ
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้ขับรถเส้นพระราม9 ฝั่งขาออกไปมอเตอร์เวย์
ช่วงเวลาประมาณ 3-4ทุ่ม ขับความเร็วประมาณ 70-90 ขับอยู่เลนขวาสุด
ถ้าใครที่ผ่านเส้นนี่น่าจะรู้ว่ามีเกาะกลางถนน ที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้และมีที่กั้นไม่ให้คนข้าม
และตรงช่วงพระราม9 ซอย 47 จะมีสะพานลอยให้ข้าม
พออยู่ช่วงพระราม9 ซอย49 ก็ได้มีบุคคลคนหนึ่งโผล่ออกมาจากเกาะกลางถนน
ด้วยความที่เป็นเวลากลางคืน บวกกับอยู่ดีๆโผล่ออกมาจากเกาะกลางถนนที่มีพุ่มไม้เยอะๆ
เราเลยมองไม่เห็น รู้อีกทีคือเห็นคนอยู่ข้างหน้า แล้วก็หลับตาแล้วเหยียบเบรคกระทันหัน
พอเหยียบเบรคก็รับรู้ได้ถึงการที่ไปชนคนนั้นค่ะ แล้วรถข้างหลังก็มาชนท้ายรถเรา
บอกก่อนนะคะ ว่าเราไม่ได้เมาแล้วขับค่ะ วันนั้นอ่านหนังสือสอบที่ The nine แล้วก็ขับออกมา
ตอนนั้นนั่งมากับเพื่อนอีกหนึ่งคน เราทั้งคู่ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ พอลงมาจากรถ
เห็นคนนอนอยู่เลนกลาง ถือว่าโชคดีมากๆที่ไม่มีรถวิ่งมาตอนเค้ากลิ้งไปเลนกลาง
แต่สภาพเค้าคือไม่มีสติ และมีเลือดออกจากบริเวณหัว ไม่ได้ใส่รองเท้า
บอกตรงๆตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ คือหัวมันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก
ได้แต่ยืนดูโทรศัพท์แล้วคิดวนไปวนมาว่าต้องโทรหาเบอร์ไหน อะไรยังไง
แต่พอดีมีหน่วยป๋อเต๊กตึ๊งขับมอเตอร์ไซมาพอดี เค้าเลยเป็นคนโทรเรียกรถป๋อเต๊กตึ๊งกับ
ตำรวจให้ ไม่ถึง10นาทีป๋อเต๊กตึ๊งก็มาถึง พวกเค้าบอกว่ายังไม่เสียชีวิต พอปฐมพยาบาลอยู่
ซักพักก็ไปส่งที่โรงพยาบาลราชวิถี พอตำรวจมาถึงก็ถามคร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็เล่าให้ฟังตามที่เกิดเหตุการณ์ แล้วก็ให้ไปสน. ลงบันทึกประจำวัน กับคู่กรณีที่มาชนท้ายด้วย
แล้วก่อนจะไปสน. คู่กรณีก็ได้มาคุยว่า ให้ช่วยพูดกับประกันของดิฉันให้หน่อยว่า
ช่วยคุ้มครองรถของเขาด้วย เพราะเขาไม่มีประกัน ดิฉันก็บอกปัดๆไปว่าให้คุยกับประกันเอาเองแล้วกัน
พอประกันมาถึงคู่กรณีก็ได้คุยกับประกัน ประกันก็ตอบว่าไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะ
เขามาชนท้ายรถเรา เขาเป็นฝ่ายผิด พอประกันพูดแบบนั้น คู่กรณีที่เป็นผู้หญิงค่ะ (คนขับเป็นผู้ชาย นั่งมากัน3คน)
มาเหวี่ยงใส่ว่า เนี่ยจะต้องไปงานศพที่ต่างจังหวัด ไม่ได้ไปเลย เพราะมารถชน
ตอนนั้นในใจคือแบบ เห้ยยย ฝั่งเราขับรถชนคนนะเว้ยยย ยังจะมาเหวี่ยงใส่อีก
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไป เพราะยังเบลอๆตื้อๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และระหว่างที่รอประกันดูรถอยู่ มีลุงคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า คนที่โดนชนไปเซเว่นมา ตอนอยู่ที่แคชเชียร์อยู่ข้างๆลุง
กลิ่นเหล้าหึ่งมาก แล้วก็เดินเซๆ ลุงบอกน่าจะเมามากอยู่ รองเท้าก็ไม่ใส่
ไอเราก็แอบโล่งนิดนึงเพราะว่าเขาเมา โทษเราน่าจะเบาลงได้บ้าง เพราะยังไงเราก็น่าจะโดน
ข้อหาประมาท หรืออาจจะเป็นข้อหาประมาทร่วม ตอนนั้นคือฟุ้งซ่านมาก
คิดไปไกลว่าจะต้องขึ้นศาลหรือเปล่า จะมีคดีติดตัวหรือเปล่า คิดไปต่างๆนาๆ
