คำตอบที่ได้รับเลือกจากเจ้าของกระทู้
ความคิดเห็นที่ 10
โพสต์ให้อ่านเป็นรอบที่สาม จากสองปีที่แล้ว
เขียนโดย บรรยง พงษ์พานิช
ประธานกรรมการ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
กรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือซุปเปอร์บอร์ดรัฐวิสาหกิจ
6 มิถุนายน 2556
หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง1,200,000ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม13ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ6ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ3.6ล้านล้านหรือ$120billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็นlong term invester. มีHedgefundน้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ120ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis , Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5$billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้fundamentalเป็นหลัก
->95%ของเงินลงทุนอยู่ในSET100(แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5ปีต่อรอบ(เช่น ถ้าport 100,000ล้าน ก็จะซื้อขายแค่70,000ล้านในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขายบ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มีleverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง60:40(ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ10รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบfundamentalจริงจังได้แต่"ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า500,000บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือport ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือนHedgeFund
หันมาทางด้านSupplyบ้าง เรามีบ.จดทะเบียนกว่า600บริษัท แต่SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต5-6ปีที่แล้ว หุ้นSET100 ซื้อขายกันแค่65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75%ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้นมีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ"ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาศหลังวอลุ่มหุ้นนอกSET100เพิ่มเป็นเกือบ40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป"ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย>สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน20หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี2ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่leadโดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็นfundamental led กับglobalize. กับหุ้นเล็กที่leadโดย"นักทำ"เป็น?
2)ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็นIndex 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3)ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง2ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย(เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก")และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4)ในชีวิต36ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น"การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ"เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5)ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค"ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทตะครุบ
