ถ้าคุณเก่งและศรัทธาในตัวเองจริงๆ คุณจะอยากให้คนรู้จักและจดจำคุณ ที่ตัวตนของคุณ ที่ชื่อของคุณ สิ่งที่คุณเป็น สิ่งที่คุณทำ เรียนจบที่ไหนก็ไม่มีอะไรต้องกลัว
ถ้าคุณหวังว่าชื่อเสียงของสถาบันที่คุณเรียนมา, ชื่อเสียงของพ่อแม่, หรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ จะมาช่วยคุณ ก็ผิดแล้ว
ผมอยากพูดเรื่อง "แนวคิด" มากกว่าจะมาก่อสงครามกันนะ
ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองเป็นทอง อยู่ที่ไหนก็เป็นทอง
ผมจบมหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี (คลอง 6 ปทุมฯ) ไร้ชื่อเสียง หลักสูตร 4 ปี (ศิลป์ศาสตร์, เอกภาษาอังกฤษ) ผมก็เรียน 5 ปีจบ เกรดผมมีครบทุกแบบ นอกจาก D - A แล้วยังมี W, และ F ติดมาด้วย และไม่ได้มีตัวเดียว มีแบบรัวๆ
บอกเลย ติดแฟน ลุ่มหลงในความรัก ร้องไห้ กินเหล้าเมายา ไม่ยอมไปเรียน ขี้เกียจอีก ชีวิตเลเทะมาก
5 ปี จบแบบถูๆ ไถๆ มาเกรดทุเรศทุรังแค่ 2.89 (เมื่อปี 2554)
ด้วยความช่วยเหลือแบบหาที่สุดไม่ได้ของคณาจารย์และเพื่อนๆ ค่อยจ้ำจี้จ้ำไช เตือนเรื่องนู้นบอกเรื่องนี้ แนะนำสารพัด แทบจะตักข้าวป้อนใส่ปากผมแล้วว่างั้น 5555 ซึ่งจริงๆ ระดับ นศ. นี่ต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
นี่อาจารย์ มาช่วยผมลงทะเบียนเรียน เรียนจบหางานไม่ได้ยังหางานให้ผมทำ! (และอื่นๆ อีกเยอะ)
(ขออนุญาตกราบเท้าอาจารย์วิไลพรแห่งคณะศิลปศาสตร์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) (และท่านอื่นๆ อีกเยอะ)
ผมทำงานก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ราวๆ 1-2 ปี เงินเดือนเริ่มจาก 15,000 บ. ก่อนจะเปลี่ยนงานอัพตัวเองเป็น 16,700 บ.
เงินเดือนเล็กๆ กับชีวิตคนเดียวอยู่น้อยๆ ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
ต่อมา จบมา 3 ปี จะเปลี่ยนงาน ต้องไปสอบ TOEIC เค้าเอา 550 คะแนน ชีวิตเรียนมา 5 ปี จบมาแล้วอีก 3 ปี ไม่เคยคิดจะต้องไปสอบสักที
ไม่ใช่อะไร ขี้เกียจ แถมเปลือง ค่าสอบ ค่าแท็กซี่ โอ้ยเยอะ
ไม่เคยอ่าน ไม่เคยติว ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่เก่งหรือห้าวอะไร แค่ ขี้เกียจ (อันนี้ไม่ดีนะ - -")
นั่นล่ะครับ สอบครั้งแรก ผมได้มา 910 คะแนน เท่าที่ทำไหวจริงๆ (ข้อสอบบ้านี่ก็เร็วเกิ๊น - -") แต่จริงๆ แค่ผ่านเกณฑ์ที่บ.ที่ตอนนั้นผมสมัครก็พอใจแล้ว เค้าขอแค่ 550 คะแนนเอง
ทำงานปัจจุบัน เงินเดือนก็ยังถือว่าน้อยสำหรับมาตรฐานชาวเมืองหลวง 20,000 บาท
ที่เล่าเรื่องส่วนตัว ผมไม่ได้คิดจะยกตัวเองมาเป็นข้อพิสูจน์นะครับ ว่าคนจบมหาวิทยาลัยไม่ดังก็เก่งได้ เพราะผมไม่เก่ง ผมห่วย กระจอก จริง ง่ายๆ แค่นั้นเลย ผมยอมรับ ไม่ว่าชีวิตส่วนไหนก็อนาถาสิ้นดี หรือกระทั่งเรื่องงานนี่พี่ๆ เจ้านายผมนี่มีวีรกรรมผมมาบรรยายได้ยาวเป็นหางว่าวแน่นอนครับ 5555
แต่คิดว่า คนแต่ละคนทำอะไรเองได้เยอะนะครับ ไม่สำคัญว่าจุดเริ่มต้นคุณจะเป็นอะไรมา แต่คุณพยายามที่จะผลักดันตัวเองหรือยัง
"มีคนคิดจริงๆ เหรอครับ ว่าเวลา 4-6 ปี ในมหาวิทยาลัย จะเปลี่ยนตัวตนของคนๆ หนึ่งไปได้โดยสิ้นเชิง?"