พอมาถึงสน. ก็ลงบันทึกประจำวันเสร็จเรียบร้อย ตำรวจก็หาข้อมูลคนไข้มา (หลังจากนี้ขอเรียกคนที่เราชนว่าคนไข้นะคะ)
คนไข้เป็นคนต่างจังหวัด อายุ33ปีค่ะ พอเราได้ชื่อ-นามสกุลมา พอคุยกับประกันเสร็จ
เราก็รีบไปโรงพยาบาลเลยคะ แฟนมาหาที่สน. แล้วไปโรงพยาบาลกับแฟนค่ะ
พอถึงโรงพยาบาลก็บอกชื่อไป คนไข้อยู่ห้องฉุกเฉิน เราก็เข้าไปกับแฟนค่ะ แฟนเป็นคนเดินไปดูก่อน
เราก็เดินตามไปแบบกล้าๆกลัวๆ พอเห็นสภาพคนไข้ เรานี่รู้สึกผิดมากๆ พอถามหมอว่าเป็นยังไงบ้าง
เขาก็บอกว่า เลือดคั่งในสมองเยอะมาก ยังผ่าตัดไม่ได้ และก็กระดูกซี่โครงหักเยอะ มีโอกาสไม่รอดสูง
ยิ่งหมอพูดแบบนั้นเราก็ยิ่งหดหู่เลยค่ะ พยาบาลบอกว่ายังติดต่อญาติคนไข้ไม่ได้ เราก็ทิ้งเบอร์ไว้
เผื่อญาติคนไข้มาแล้วจะได้ติดต่อเราได้ และเราก็ได้ขอพยาบาลว่า ตรวจเลือดคนไข้ให้หน่อยว่า
มีแอลกอฮอลอยู่หรือเปล่า เพราะถ้าจะขึ้นศาล เราก็อยากเก็บไว้เป็นหลักฐาน พยาบาลก็บอกว่า
ที่โรงพยาบาลไม่มีสารตรวจแอลกอฮอล ต้องให้ตำรวจส่งเรื่องมาก่อน แล้วโรงพยาบาลถึงจะส่งเลือด
ให้โรงพยาบาลตำรวจเพื่อทำการตรวจ จังหวะนั้นคือ เราคิดว่ากว่าจะได้ตรวจเลือด
แอลกอฮลคงหายไปจากกระแสเลือดละ = =‘ เราก็เลยกะจะไปคุยกับตำรวจวันถัดไป
กว่าจะถึงบ้านก็ ตี4 ได้ค่ะ พ่อแม่ก็ยังไม่ได้นอน พวกเขาเป็นห่วงเราจริงๆค่ะ อย่างน้อยก็มีกำลังใจจากพ่อและแม่
พอวันถัดไป เราก็ไปเซเว่นที่คนไข้ไปมา แล้วถามพนักงานว่า คนไข้เมาจริงหรือเปล่า สรุปว่าคนไข้เมาจริงค่ะ
พนักงานบอกว่าคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง กลิ่นเหล้าหึ่งมาก รองเท้าไม่ได้ใส่มา เราก็ขอดูภาพกล้องวงจรปิด
ภาพในกล้องชัดเจนเลยค่ะ คนไข้เดินถอยหลังเซๆออกจากเซเว่นไป แล้วก็ข้ามถนนไป
เราก็เลยขอให้เซเว่นเก็บภาพกล้องวงจรปิดไว้ ปรากฏว่าภาพเก็บได้แค่3วัน
แล้วต้องไปติดต่อตำรวจก่อนแล้ว ให้ตำรวจมาขอเองที่เซเว่น เอาง่ายๆคือทุกอย่างต้องให้ตำรวจจัดการ
คือไม่ได้อคติอะไรกับตำรวจนะคะ แต่ทุกคนน่าจะพอทราบดีว่า ตำรวจทำงานกันช้ามากกกกก
หลังจากที่ไปเซเว่นเราก็ไปหาตำรวจ เพื่อบอกให้เขาทำเรื่องให้ตรวจ กับ ขอภาพกล้องวงจรปิดที่เซเว่น
ตำรวจก็รับเรื่องไว้ค่ะ บอกว่าต้องให้เบื้องบนเซ็นเอกสาร ถึงจะส่งเรื่องไปได้
หลังจากไปหาตำรวจเสร็จ ก็ไปที่โรงพยาบาล ซื้อกระเช้าไปให้คนไข้ แต่คนไข้ยังไม่ได้สตินะคะ
พอถามหมอว่าอาการเป็นยังไงบ้าง หมอก็บอกว่าพูดยาก โอกาสรอดอาจจะน้อย หรือถึงรอดมาก็
คงเป็นเจ้าชายนิทราไม่ก็พิการไปเลย บอกตรงๆว่า ความรู้สึกตอนนั้นคือแย่มากๆ ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกแย่
ต่อให้เราไม่ผิด เราก็รู้สึกแย่จริงๆนะคะ ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้หรอกค่ะ
พอหลังจากวันที่ชน 2-3วัน ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา พอรับก็ปรากฏว่าเป็นญาติคนไข้ค่ะ
ญาติก็บอกว่าเพิ่งรู้เรื่อง เขาจะไม่ขออะไรมาก แค่ช่วยพวกเขาหน่อย เพราะบ้านเขายากจน
อาการล่าสุด ญาติบอกว่า ได้ผ่าตัดสมองแล้ว แต่อาการก็คงที่ ต้องดูวันต่อวัน
และเขาก็บอกว่า เห็นกระเช้า เขาก็ขอบคุณที่ไม่ทิ้งหรือหนีไปไหน วันถัดไปก็นัดกันว่าจะไปคุยกันที่สน.