เขียนโดย บรรยง พงษ์พานิช
ประธานกรรมการ บริษัท ทุนภัทร จำกัด (มหาชน) และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารเกียรตินาคิน จำกัด (มหาชน)
กรรมการนโยบายและกำกับดูแลรัฐวิสาหกิจ หรือซุปเปอร์บอร์ดรัฐวิสาหกิจ
6 มิถุนายน 2556
หุ้นตกหนัก มีคนบ่นว่าไอ้ฝรั่งมันขายตั้ง 33,000ล้านบาทตั้งแต่ต้นปีผมบอกว่าเค้าซื้อตั้ง1,200,000ล้านแน่ะ (แต่ขาย 1,530,000ล้าน)
คนชอบคิดว่าฝรั่งเป็นคนเดียวกัน ทำอะไรเหมือนๆกัน พร้อมๆกันเล่นเป็นรอบๆเหมือนคนไทย เลยจะขอเล่าถึงโครงสร้างตลาดหุ้นไทย เผื่อจะเป็นประโยชน์กับเพื่อนๆที่รักจะเป็นนักเสี่ยงโชคบ้าง
ตลาดไทยมีขนาดรวม13ล้านล้านบาท (ที่ระดับราคาปัจจุบัน). เป็นส่วนFreeFloat ประมาณ6ล้านล้าน ซึ่งจะอยู่ในมือของนักลงทุนสถาบันต่างประเทศ(ที่เราเรียกรวมว่าฝรั่ง) 60% (ประมาณ3.6ล้านล้านหรือ$120billion) โดยจะมีลักษณะและพฤติกรรมดังนี้
-ส่วนใหญ่เป็นlong term invester. มีHedgefundน้อยในตลาดไทย
-มีรวมประมาณ120ผู้จัดการกองทุน
-บลจ.ใหญ่ๆ เช่น Genesis , Templeton, Capital, Fidelity, Aberdeen แต่ละบริษัทมีหุ้นไทยอยู่มากกว่า 5$billion (150,000ล้านบาท)
-ลงทุนโดยใช้fundamentalเป็นหลัก
->95%ของเงินลงทุนอยู่ในSET100(แต่ไม่ใช่ทุกตัวนะ)
-turnoverประมาณ 1.5ปีต่อรอบ(เช่น ถ้าport 100,000ล้าน ก็จะซื้อขายแค่70,000ล้านในหนึ่งปี
-พิจารณาการลงทุนโดยเทียบกับตลาดและบริษัททั่วโลก
กลุ่มที่2 เป็นนักลงทุนสถาบันไทย ซึ่งถือครองอยู่ประมาณ18% (1.1ล้านๆ) อันได้แก่กองทุนรวม กบข. ประกันสังคม สำรองเลี้ยงชีพ ประกันชีวิต ฯลฯ (ไม่นับรวมวายุภักษ์เพราะผมไม่รู้ว่าเป็นอะไร สงสัยเป็นนกมั๊ง). พวกนี้จะมีพฤติกรรมเหมือนกับพวกฝรั่งเกือบทุกอย่างยกเว้นข้อสุดท้ายแม้คุณภาพจะด้อยกว่าบ้าง(นอกจากบลจ. เล็กๆหวือหวาไม่กี่แห่ง)
กลุ่มที่3คือนักลงทุนบุคคลไทยซึ่งถือหุ้นอยู่ประมาณ 20% (1.2ล้านๆ) ซึ่งแบ่งได้เป็นสองพวกคือพวกที่ไม่ได้ซื้อขายมากกับนักเล่นหุ้นที่ซื้อขายบ่อยทุกสัปดาห์และส่วนใหญ่มีleverage สูงซึ่งผมประมาณว่ามีสัดส่วนถือครอง60:40(ตรงนี้เป็นguesstimate ไม่เหมือนตัวเลขอื่นที่เป็นfact). พวกหลังส่วนใหญ่ซื้อขายมากกว่าปีละ10รอบ และมักไม่มีศักยภาพพอที่จะลงทุนแบบfundamentalจริงจังได้แต่"ตามๆเขาไป" มีบัญชีอยู่กว่า500,000บัญชี กลุ่มนี้ทำวอลุ่มซื้อขาย60%. ทั้งๆที่ถือครองแค่ไม่ถึง10%
กลุ่มสุดท้ายคือport ของบล. ซึ่งถืออยู่2-3% มีหลายประเภทแต่ส่วนใหญ่ทำหน้าที่เหมือนHedgeFund
หันมาทางด้านSupplyบ้าง เรามีบ.จดทะเบียนกว่า600บริษัท แต่SET100 มีขนาดรวมกัน 87%. ในอดีต5-6ปีที่แล้ว หุ้นSET100 ซื้อขายกันแค่65% ของวอลุ่มทั้งหมด แล้วก็ปรับปรุงขึ้นจนเป็น 75%ในปี 2011 อย่างที่บอกแล้วว่านักลงทุนสถาบันเขาไม่ลงทุนนอกSET100. ดังนั้นมีแต่รายย่อยลงทุนซึ่งสักพักเขาก็เริ่มเรียนรู้ว่าการ"ตามเสี่ย ตามเจ๊" มักจะหมดตัวเลยหันไปตามฝรั่ง แต่ในสองไตรมาศหลังวอลุ่มหุ้นนอกSET100เพิ่มเป็นเกือบ40% อีกแล้ว แปลว่าเริ่มกลับไป"ตามเสี่ย ตามเจ๊" ซึ่งไปเปลี่ยนชื่อใหม่มาเป็น"วี ไอ". ตลท. ภูมิใจว่าตลาดไทยมีสภาพคล่องเพราะนักลงทุนบุคคลซื้อขาย2/3 แถมหุ้นเล็กมีสภาพคล่อง แต่ผมว่าน่าเป็นห่วงเพราะมีแค่ 2 ตลาดในโลกเองที่บุคคลซื้อขาย>สถาบัน แถมที่ว่ามีสภาพคล่องก็ทีละไม่เกิน20หุ้นจากหุ้นเล็กกว่า500 (เฉพาะที่เขากำลัง"ทำ")
เล่ามายืดยาวขอสรุปเลยดีกว่า
1) ตลาดไทยมี2ตลาด. คือหุ้นใหญ่ที่leadโดยนักลงทุนสถาบันคุณภาพ เป็นfundamental led กับglobalize. กับหุ้นเล็กที่leadโดย"นักทำ"เป็น?