คนแต่ละคน เป็นตัวของตัวเองมาเกือบ 20 ปีแรกของชีวิตก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ "ตัวตน" ของคนๆ นั้น
ถ้าเป็นสินค้า คนสักคนก็คงถูกออกแบบ สร้าง พัฒนา ปรับปรุง เติบโต แล้วเพิ่งมาถูกจับใส่หีบห่อ ลงโฆษณา เอาก็ตอนมหาวิทยาลัยแล้ว นั่นล่ะครับ
สำคัญอีกอย่าง "ความเก่ง" มันมีหลายอย่างนะครับ
พี่ที่ทำงานก็เคยบอกว่า "ความเก่ง พี่ฝึกได้" แต่ถ้าทัศนคติคุณไม่ดี หยิ่งผยอง ขี้เกียจ ชอบเอาเปรียบคนอื่น วินัยไม่ดี ก็ไม่มีประโยชน์ (อันหลังนี่ผมพูดเอง)
ผมว่าเดี๋ยวนี้หาคน ขยัน ซื่อสัตย์ มานะ อุตสาหะ ทัศนคติดี นี่หายากนะ
"ชื่อเสียง" เป็นแค่ใบเบิกทาง "การทำงาน" สิของจริง
พิสูจน์ด้วยผลงานและการกระทำครับ สำคัญที่ "เนื้อแท้" ของคนๆ นั้นที่สุดล่ะนะครับ
:: ถึงคุณไม่ได้จบสถาบันการศึกษาชื่อดัง ก็สามารถเป็นคนเก่งได้ครับ ::
ถ้าคุณหวังว่าชื่อเสียงของสถาบันที่คุณเรียนมา, ชื่อเสียงของพ่อแม่, หรือสิ่งแวดล้อมอื่นๆ จะมาช่วยคุณ ก็ผิดแล้ว
ผมอยากพูดเรื่อง "แนวคิด" มากกว่าจะมาก่อสงครามกันนะ
ถ้าคุณมั่นใจว่าตัวเองเป็นทอง อยู่ที่ไหนก็เป็นทอง
ผมจบมหาวิทยาลัย สถาบันเทคโนโลยีราชมงคล ธัญบุรี (คลอง 6 ปทุมฯ) ไร้ชื่อเสียง หลักสูตร 4 ปี (ศิลป์ศาสตร์, เอกภาษาอังกฤษ) ผมก็เรียน 5 ปีจบ เกรดผมมีครบทุกแบบ นอกจาก D - A แล้วยังมี W, และ F ติดมาด้วย และไม่ได้มีตัวเดียว มีแบบรัวๆ
บอกเลย ติดแฟน ลุ่มหลงในความรัก ร้องไห้ กินเหล้าเมายา ไม่ยอมไปเรียน ขี้เกียจอีก ชีวิตเลเทะมาก
5 ปี จบแบบถูๆ ไถๆ มาเกรดทุเรศทุรังแค่ 2.89 (เมื่อปี 2554)
ด้วยความช่วยเหลือแบบหาที่สุดไม่ได้ของคณาจารย์และเพื่อนๆ ค่อยจ้ำจี้จ้ำไช เตือนเรื่องนู้นบอกเรื่องนี้ แนะนำสารพัด แทบจะตักข้าวป้อนใส่ปากผมแล้วว่างั้น 5555 ซึ่งจริงๆ ระดับ นศ. นี่ต้องรับผิดชอบตัวเองได้แล้ว
นี่อาจารย์ มาช่วยผมลงทะเบียนเรียน เรียนจบหางานไม่ได้ยังหางานให้ผมทำ! (และอื่นๆ อีกเยอะ)
(ขออนุญาตกราบเท้าอาจารย์วิไลพรแห่งคณะศิลปศาสตร์ไว้ ณ ที่นี้ด้วยครับ) (และท่านอื่นๆ อีกเยอะ)
ผมทำงานก๊อกๆ แก๊กๆ อยู่ราวๆ 1-2 ปี เงินเดือนเริ่มจาก 15,000 บ. ก่อนจะเปลี่ยนงานอัพตัวเองเป็น 16,700 บ.