พอวันถัดไปก็ไปเจอกันที่สน.ค่ะ ฝั่งเราก็มีทนาย พี่สาว ส่วนพ่อแม่รอข้างนอกค่ะ ด้วยความที่พ่อแม่เรา
ไม่ใช่คนไทย พ่อกลัวว่าฝั่งนู้นจะคิดว่า พ่อแม่เป็นคนต่างชาติแล้วจะมีเงินเยอะ เลยนั่งรอข้างนอก
ส่วนฝั่งคนไข้ก็มี แม่ น้า2คน แล้วก็เด็กประมาณ 4-5ขวบ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครนะคะ
พอเริ่มคุยกันญาติฝั่งคนไข้ก็บอกว่า วันที่เกิดเหตุตอนแรกคนไข้นั่งดูทีวีอยู่ พอรู้อีกทีไม่อยู่บ้าน หายไปเลย
จนเพิ่งมารู้ว่า โดนรถชน ตำรวจก็ถามว่า วันนั้นคนไข้ได้กินเหล้าหรือเปล่า น้าคนไข้บอกว่ากินนิดหน่อย
แต่ไม่เมา ในใจเรานี่แบบคุณน้าน่าจะได้ดูกล้องวงจรปิดนะ = =‘ เหมือนน้าคนที่เป็นผู้หญิงก็โวยวายค่ะ
บอกว่า ปกติคนไข้เขาทำงาน ส่งเงินให้แม่ที่ต่างจังหวัด แล้วตอนนี้ใครจะส่งเงินให้แม่ใช้
ถึงเขาจะฟื้นขึ้นมา ก็คงทำมาหากินไม่ได้ปกติ ถ้าน้าต้องมาเลี้ยงเขาอีกคน จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยง
น้าบอกอีกว่า ปีที่แล้วลูกชายน้าก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ขาดรายได้ น้าต้องทำมาหากิน
แต่ตอนนี้ลูกชายน้าเขาหายดีทำงานได้ปกตินะคะ (คือเราก็ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูน้าเขาจะโฟกัสเรื่องเงินมาก)
ส่วนแม่ของคนไข้ก็นั่งเงียบค่ะ บอกแค่ว่า ช่วยครอบครัวเขาหน่อย เขาขอแค่นั้น
สรุปวันนั้นก็ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง เป็นสินน้ำใจไปค่ะ คือฝั่งเราก็จะช่วยเต็มที่ในด้านศีลธรรมนะคะ
ส่วนเรื่องกฏหมาย ถ้าเป็นคดีก็สู้ให้ถึงที่สุดค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทิ้งคนไข้ไปไหนนะคะ มีเอาช่อดอกไม้ไปฝากไว้ที่โรงพยาบาลบ้าง
แต่หลังๆ พ่อกับแม่ไม่อยากให้เราไปค่ะ เราเลยฝากแฟนไปบ้าง ให้คนที่บริษัทพ่อไปส่งบ้าง
ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ คนไข้อาการทรงตัว ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง
แต่เรา คือเครียดมากๆ บางทีนอนฝันวันที่ชนบ้าง หน้าคนไข้ตอนอยู่โรงพยาบาลลอยมาบ้าง
คือเราเป็นคนที่เครียดลงกระเพาะง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับมาเจอเรื่องนี้ ทำให้เราเข้าโรงพยาบาล
ไปประมาณ 2-3ครั้ง เพราะทานอะไรไม่ได้เลย กลางคืนก็นอนไม่หลับ 4-5วันได้นอนประมาณวันละ 2-3ชั่วโมง
แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะฝันถึงคนไข้บ้าง สะดุ้งแบบไม่มีเหตุผลบ้าง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ
อ่านหนังสือไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นคืออารมณ์แบบ สมองไม่รับอะไรทั้งสิ้น ทั้งเครียดเรื่องอุบัติเหตุไป
แล้วพอหลังอุบัติเหตุ ก็โดนเพื่อนที่สนิทมากๆ หักเหลี่ยมโหด (เรื่องนี้ขอไม่พูดถึงนะคะ) คือตอนนั้นเราแบบสติแตกมากๆ
คิดว่า ชีวิตคนเรา พอจะตกต่ำก็ตกต่ำมากๆจริงๆ เรื่องร้ายๆเข้ามาทีเดียวเลย
พออยู่โรงพยาบาลหมอก็ให้ยานอนหลับ แล้วก็ยาคลายเครียด หมอบอกถ้าไม่ไหวจริงๆก็ ให้ไปลองคุยกับ
จิตแพทย์ดู เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปหา เหมือนช่วงนั้นเราแบบไม่มีสมาธิ