2)ภาวะตลาดไทยผูกติดกับภาวะตลาดโลกอย่างๆไม่มีทางจะแยกได้แล้ว แต่ไม่ต้องกลัวเพราะว่าถ้าฝรั่งขายเกิน10% (360,000ล้าน). เราก็จะเห็นIndex 600 แล้วมันก็จะหยุดขายไปเอง
3)ในภาวะที่ตลาดขึ้นต่อเนื่องอย่าง2ปีที่ผ่านมา ทุกคนจะรู้สึกว่าตัวเอง"โคตรเก่ง" ลงอะไรก็รวย(เขาเรียกว่ายุค"ปาลูกดอก")และนักทำทั้งหลายก็จะออกอาละวาด
4)ในชีวิต36ปีในตลากหุ้นของผม. ไม่เคยเห็น"การปั่นหุ้นการกุศล". มีแต่ปั่นไปเพื่อเชือดเท่านั้นถ้าอยากเล่นหุ้นปั่นต้องถือคติ"เกาะถูก โดดทัน" กับสวดมนต์ลูกเดียว
5)ตั้งแต่ผมหมดตัวเมื่อยุค"ราชาเงินทุน" 34 ปีที่แล้วก็ไม่เคยเล่นหุ้นอีกเลย แต่เอาเงินไปให้ Asset Management จัดการแล้วก็รวยดีมาจนทุกวันนี้
ขอให้ทุกท่านโชคดี รำ่รวยกันทั่วหน้า แต่ถ้าอยากชัวร์ก็รีบมาเปิดบัญชีกับ บล.ภัทตะครุบ
สุดยอดความคิดเห็น
ความคิดเห็นที่ 14
เนื่องในวาระนี้ การซื้อ-ขาย ได้ครบปีแล้ว น้องสี่จึงคิดว่า โอกาสนี้แหละ น่าจะเป็นโอกาสที่เหมาะสมแล้ว
ในการสรุปยอด Net Buy / Net Sell ในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาจ้า พอได้ลองสรุปแล้ว ก็ได้เห็นตัวเลขบางอย่างในนั้นครับ
ยอดสะสมครบปี 1992 - 2014 จ้า

(ที่มาของตารางข้อมูล : Bsis 2.2 ของ Bualuang จ้า)
1. ต่างชาติ
ยังคง Net Buy สะสมประมาณ 200,000 ล้านบาท แปลว่าอาจจะปล่อยของได้อีก และ ต้นทุนเฉลี่ยก็คงไม่น่าจะสูงมากนัก
ซึ่ง Theme การลงทุนของต่างชาติ ในปี 2558 นั้น ก็ยังจับทิศทางได้ยาก เพราะด้วยเหตุผลบางประการในประเทศ
2. กองทุน/สถาบันในประเทศ
Net Buy 140,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก แบบไม่เคยเจอมาก่อน = =''
เพราะทำไม?? เด่วไปดูอีกตารางข้างล่างจะเห็นภาพชัดเจนมายิ่งขึ้น
3. โบรคเกอร์
Net Sell สะสมประมาณ 30,000 ล้านบาท (สงสัยขายทำกำไรออกไปตอนช่วงปี 1992 - 1999 เป็นส่วนใหญ่นะ)
แต่อย่างไรก็ตาม สไตล์การลงทุนของ Broker นั้นจะเป็นแบบนักเก็งกำไรหุ้นสุดๆ เลยก็ได้ว่า
ลองกลับไปสังเกตนะ โบรคเกอร์จะเล่นเก็งกำไรใน 1 ปี เท่านั้น (ถือยาวน้อยมาก เพราะจากยอดสะสมยังเป็น Net Sell เลยอะ -*-)
และที่สำคัญ ณ วันที่ Set ลงแรงๆ ในช่วงเดือนธันวาคม 2557 ทางโบรคเกอร์เองก็กระหน่ำเทขายกันแบบสุดๆ
ซึ่งก่อนหน้านั้น เพื่อนๆ คงยังจำกันได้นะ มีบางสำนักมองว่า ดัชนีจะไป XXXX จุด เท่านั้น เท่านี้
โอโหแม่เจ้าาาาาาาาาาาาาา ไม่กี่วันต่อมา ทุบกระจุย เลยจ้าาาาาาาาา - ... - ''
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า
ถ้าเดือนไหนโบรคเกอร์ ซื้อหุ้นสะสมเยอะแบบผิดปกติมากๆ (สังเกตยอดสะสมเดือน พฤศจิกายน 2014)
แปลว่า ให้ระวังไว้ให้ดี เพราะไม่แน่ว่าเค้าจะทุบหนักๆ ก็ได้เป็นได้จ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. น้องสี่แอบสงสัยอยู่นะ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 57 ช่วงนั้น Broker + ต่างชาติ เทกระจาดพร้อมกันเลย
เค้าจะรู้กันหรือเปล่าหนอ = . =''
4. รายย่อย
Net Sell ไปราวๆ 320,000 ล้านบาท (ยอดแอบเยอะจัง = ='')
อาจจะมองได้ว่า ทั้งๆ ในบางทีเรามีของดีอยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่ดันปล่อยของดีหลุดมือไป???
