Welcome to New York

วันนี้เจอคนรู้จัก เค้าทักเราว่าตั้งแต่กลับมาจากนิวยอร์ก ทำไมเธอดูไม่ใสซื่อเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เธอดูไม่น่ารักแอ๊บแบ้วเหมือนเมื่อก่อน

เราเคยทำงานอยู่ที่ไทย งานเราไปได้ดีมาก มีเงินเก็บเป็นกอง แต่เราไม่มีความสุขกับงาน ไม่มีความสุขกับชีวิต มีแฟนก็เหมือนไม่มี ตอนนั้นแฟนเป็นฝรั่ง ส่วนเราก็ไม่เคยคบฝรั่งอ่ะ บางอย่างเราก็ไม่เข้าใจเค้า บางอย่างเค้าก็ไม่เข้าใจเรา บางทีเรามีอะไรเราก็ไม่กล้าพูด กลัวพูดผิด ไหนจะวัฒนธรรมอีก เรานั่งเฝ้า whatsapp ตลอดเวลาว่าเค้า online อยู่มั้ย ทำไมเค้าไม่ส่งข้อความหาเรา วันๆคิดแต่เรื่องบ้านี่ แฟนเคยพูดว่ายังไงเราก็ไปกันไม่รอด เพราะเค้าต้องกลับไปเรียนต่อ รักทางไกลมันไม่โอเค จากนั้นแฟนเราก็เริ่มห่าง เริ่มไม่ส่งข้อความ เราก็เริ่มฟุ้งซ่าน ชีวิตไม่มีความสุขเลย อยากหนีไปให้พ้นๆ คิดในใจว่า แกขาดชั้นแล้วแกจะรู้สึก เราเลยรีบส่งจดหมายไปที่เรียนในนิวยอร์กให้เค้าตอบรับเรา เพื่อเอาเอกสารตอบรับไปขอวีซ่า แล้ววีซ่าก็ผ่านคร่า น้ำตาไหล เรารีบจองตั๋วเครื่องบินเที่ยวเร็วที่สุด ตอนนั้นมีเวลาเก็บของ 5 วัน เราก็เอาเลยชั้นไปละนะแก

เราไปแบบเสื่อผืนหมอนใบมาก ไม่มีอะไรเลย ที่พักเป็นห้องว่างโล่งๆ โล่งๆนี่คือ ไม่มีอะไรในห้องทั้งสิ้น เราก็เอาวะ มาแล้วอ่ะ ถอยไม่ได้แล้ว เราเดินออกไปจาก apartment ตอนนั้นเป็นช่วงคริสมาส อากาศหนาวมาก หนาววววววววๆๆๆๆๆๆๆ แล้วหิมะก็เริ่มตก เราก็แบบ อรา้ยยย หิมะ so pretty อ่ะ ชอบมาก เป็นหนูน้อยวิ่งเริงร่าในหิมะ 555 เดินไปเรื่อยๆก็เจอร้านอินเดีย เราคิดว่าน่าจะถูก เราเลยเข้าไป สรุปได้ผ้าห่มมา สองผืน กับหมอนอีกหนึ่ง เราเอาผ้าห่มผืนนึงปูพื้นนอน อีกผืนเอาไว้ห่ม รันทดจริงๆ เกิดมาไม่เคยต้องรันทดขนาดนี้ นี่หรือชีวิตป๊อปๆๆที่ฝันไว้

พอหิมะตก หนาขึ้นๆ เฮ้ยมันไม่ so pretty แล้วอ่ะ มัน so disgusting หิมะที่นิวยอร์กนี่เป็นแบบเปียกๆ ไม่เหมือนที่อื่นที่เป็นแบบปุยๆ จากวินาทีนั้นเราเกลียดหิมะขึ้นมาทันที เดินก็ยาก แล้วแบบดำมาเชียว

พอเรามานิวยอร์กได้ไม่กี่วัน ก็เป็นไปตามที่เราคาดไว้จริงๆด้วย ฮีรู้สึกขาดอ่ะ ฮีจิกอ่ะ ฮีโทรมาทุกวัน ฮีหวานมาก หึหึ บอกแล้ว ขาดชั้นแล้วแกจะรู้สึก ฮ่าๆ หัวเราะอ้าปากกว้างมาก..

จากนั้นเราก็เริ่มหางานทำ เราได้งานที่ร้านอาหารไทยที่ใหญ่ที่สุดในนิวยอร์ก มีกว่า 10 สาขาในนิวยอร์ก เราได้ทำสาขาที่ใหญ่ที่สุด ตอนนั้นเราได้ทำเป็น Hostess ก็คือ ต้อนรับลูกค้า จัดคิว (คิวยาวมากกกกก ยาวนานเป็นชั่วโมง สองชั่วโมงพี่แกก็จะรอกัน) คอยรับโทรศัพท์ พาลูกค้าไปนั่งโต๊ะ จัดโต๊ะ จัดเก้าอี้งานเหมือนง่ายนะคะ ยืนสวยๆ ยิ้มงามๆ ก็น่าจะโอเค แต่คือบับ กรี้ดด ร้านยุ่งมาก ทำอะไรไม่ถูก ฟังไม่รู้เรื่อง โต๊ะเยอะมาก คนเดินไปเดินมาขวักไขว่ทั่วร้าน เสียงเพลงดังมาก แถมยังจังหวะตื้ดๆแบบเห้ยเดินไปเต้นไปเลยมะ เพื่อนร่วมงานก็เป็นพวกคนไทยโตที่นี่ หรือไม่ก็ต่างชาติไปเลย คือพวกแกมั่นมาก ชั้นเป็นพี่แกนะ แกจิกใช้ชั้นเป็นหมูเป็นหมาเลย เวลาชั้นงง แกก็ด่าชั้นเลย ผู้จัดการก็ดุมาก ดุเหมือนหมาบ้า ยอมรับเลยค่ะว่าท้อ กลับบ้านนอนร้องให้ เหนื่อย
ที่หนักที่สุดคือ วันนั้นมีหน้าที่รับโทรศัพท์ แล้วคือฟังไม่รู้เรื่อง หันไปหาเพื่อน เพื่อนก็ไม่ช่วย บอกว่าไม่ได้แกต้องฟังให้รู้เรื่อง ถ้าทำไม่ได้ก็ไม่ต้องมาทำงาน เปลืองแรงคนอื่นต้องมานั่งช่วยเหลือ เราก็เอาวะ เรามาไกลถึงจุดนี้แล้ว ต้องทำให้ได้ เราก็ฝืนคุยต่อไป เจอลูกค้าตอกกลับมาว่า เธอช่วยไปหาคนที่พูดภาษาอังกฤษมาคุยกะชั้นหน่อยได้มั้ย เรานี่เหมือนโดนตบหน้าฉาดใหญ่ๆเลยค่ะ หน้าชาไปหมด เราก็ตอบไปว่า ชั้นพูดภาษาอังกฤษกับยูอยู่นะ ยูใจเย็นๆ ค่อยๆฟังนะ ยูพูดช้าๆได้มั้ย แล้วเราก็ต่อบทสนนทนากันจนจบ พอวางสายเรานี่น้ำตาไหลเลย รู้สึกโง่ รู้สึกเป็นตัวถ่วง รู้สึกด้อยค่า มันแบบ อธิบายไม่ถูก มันเสียใจอ่ะ อยากกลับไทย ไม่อยากทนนอนผ้าห่ม ไม่อยากเดินตากหิมะ อยากขับรถแล่นไปแล่นมา อยากพูดภาษาไทย

เดี๋ยวมาต่อนะคะ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่