เข้าห้องสอบก็ตั้งสมาธิไม่ได้ รู้ตัวเลยค่ะ เทอมนั้นเกรดต้องไม่ดีแน่ๆ แต่พ่อแม่ก็เข้าใจค่ะ
ช่วงนั้นเราก็ไปทำบุญ ตักบาตร อธิษฐาน ขอให้คนไข้หายดี
เราสอบเสร็จวันที่ 29พฤษภาค่ะ พอวันที่30 ช่วงบ่ายญาติคนไข้โทรมาบอกว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว
ตอนนั้นคือใจเสียมากๆ (แต่อีกใจก็อย่างน้อยก็ยังดีที่เขาเสียหลังจากเราสอบเสร็จ) เราก็แสดงความเสียใจ
แล้วก็โทรแจ้งทนาย กับพี่สาว ทางฝั่งนั้นก็ขอให้เราช่วยค่าต่างๆนาๆ เขาเรียกค่าปลงศพ 8หมื่นบาทค่ะ
(แค่ค่าปลงศพอย่างเดียวนะคะ) ทนายก็บอกว่าเยอะไป เราก็ยังเรียนอยู่ เด็กไม่มีปัญญาจ่าย
คือครอบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น ก็พอมีบ้าง แต่ทนายก็บอกว่ามันเยอะไปจริงๆ แค่ค่าปลงศพ
ทนายก็เจรจาว่า ฝั่งเราจ่ายได้แค่ 3หมื่นบาท เขาก็ไม่ยอม ต่อจาก 8หมื่น เหลือ 5หมื่น
คือเราก็คิดนะว่า 8หมื่น เยอะไปหรือเปล่า แค่ค่าปลงศพ (ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่อยเคลียร์หลังงานศพนะคะ)
พอคุยกับทนายเสร็จ สรุปก็ตกลงได้ที่ 3หมื่นบาท เพราะทนายบอกว่า ถ้า 3หมื่นบาทไม่รับไป
ก็ค่อยมาคุยอีกทีหลังงานศพเลย เขาก็เลยยอมที่ 3หมื่นบาท
หลังจากนั้นพ่อเราก็ให้เปลี่ยนเบอร์ค่ะ เพราะญาติคนไข้โทรมาบ่อย คือเราก็บอกแล้วว่ามีอะไรให้โทรหาทนาย
เหมือนเขาก็ไม่ค่อยอยากจะคุยกับทนายซักเท่าไหร่ เราเลยเปลี่ยนเบอร์ค่ะ
พอหลังจากงานศพ ญาติเขาก็โทรมา จะไปนัดคุยที่สน. แต่วันที่นัดคุยเราไม่ได้ไปนะคะ
มีพี่เรากับทนายไปคุยค่ะ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ประกันของเราด้วยค่ะ เงินทั้งหมดที่เขาเรียก คือ
530,000 บาท เขาบอกว่ามีค่าขาดรายได้ เขาได้เดือนละ1หมื่นบาท ค่าเลี้ยงดูแม่เขา
คือเราคิดว่า เรียกเยอะเกินไปหรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เห็นค่าคนตายนะคะ ฝั่งเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น
สรุปก็คือ รอประกันว่าจะออกให้เท่าไหร่ แต่ฝั่งญาติคนไข้เขาไม่ได้จะฟ้องเรานะคะ เขาบอกถ้าได้เงินก็จบ
ระหว่างที่รอประกัน คนไข้ก็ขอให้ฝั่งเราโอนให้ก่อน 5หมื่น เหมือนเป็นค่ามัดจำอ่ะค่ะ สรุปฝั่งเราก็โอนเงิน
ไปให้ 3หมื่นก่อน แต่คือ ถ้าประกันออกเงินให้เมื่อไหร่ 3หมื่น คือต้องคืนฝั่งเรานะคะ เราก็ตกลงกันแบบนี้
พออาทิตย์ที่แล้วก็นัดคุยกันอีกรอบ สรุปว่า ประกันออกให้ 457,000บาทค่ะ ฝ่ายเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
สรุปก็คือ เคลียร์กันจบแล้วค่ะ
ที่มาแชร์คือ อยากให้ ทั้งคนข้ามถนน ทั้งคนขับรถใช้ความระมัดระวังด้วยนะคะ
ส่วนคนข้ามถนนก็ ถ้ามีสะพานลอยให้ข้าม ก็ขึ้นสะพานลอยเถอะค่ะ จะได้ไม่เดือดร้อนคนขับรถ
ถ้าชนขึ้นมา ส่วนใหญ่คนขับรถก็โดนมองว่าผิด เพราะขับรถมา ซึ่งบางทีคนขับไม่ผิดเลย
ส่วนคนขับรถก็พยายามอย่าขับเร็วมาก มองทางดีๆ เผื่อมีคนจะข้ามถนนนะคะ
สุดท้ายนี้ก็อยากขอบคุณ พ่อ แม่ พี่สาว แฟน และ พี่ๆเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจมาตลอดนะคะ
ปล. มีอะไรข้องใจถามได้นะคะ จะพยายามตอบให้หมดค่ะ
อยากจะแชร์ประสบการณ์ ขับรถชนคน (ม้วนเดียวจบ)