แต่ในอีกด้านนึง ก็อาจมองได้ว่า เพราะรูปแบบการลงทุนของแต่ละคนนั้น มันไม่เหมือนกันไง ใช่ม้าาาา
คนนึงลงทุนสั้น Day Trade อีกคนถือหุ้นระยะยาวหน่อย 2 - 3 ปี แต่บางคนก็ถือแล้วไม่ขายเลยก็มี ถือเอาปันผลระยะยาวมากๆ
ดังนั้น การที่รายย่อย Net Sell มาเป็นเวลาสะสม 20 ปี ก็จึงไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะ
จะเหมารวมไปว่า Net Sell มา 20 ปี แปลว่า รายย่อยขายหมูตลอดเลยสินะ 5555+ (จะบ้าหรอ!! คิดแบบนั้นได้ไง สะมง สมอง ไปหมดละ)
เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นว่ารายย่อยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้นแบบระยาว นั่นก็คือ Value Investor นั่นเอง
การที่เราไม่ไปกะเก็งกับวงจรมากจนเกินไป ก็อาจจะเป็นผลดีต่อเราก็ได้นะ เพราะหากหุ้นดี มี Growth มีปันผล
สุดท้าย สิ่งเรานี่ก็จะสะท้อนกลับไปที่ราคาหุ้นนั่นเองจ้า
Important !!
หากตัดยอดสะสมปี 2013 และ 2014 ออกไป จะพบว่า

(ที่มาของตารางข้อมูล : Bsis 2.2 ของ Bualuang จ้า)
กองทุน/สถาบันในประเทศ มีรูปแบบการลงทุนแบบ Broker ???
เพราะหากสังเกตดูยอดสะสมที่ผ่านมา 1992 - 2012 กองทุนซื้อๆ ขายๆ มาโดยตลอด
และจบท้ายปีสรุป 20 ปีที่ผ่านมา อยู่ในด้านของ Net Sell ราวๆ 30,000 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์การลงทุนของกลุ่มกองทุน / สถาบันในประเทศ มองได้ 3 ทางคือ
1. ทยอยปล่อยของในมือให้ นักลงทุนต่างประเทศ หรือไม่ก็รายย่อยในประเทศ เป็นหลัก
2. ทุบแรง แบบเทกระจาด? ซึ่งคงต้องไปดูข้อกำหนด + รายละเอียดของแต่ละกองทุนว่า
เวลาจะขาย ขายได้ทั้งหมดทีเดียวไหม? หรือว่าขายได้ในสัดส่วนจำกัดไม่เกินกี่ % ของการลงทุนในหุ้น??
3. ลองสังเกตยอด Net Buy ที่ผ่านมา กองทุนไม่เคย Net Buy เกิน 3 ปีนะ
เพราะดูจากที่ๆ ผ่านมา ปีที่ 4 กองทุนจะ Net Sell ในปีที่ 4 เป็นส่วนใหญ่จ้า เวลาคือคำตอบ ^^
อันนี้ต้องลองเจาะลึกกันอีกทีนึงนะ แต่ที่แน่ๆ รอบนี้ปี 2013 + 2014 คนดัน SET ขึ้นมาจาก 1200 ไป 1500 - 1600 จุด
ก็คือกองทุนนะจ๊ะ อย่าลืมตรงจุดนี้ละ รู้เขา รู้เรา นะเออ ^o^
ในอีกมุมหนึ่ง ตัวเลขที่น่าสนใจอีกด้านนึงก็คือ ฝั่งของการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ
จากปี 2009 - 2012 Net Buy มาโดยตลอด
(ยกเว้นปี 2011 เป็นปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ จริงๆ น้องสี่มองว่า ยอดการซื้อขายปี 2011
ของนักลงทุนต่างประเทศน่าจะ Net Buy นะ ถ้าน้ำไม่ท่วมซะก่อนนะ ไม่งั้นก็จะชัดเจนเลยว่า 4 ปีเต็ม นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อตลอดจ้า)
เวลากลุ่มของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามากันที เค้าจะเข้ามาหนักมากๆ
อย่างยอดสะสมที่แสดงดังรูป ก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่า เวลาเข้า เค้าเอาจริงๆ นะ (2009 2010 2011 2012)
แต่อย่างว่า เวลาเข้า เข้าหนัก ดังนั้น เวลาออก ก็ออกหนักจ้าาาาาาาาาาาา
ปี 2013 2014 เห็นๆ กันอยู่ 2 ปี ขายไปรวมยอดแล้วราวๆ 230,000 ล้านบาท !!!
เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย แต่อย่างว่ามันเป็น เกมการเงิน การลงทุน คมเฉือนคม > . <"
ดังนั้น น้องสี่จึงขอสรุปโดยรวมว่า ใน 1 - 2 ปีข้างหน้านี้
การลงทุนจะเป็นช่วงเวลาที่ Challenge มากๆ จ้าาาาาาา
*** เพิ่มเติมวิธีการเข้าไปดูสรุปยอดการซื้อ-การขาย จ้า ***
ถ้ามีบัญชีหลักทรัพย์ของบัวหลวง สามารถเข้าไปโหลดตาราง Excel ได้ตามรูปเลยจ้า


วิธีการเข้าน้า
1. เข้า Bsis 2.2 ทางด้านซ้ายบน
2. ไปที่หัวข้อ Market เลือก Customer Type
3. เลือกช่วงเวลา(วันที่)ที่จะดูยอดซื้อ ยอดขาย
สามารถเลือกดูเป็นยอดของแต่ละ วัน Daily , เดือน Monthly หรือ เป็นปี Yearly ก็ได้จ้า
จากนั้นกด >> Go <<
4. หลังจากเลือกวันที่ + ช่วงเวลาแล้ว ให้ไปที่ด้านขวาบน จะมีคำว่า Export to Excel
เราจะสามารถ Download ออกมาเป็นไฟล์ Excel ได้เลยน้า จากนั้น ก็ปรับแต่งตารางตามอัธยาศัยได้เลยจ้า
Link ด้านล่างนี้เป็นไฟล์ตาราง Excel น้า เผื่อเพื่อนๆ อยากโหลดเก็บไว้ดูกันจ้า 
https://www.dropbox.com/s/arzb9ozkie18ijj/Market%20Customer%20Type%20%5E%5E.xls?dl=0
น้องสี่ขอแนะนำว่า "การลงทุนที่ดีที่สุด คือการลงทุนในความรู้ นะครับ"
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ
ในการสรุปยอด Net Buy / Net Sell ในช่วงประมาณ 20 ปีที่ผ่านมาจ้า พอได้ลองสรุปแล้ว ก็ได้เห็นตัวเลขบางอย่างในนั้นครับ
ยอดสะสมครบปี 1992 - 2014 จ้า

(ที่มาของตารางข้อมูล : Bsis 2.2 ของ Bualuang จ้า)
1. ต่างชาติ
ยังคง Net Buy สะสมประมาณ 200,000 ล้านบาท แปลว่าอาจจะปล่อยของได้อีก และ ต้นทุนเฉลี่ยก็คงไม่น่าจะสูงมากนัก
ซึ่ง Theme การลงทุนของต่างชาติ ในปี 2558 นั้น ก็ยังจับทิศทางได้ยาก เพราะด้วยเหตุผลบางประการในประเทศ
2. กองทุน/สถาบันในประเทศ
Net Buy 140,000 ล้านบาท ซึ่งเป็นเรื่องที่แปลกมาก แบบไม่เคยเจอมาก่อน = =''
เพราะทำไม?? เด่วไปดูอีกตารางข้างล่างจะเห็นภาพชัดเจนมายิ่งขึ้น
3. โบรคเกอร์
Net Sell สะสมประมาณ 30,000 ล้านบาท (สงสัยขายทำกำไรออกไปตอนช่วงปี 1992 - 1999 เป็นส่วนใหญ่นะ)
แต่อย่างไรก็ตาม สไตล์การลงทุนของ Broker นั้นจะเป็นแบบนักเก็งกำไรหุ้นสุดๆ เลยก็ได้ว่า
ลองกลับไปสังเกตนะ โบรคเกอร์จะเล่นเก็งกำไรใน 1 ปี เท่านั้น (ถือยาวน้อยมาก เพราะจากยอดสะสมยังเป็น Net Sell เลยอะ -*-)
และที่สำคัญ ณ วันที่ Set ลงแรงๆ ในช่วงเดือนธันวาคม 2557 ทางโบรคเกอร์เองก็กระหน่ำเทขายกันแบบสุดๆ