เรื่องที่จะเล่าเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นกับตัวเองค่ะ อยากจะมาแชร์ประสบการณ์ให้ชาวพันทิพค่ะ
จะขอพิมม้วนเดียวจบนะคะ อาจจะยาวหน่อย แต่อยากแชร์จริงๆค่ะ
ถ้าแท็กผิดห้องก็ขอโทษด้วยนะคะ
เมื่อต้นเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมา เราได้ขับรถเส้นพระราม9 ฝั่งขาออกไปมอเตอร์เวย์
ช่วงเวลาประมาณ 3-4ทุ่ม ขับความเร็วประมาณ 70-90 ขับอยู่เลนขวาสุด
ถ้าใครที่ผ่านเส้นนี่น่าจะรู้ว่ามีเกาะกลางถนน ที่เต็มไปด้วยพุ่มไม้และมีที่กั้นไม่ให้คนข้าม
และตรงช่วงพระราม9 ซอย 47 จะมีสะพานลอยให้ข้าม
พออยู่ช่วงพระราม9 ซอย49 ก็ได้มีบุคคลคนหนึ่งโผล่ออกมาจากเกาะกลางถนน
ด้วยความที่เป็นเวลากลางคืน บวกกับอยู่ดีๆโผล่ออกมาจากเกาะกลางถนนที่มีพุ่มไม้เยอะๆ
เราเลยมองไม่เห็น รู้อีกทีคือเห็นคนอยู่ข้างหน้า แล้วก็หลับตาแล้วเหยียบเบรคกระทันหัน
พอเหยียบเบรคก็รับรู้ได้ถึงการที่ไปชนคนนั้นค่ะ แล้วรถข้างหลังก็มาชนท้ายรถเรา
บอกก่อนนะคะ ว่าเราไม่ได้เมาแล้วขับค่ะ วันนั้นอ่านหนังสือสอบที่ The nine แล้วก็ขับออกมา
ตอนนั้นนั่งมากับเพื่อนอีกหนึ่งคน เราทั้งคู่ทำอะไรไม่ถูกเลยค่ะ พอลงมาจากรถ
เห็นคนนอนอยู่เลนกลาง ถือว่าโชคดีมากๆที่ไม่มีรถวิ่งมาตอนเค้ากลิ้งไปเลนกลาง
แต่สภาพเค้าคือไม่มีสติ และมีเลือดออกจากบริเวณหัว ไม่ได้ใส่รองเท้า
บอกตรงๆตอนนั้นทำอะไรไม่ถูกจริงๆ คือหัวมันตื้อไปหมด คิดอะไรไม่ออก
ได้แต่ยืนดูโทรศัพท์แล้วคิดวนไปวนมาว่าต้องโทรหาเบอร์ไหน อะไรยังไง
แต่พอดีมีหน่วยป๋อเต๊กตึ๊งขับมอเตอร์ไซมาพอดี เค้าเลยเป็นคนโทรเรียกรถป๋อเต๊กตึ๊งกับ
ตำรวจให้ ไม่ถึง10นาทีป๋อเต๊กตึ๊งก็มาถึง พวกเค้าบอกว่ายังไม่เสียชีวิต พอปฐมพยาบาลอยู่
ซักพักก็ไปส่งที่โรงพยาบาลราชวิถี พอตำรวจมาถึงก็ถามคร่าวๆว่าเกิดอะไรขึ้น
ก็เล่าให้ฟังตามที่เกิดเหตุการณ์ แล้วก็ให้ไปสน. ลงบันทึกประจำวัน กับคู่กรณีที่มาชนท้ายด้วย
แล้วก่อนจะไปสน. คู่กรณีก็ได้มาคุยว่า ให้ช่วยพูดกับประกันของดิฉันให้หน่อยว่า
ช่วยคุ้มครองรถของเขาด้วย เพราะเขาไม่มีประกัน ดิฉันก็บอกปัดๆไปว่าให้คุยกับประกันเอาเองแล้วกัน
พอประกันมาถึงคู่กรณีก็ได้คุยกับประกัน ประกันก็ตอบว่าไม่สามารถช่วยเขาได้ เพราะ
เขามาชนท้ายรถเรา เขาเป็นฝ่ายผิด พอประกันพูดแบบนั้น คู่กรณีที่เป็นผู้หญิงค่ะ (คนขับเป็นผู้ชาย นั่งมากัน3คน)
มาเหวี่ยงใส่ว่า เนี่ยจะต้องไปงานศพที่ต่างจังหวัด ไม่ได้ไปเลย เพราะมารถชน
ตอนนั้นในใจคือแบบ เห้ยยย ฝั่งเราขับรถชนคนนะเว้ยยย ยังจะมาเหวี่ยงใส่อีก
แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรไป เพราะยังเบลอๆตื้อๆกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น
และระหว่างที่รอประกันดูรถอยู่ มีลุงคนหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า คนที่โดนชนไปเซเว่นมา ตอนอยู่ที่แคชเชียร์อยู่ข้างๆลุง
กลิ่นเหล้าหึ่งมาก แล้วก็เดินเซๆ ลุงบอกน่าจะเมามากอยู่ รองเท้าก็ไม่ใส่
ไอเราก็แอบโล่งนิดนึงเพราะว่าเขาเมา โทษเราน่าจะเบาลงได้บ้าง เพราะยังไงเราก็น่าจะโดน
ข้อหาประมาท หรืออาจจะเป็นข้อหาประมาทร่วม ตอนนั้นคือฟุ้งซ่านมาก