ซึ่งก่อนหน้านั้น เพื่อนๆ คงยังจำกันได้นะ มีบางสำนักมองว่า ดัชนีจะไป XXXX จุด เท่านั้น เท่านี้
โอโหแม่เจ้าาาาาาาาาาาาาา ไม่กี่วันต่อมา ทุบกระจุย เลยจ้าาาาาาาาา - ... - ''
ดังนั้น จึงสรุปได้ว่า
ถ้าเดือนไหนโบรคเกอร์ ซื้อหุ้นสะสมเยอะแบบผิดปกติมากๆ (สังเกตยอดสะสมเดือน พฤศจิกายน 2014)
แปลว่า ให้ระวังไว้ให้ดี เพราะไม่แน่ว่าเค้าจะทุบหนักๆ ก็ได้เป็นได้จ้า
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
ปล. น้องสี่แอบสงสัยอยู่นะ ช่วงกลางเดือนธันวาคม 57 ช่วงนั้น Broker + ต่างชาติ เทกระจาดพร้อมกันเลย
เค้าจะรู้กันหรือเปล่าหนอ = . =''
4. รายย่อย
Net Sell ไปราวๆ 320,000 ล้านบาท (ยอดแอบเยอะจัง = ='')
อาจจะมองได้ว่า ทั้งๆ ในบางทีเรามีของดีอยู่ในมือแล้วแท้ๆ แต่ดันปล่อยของดีหลุดมือไป???
แต่ในอีกด้านนึง ก็อาจมองได้ว่า เพราะรูปแบบการลงทุนของแต่ละคนนั้น มันไม่เหมือนกันไง ใช่ม้าาาา
คนนึงลงทุนสั้น Day Trade อีกคนถือหุ้นระยะยาวหน่อย 2 - 3 ปี แต่บางคนก็ถือแล้วไม่ขายเลยก็มี ถือเอาปันผลระยะยาวมากๆ
ดังนั้น การที่รายย่อย Net Sell มาเป็นเวลาสะสม 20 ปี ก็จึงไม่ใช่สิ่งที่ผิดนะ
จะเหมารวมไปว่า Net Sell มา 20 ปี แปลว่า รายย่อยขายหมูตลอดเลยสินะ 5555+ (จะบ้าหรอ!! คิดแบบนั้นได้ไง สะมง สมอง ไปหมดละ)
เพราะตัวอย่างก็มีให้เห็นว่ารายย่อยที่ประสบความสำเร็จในการลงทุนในหุ้นแบบระยาว นั่นก็คือ Value Investor นั่นเอง
การที่เราไม่ไปกะเก็งกับวงจรมากจนเกินไป ก็อาจจะเป็นผลดีต่อเราก็ได้นะ เพราะหากหุ้นดี มี Growth มีปันผล
สุดท้าย สิ่งเรานี่ก็จะสะท้อนกลับไปที่ราคาหุ้นนั่นเองจ้า
Important !!
หากตัดยอดสะสมปี 2013 และ 2014 ออกไป จะพบว่า

(ที่มาของตารางข้อมูล : Bsis 2.2 ของ Bualuang จ้า)
กองทุน/สถาบันในประเทศ มีรูปแบบการลงทุนแบบ Broker ???
เพราะหากสังเกตดูยอดสะสมที่ผ่านมา 1992 - 2012 กองทุนซื้อๆ ขายๆ มาโดยตลอด
และจบท้ายปีสรุป 20 ปีที่ผ่านมา อยู่ในด้านของ Net Sell ราวๆ 30,000 ล้านบาท
ดังนั้น เมื่อวิเคราะห์การลงทุนของกลุ่มกองทุน / สถาบันในประเทศ มองได้ 3 ทางคือ
1. ทยอยปล่อยของในมือให้ นักลงทุนต่างประเทศ หรือไม่ก็รายย่อยในประเทศ เป็นหลัก
2. ทุบแรง แบบเทกระจาด? ซึ่งคงต้องไปดูข้อกำหนด + รายละเอียดของแต่ละกองทุนว่า
เวลาจะขาย ขายได้ทั้งหมดทีเดียวไหม? หรือว่าขายได้ในสัดส่วนจำกัดไม่เกินกี่ % ของการลงทุนในหุ้น??