คิดไปไกลว่าจะต้องขึ้นศาลหรือเปล่า จะมีคดีติดตัวหรือเปล่า คิดไปต่างๆนาๆ
พอมาถึงสน. ก็ลงบันทึกประจำวันเสร็จเรียบร้อย ตำรวจก็หาข้อมูลคนไข้มา (หลังจากนี้ขอเรียกคนที่เราชนว่าคนไข้นะคะ)
คนไข้เป็นคนต่างจังหวัด อายุ33ปีค่ะ พอเราได้ชื่อ-นามสกุลมา พอคุยกับประกันเสร็จ
เราก็รีบไปโรงพยาบาลเลยคะ แฟนมาหาที่สน. แล้วไปโรงพยาบาลกับแฟนค่ะ
พอถึงโรงพยาบาลก็บอกชื่อไป คนไข้อยู่ห้องฉุกเฉิน เราก็เข้าไปกับแฟนค่ะ แฟนเป็นคนเดินไปดูก่อน
เราก็เดินตามไปแบบกล้าๆกลัวๆ พอเห็นสภาพคนไข้ เรานี่รู้สึกผิดมากๆ พอถามหมอว่าเป็นยังไงบ้าง
เขาก็บอกว่า เลือดคั่งในสมองเยอะมาก ยังผ่าตัดไม่ได้ และก็กระดูกซี่โครงหักเยอะ มีโอกาสไม่รอดสูง
ยิ่งหมอพูดแบบนั้นเราก็ยิ่งหดหู่เลยค่ะ พยาบาลบอกว่ายังติดต่อญาติคนไข้ไม่ได้ เราก็ทิ้งเบอร์ไว้
เผื่อญาติคนไข้มาแล้วจะได้ติดต่อเราได้ และเราก็ได้ขอพยาบาลว่า ตรวจเลือดคนไข้ให้หน่อยว่า
มีแอลกอฮอลอยู่หรือเปล่า เพราะถ้าจะขึ้นศาล เราก็อยากเก็บไว้เป็นหลักฐาน พยาบาลก็บอกว่า
ที่โรงพยาบาลไม่มีสารตรวจแอลกอฮอล ต้องให้ตำรวจส่งเรื่องมาก่อน แล้วโรงพยาบาลถึงจะส่งเลือด
ให้โรงพยาบาลตำรวจเพื่อทำการตรวจ จังหวะนั้นคือ เราคิดว่ากว่าจะได้ตรวจเลือด
แอลกอฮลคงหายไปจากกระแสเลือดละ = =‘ เราก็เลยกะจะไปคุยกับตำรวจวันถัดไป
กว่าจะถึงบ้านก็ ตี4 ได้ค่ะ พ่อแม่ก็ยังไม่ได้นอน พวกเขาเป็นห่วงเราจริงๆค่ะ อย่างน้อยก็มีกำลังใจจากพ่อและแม่
พอวันถัดไป เราก็ไปเซเว่นที่คนไข้ไปมา แล้วถามพนักงานว่า คนไข้เมาจริงหรือเปล่า สรุปว่าคนไข้เมาจริงค่ะ
พนักงานบอกว่าคุยไม่ค่อยรู้เรื่อง กลิ่นเหล้าหึ่งมาก รองเท้าไม่ได้ใส่มา เราก็ขอดูภาพกล้องวงจรปิด
ภาพในกล้องชัดเจนเลยค่ะ คนไข้เดินถอยหลังเซๆออกจากเซเว่นไป แล้วก็ข้ามถนนไป
เราก็เลยขอให้เซเว่นเก็บภาพกล้องวงจรปิดไว้ ปรากฏว่าภาพเก็บได้แค่3วัน
แล้วต้องไปติดต่อตำรวจก่อนแล้ว ให้ตำรวจมาขอเองที่เซเว่น เอาง่ายๆคือทุกอย่างต้องให้ตำรวจจัดการ
คือไม่ได้อคติอะไรกับตำรวจนะคะ แต่ทุกคนน่าจะพอทราบดีว่า ตำรวจทำงานกันช้ามากกกกก
หลังจากที่ไปเซเว่นเราก็ไปหาตำรวจ เพื่อบอกให้เขาทำเรื่องให้ตรวจ กับ ขอภาพกล้องวงจรปิดที่เซเว่น
ตำรวจก็รับเรื่องไว้ค่ะ บอกว่าต้องให้เบื้องบนเซ็นเอกสาร ถึงจะส่งเรื่องไปได้
หลังจากไปหาตำรวจเสร็จ ก็ไปที่โรงพยาบาล ซื้อกระเช้าไปให้คนไข้ แต่คนไข้ยังไม่ได้สตินะคะ
พอถามหมอว่าอาการเป็นยังไงบ้าง หมอก็บอกว่าพูดยาก โอกาสรอดอาจจะน้อย หรือถึงรอดมาก็
คงเป็นเจ้าชายนิทราไม่ก็พิการไปเลย บอกตรงๆว่า ความรู้สึกตอนนั้นคือแย่มากๆ ทั้งรู้สึกผิด ทั้งรู้สึกแย่
ต่อให้เราไม่ผิด เราก็รู้สึกแย่จริงๆนะคะ ไม่มีใครอยากให้เกิดอุบัติเหตุแบบนี้หรอกค่ะ
พอหลังจากวันที่ชน 2-3วัน ก็มีเบอร์แปลกโทรเข้ามา พอรับก็ปรากฏว่าเป็นญาติคนไข้ค่ะ
ญาติก็บอกว่าเพิ่งรู้เรื่อง เขาจะไม่ขออะไรมาก แค่ช่วยพวกเขาหน่อย เพราะบ้านเขายากจน
อาการล่าสุด ญาติบอกว่า ได้ผ่าตัดสมองแล้ว แต่อาการก็คงที่ ต้องดูวันต่อวัน
และเขาก็บอกว่า เห็นกระเช้า เขาก็ขอบคุณที่ไม่ทิ้งหรือหนีไปไหน วันถัดไปก็นัดกันว่าจะไปคุยกันที่สน.
พอวันถัดไปก็ไปเจอกันที่สน.ค่ะ ฝั่งเราก็มีทนาย พี่สาว ส่วนพ่อแม่รอข้างนอกค่ะ ด้วยความที่พ่อแม่เรา
ไม่ใช่คนไทย พ่อกลัวว่าฝั่งนู้นจะคิดว่า พ่อแม่เป็นคนต่างชาติแล้วจะมีเงินเยอะ เลยนั่งรอข้างนอก
ส่วนฝั่งคนไข้ก็มี แม่ น้า2คน แล้วก็เด็กประมาณ 4-5ขวบ แต่ไม่ทราบว่าเป็นใครนะคะ
พอเริ่มคุยกันญาติฝั่งคนไข้ก็บอกว่า วันที่เกิดเหตุตอนแรกคนไข้นั่งดูทีวีอยู่ พอรู้อีกทีไม่อยู่บ้าน หายไปเลย
จนเพิ่งมารู้ว่า โดนรถชน ตำรวจก็ถามว่า วันนั้นคนไข้ได้กินเหล้าหรือเปล่า น้าคนไข้บอกว่ากินนิดหน่อย
แต่ไม่เมา ในใจเรานี่แบบคุณน้าน่าจะได้ดูกล้องวงจรปิดนะ = =‘ เหมือนน้าคนที่เป็นผู้หญิงก็โวยวายค่ะ
บอกว่า ปกติคนไข้เขาทำงาน ส่งเงินให้แม่ที่ต่างจังหวัด แล้วตอนนี้ใครจะส่งเงินให้แม่ใช้
ถึงเขาจะฟื้นขึ้นมา ก็คงทำมาหากินไม่ได้ปกติ ถ้าน้าต้องมาเลี้ยงเขาอีกคน จะเอาเงินที่ไหนมาเลี้ยง
น้าบอกอีกว่า ปีที่แล้วลูกชายน้าก็ประสบอุบัติเหตุ ทำให้ขาดรายได้ น้าต้องทำมาหากิน
แต่ตอนนี้ลูกชายน้าเขาหายดีทำงานได้ปกตินะคะ (คือเราก็ไม่รู้คิดไปเองหรือเปล่า แต่ดูน้าเขาจะโฟกัสเรื่องเงินมาก)
ส่วนแม่ของคนไข้ก็นั่งเงียบค่ะ บอกแค่ว่า ช่วยครอบครัวเขาหน่อย เขาขอแค่นั้น
สรุปวันนั้นก็ให้เงินไปจำนวนหนึ่ง เป็นสินน้ำใจไปค่ะ คือฝั่งเราก็จะช่วยเต็มที่ในด้านศีลธรรมนะคะ
ส่วนเรื่องกฏหมาย ถ้าเป็นคดีก็สู้ให้ถึงที่สุดค่ะ
หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้ทิ้งคนไข้ไปไหนนะคะ มีเอาช่อดอกไม้ไปฝากไว้ที่โรงพยาบาลบ้าง
แต่หลังๆ พ่อกับแม่ไม่อยากให้เราไปค่ะ เราเลยฝากแฟนไปบ้าง ให้คนที่บริษัทพ่อไปส่งบ้าง
ช่วงนั้นก็ไม่ค่อยมีอะไรค่ะ คนไข้อาการทรงตัว ไม่ได้ดีขึ้นหรือแย่ลง
แต่เรา คือเครียดมากๆ บางทีนอนฝันวันที่ชนบ้าง หน้าคนไข้ตอนอยู่โรงพยาบาลลอยมาบ้าง
คือเราเป็นคนที่เครียดลงกระเพาะง่ายเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว บวกกับมาเจอเรื่องนี้ ทำให้เราเข้าโรงพยาบาล
ไปประมาณ 2-3ครั้ง เพราะทานอะไรไม่ได้เลย กลางคืนก็นอนไม่หลับ 4-5วันได้นอนประมาณวันละ 2-3ชั่วโมง
แล้วก็สะดุ้งตื่นขึ้นมา เพราะฝันถึงคนไข้บ้าง สะดุ้งแบบไม่มีเหตุผลบ้าง แล้วช่วงนั้นเป็นช่วงสอบ
อ่านหนังสือไม่ได้เลยค่ะ ตอนนั้นคืออารมณ์แบบ สมองไม่รับอะไรทั้งสิ้น ทั้งเครียดเรื่องอุบัติเหตุไป
แล้วพอหลังอุบัติเหตุ ก็โดนเพื่อนที่สนิทมากๆ หักเหลี่ยมโหด (เรื่องนี้ขอไม่พูดถึงนะคะ) คือตอนนั้นเราแบบสติแตกมากๆ
คิดว่า ชีวิตคนเรา พอจะตกต่ำก็ตกต่ำมากๆจริงๆ เรื่องร้ายๆเข้ามาทีเดียวเลย
พออยู่โรงพยาบาลหมอก็ให้ยานอนหลับ แล้วก็ยาคลายเครียด หมอบอกถ้าไม่ไหวจริงๆก็ ให้ไปลองคุยกับ
จิตแพทย์ดู เผื่อช่วยอะไรได้บ้าง แต่สุดท้ายเราก็ไม่ได้ไปหา เหมือนช่วงนั้นเราแบบไม่มีสมาธิ