3. ลองสังเกตยอด Net Buy ที่ผ่านมา กองทุนไม่เคย Net Buy เกิน 3 ปีนะ
เพราะดูจากที่ๆ ผ่านมา ปีที่ 4 กองทุนจะ Net Sell ในปีที่ 4 เป็นส่วนใหญ่จ้า เวลาคือคำตอบ ^^
อันนี้ต้องลองเจาะลึกกันอีกทีนึงนะ แต่ที่แน่ๆ รอบนี้ปี 2013 + 2014 คนดัน SET ขึ้นมาจาก 1200 ไป 1500 - 1600 จุด
ก็คือกองทุนนะจ๊ะ อย่าลืมตรงจุดนี้ละ รู้เขา รู้เรา นะเออ ^o^
ในอีกมุมหนึ่ง ตัวเลขที่น่าสนใจอีกด้านนึงก็คือ ฝั่งของการลงทุนจากนักลงทุนต่างประเทศ
จากปี 2009 - 2012 Net Buy มาโดยตลอด
(ยกเว้นปี 2011 เป็นปีที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ จริงๆ น้องสี่มองว่า ยอดการซื้อขายปี 2011
ของนักลงทุนต่างประเทศน่าจะ Net Buy นะ ถ้าน้ำไม่ท่วมซะก่อนนะ ไม่งั้นก็จะชัดเจนเลยว่า 4 ปีเต็ม นักลงทุนต่างประเทศ ซื้อตลอดจ้า)
เวลากลุ่มของนักลงทุนต่างประเทศเข้ามากันที เค้าจะเข้ามาหนักมากๆ
อย่างยอดสะสมที่แสดงดังรูป ก็บอกได้ชัดเจนแล้วว่า เวลาเข้า เค้าเอาจริงๆ นะ (2009 2010 2011 2012)
แต่อย่างว่า เวลาเข้า เข้าหนัก ดังนั้น เวลาออก ก็ออกหนักจ้าาาาาาาาาาาา
ปี 2013 2014 เห็นๆ กันอยู่ 2 ปี ขายไปรวมยอดแล้วราวๆ 230,000 ล้านบาท !!!
เอาเรื่องอยู่เหมือนกันนะเนี่ย แต่อย่างว่ามันเป็น เกมการเงิน การลงทุน คมเฉือนคม > . <"
ดังนั้น น้องสี่จึงขอสรุปโดยรวมว่า ใน 1 - 2 ปีข้างหน้านี้
การลงทุนจะเป็นช่วงเวลาที่ Challenge มากๆ จ้าาาาาาา
*** เพิ่มเติมวิธีการเข้าไปดูสรุปยอดการซื้อ-การขาย จ้า ***
ถ้ามีบัญชีหลักทรัพย์ของบัวหลวง สามารถเข้าไปโหลดตาราง Excel ได้ตามรูปเลยจ้า


วิธีการเข้าน้า
1. เข้า Bsis 2.2 ทางด้านซ้ายบน
2. ไปที่หัวข้อ Market เลือก Customer Type
3. เลือกช่วงเวลา(วันที่)ที่จะดูยอดซื้อ ยอดขาย
สามารถเลือกดูเป็นยอดของแต่ละ วัน Daily , เดือน Monthly หรือ เป็นปี Yearly ก็ได้จ้า
จากนั้นกด >> Go <<
4. หลังจากเลือกวันที่ + ช่วงเวลาแล้ว ให้ไปที่ด้านขวาบน จะมีคำว่า Export to Excel
เราจะสามารถ Download ออกมาเป็นไฟล์ Excel ได้เลยน้า จากนั้น ก็ปรับแต่งตารางตามอัธยาศัยได้เลยจ้า


https://www.dropbox.com/s/arzb9ozkie18ijj/Market%20Customer%20Type%20%5E%5E.xls?dl=0
น้องสี่ขอแนะนำว่า "การลงทุนที่ดีที่สุด คือการลงทุนในความรู้ นะครับ"
การลงทุนมีความเสี่ยงผู้ลงทุนและนักลงทุนควรหาความรู้และตัดสินใจให้ดีก่อนการลงทุนนะครับ

แสดงความคิดเห็น
ใครว่าหุ้นในมือฝรั่งขายหมดแล้ว แล้ววันนี้ไปเอาหุ้นที่ไหนมาขายตั้ง 4300 ลบ.
ขอถามผู้รู้ครับ