เข้าห้องสอบก็ตั้งสมาธิไม่ได้ รู้ตัวเลยค่ะ เทอมนั้นเกรดต้องไม่ดีแน่ๆ แต่พ่อแม่ก็เข้าใจค่ะ
ช่วงนั้นเราก็ไปทำบุญ ตักบาตร อธิษฐาน ขอให้คนไข้หายดี
เราสอบเสร็จวันที่ 29พฤษภาค่ะ พอวันที่30 ช่วงบ่ายญาติคนไข้โทรมาบอกว่า คนไข้เสียชีวิตแล้ว
ตอนนั้นคือใจเสียมากๆ (แต่อีกใจก็อย่างน้อยก็ยังดีที่เขาเสียหลังจากเราสอบเสร็จ) เราก็แสดงความเสียใจ
แล้วก็โทรแจ้งทนาย กับพี่สาว ทางฝั่งนั้นก็ขอให้เราช่วยค่าต่างๆนาๆ เขาเรียกค่าปลงศพ 8หมื่นบาทค่ะ
(แค่ค่าปลงศพอย่างเดียวนะคะ) ทนายก็บอกว่าเยอะไป เราก็ยังเรียนอยู่ เด็กไม่มีปัญญาจ่าย
คือครอบครัวเราก็ไม่ได้ร่ำรวยอะไรขนาดนั้น ก็พอมีบ้าง แต่ทนายก็บอกว่ามันเยอะไปจริงๆ แค่ค่าปลงศพ
ทนายก็เจรจาว่า ฝั่งเราจ่ายได้แค่ 3หมื่นบาท เขาก็ไม่ยอม ต่อจาก 8หมื่น เหลือ 5หมื่น
คือเราก็คิดนะว่า 8หมื่น เยอะไปหรือเปล่า แค่ค่าปลงศพ (ค่าใช้จ่ายอื่นๆ ค่อยเคลียร์หลังงานศพนะคะ)
พอคุยกับทนายเสร็จ สรุปก็ตกลงได้ที่ 3หมื่นบาท เพราะทนายบอกว่า ถ้า 3หมื่นบาทไม่รับไป
ก็ค่อยมาคุยอีกทีหลังงานศพเลย เขาก็เลยยอมที่ 3หมื่นบาท
หลังจากนั้นพ่อเราก็ให้เปลี่ยนเบอร์ค่ะ เพราะญาติคนไข้โทรมาบ่อย คือเราก็บอกแล้วว่ามีอะไรให้โทรหาทนาย
เหมือนเขาก็ไม่ค่อยอยากจะคุยกับทนายซักเท่าไหร่ เราเลยเปลี่ยนเบอร์ค่ะ
พอหลังจากงานศพ ญาติเขาก็โทรมา จะไปนัดคุยที่สน. แต่วันที่นัดคุยเราไม่ได้ไปนะคะ
มีพี่เรากับทนายไปคุยค่ะ แล้วก็มีเจ้าหน้าที่ประกันของเราด้วยค่ะ เงินทั้งหมดที่เขาเรียก คือ
530,000 บาท เขาบอกว่ามีค่าขาดรายได้ เขาได้เดือนละ1หมื่นบาท ค่าเลี้ยงดูแม่เขา
คือเราคิดว่า เรียกเยอะเกินไปหรือเปล่า ไม่ใช่ไม่เห็นค่าคนตายนะคะ ฝั่งเราก็ไม่ได้มีเงินเยอะขนาดนั้น
สรุปก็คือ รอประกันว่าจะออกให้เท่าไหร่ แต่ฝั่งญาติคนไข้เขาไม่ได้จะฟ้องเรานะคะ เขาบอกถ้าได้เงินก็จบ
ระหว่างที่รอประกัน คนไข้ก็ขอให้ฝั่งเราโอนให้ก่อน 5หมื่น เหมือนเป็นค่ามัดจำอ่ะค่ะ สรุปฝั่งเราก็โอนเงิน
ไปให้ 3หมื่นก่อน แต่คือ ถ้าประกันออกเงินให้เมื่อไหร่ 3หมื่น คือต้องคืนฝั่งเรานะคะ เราก็ตกลงกันแบบนี้
พออาทิตย์ที่แล้วก็นัดคุยกันอีกรอบ สรุปว่า ประกันออกให้ 457,000บาทค่ะ ฝ่ายเขาก็ไม่ได้คัดค้านอะไร
สรุปก็คือ เคลียร์กันจบแล้วค่ะ
ที่มาแชร์คือ อยากให้ ทั้งคนข้ามถนน ทั้งคนขับรถใช้ความระมัดระวังด้วยนะคะ
ส่วนคนข้ามถนนก็ ถ้ามีสะพานลอยให้ข้าม ก็ขึ้นสะพานลอยเถอะค่ะ จะได้ไม่เดือดร้อนคนขับรถ
ถ้าชนขึ้นมา ส่วนใหญ่คนขับรถก็โดนมองว่าผิด เพราะขับรถมา ซึ่งบางทีคนขับไม่ผิดเลย
ส่วนคนขับรถก็พยายามอย่าขับเร็วมาก มองทางดีๆ เผื่อมีคนจะข้ามถนนนะคะ
สุดท้ายนี้ก็อยากขอบคุณ พ่อ แม่ พี่สาว แฟน และ พี่ๆเพื่อนๆที่คอยให้กำลังใจมาตลอดนะคะ
ปล. มีอะไรข้องใจถามได้นะคะ จะพยายามตอบให้หมดค่ะ