เงินเดือนเล็กๆ กับชีวิตคนเดียวอยู่น้อยๆ ก็ไม่ได้ย่ำแย่อะไร
ต่อมา จบมา 3 ปี จะเปลี่ยนงาน ต้องไปสอบ TOEIC เค้าเอา 550 คะแนน ชีวิตเรียนมา 5 ปี จบมาแล้วอีก 3 ปี ไม่เคยคิดจะต้องไปสอบสักที
ไม่ใช่อะไร ขี้เกียจ แถมเปลือง ค่าสอบ ค่าแท็กซี่ โอ้ยเยอะ
ไม่เคยอ่าน ไม่เคยติว ไม่ทำอะไรทั้งนั้น ไม่ใช่เก่งหรือห้าวอะไร แค่ ขี้เกียจ (อันนี้ไม่ดีนะ - -")
นั่นล่ะครับ สอบครั้งแรก ผมได้มา 910 คะแนน เท่าที่ทำไหวจริงๆ (ข้อสอบบ้านี่ก็เร็วเกิ๊น - -") แต่จริงๆ แค่ผ่านเกณฑ์ที่บ.ที่ตอนนั้นผมสมัครก็พอใจแล้ว เค้าขอแค่ 550 คะแนนเอง
ทำงานปัจจุบัน เงินเดือนก็ยังถือว่าน้อยสำหรับมาตรฐานชาวเมืองหลวง 20,000 บาท
ที่เล่าเรื่องส่วนตัว ผมไม่ได้คิดจะยกตัวเองมาเป็นข้อพิสูจน์นะครับ ว่าคนจบมหาวิทยาลัยไม่ดังก็เก่งได้ เพราะผมไม่เก่ง ผมห่วย กระจอก จริง ง่ายๆ แค่นั้นเลย ผมยอมรับ ไม่ว่าชีวิตส่วนไหนก็อนาถาสิ้นดี หรือกระทั่งเรื่องงานนี่พี่ๆ เจ้านายผมนี่มีวีรกรรมผมมาบรรยายได้ยาวเป็นหางว่าวแน่นอนครับ 5555
แต่คิดว่า คนแต่ละคนทำอะไรเองได้เยอะนะครับ ไม่สำคัญว่าจุดเริ่มต้นคุณจะเป็นอะไรมา แต่คุณพยายามที่จะผลักดันตัวเองหรือยัง
"มีคนคิดจริงๆ เหรอครับ ว่าเวลา 4-6 ปี ในมหาวิทยาลัย จะเปลี่ยนตัวตนของคนๆ หนึ่งไปได้โดยสิ้นเชิง?"
คนแต่ละคน เป็นตัวของตัวเองมาเกือบ 20 ปีแรกของชีวิตก่อนจะเข้ามหาวิทยาลัย เพราะฉะนั้น สิ่งที่สำคัญจริงๆ คือ "ตัวตน" ของคนๆ นั้น
ถ้าเป็นสินค้า คนสักคนก็คงถูกออกแบบ สร้าง พัฒนา ปรับปรุง เติบโต แล้วเพิ่งมาถูกจับใส่หีบห่อ ลงโฆษณา เอาก็ตอนมหาวิทยาลัยแล้ว นั่นล่ะครับ
สำคัญอีกอย่าง "ความเก่ง" มันมีหลายอย่างนะครับ
พี่ที่ทำงานก็เคยบอกว่า "ความเก่ง พี่ฝึกได้" แต่ถ้าทัศนคติคุณไม่ดี หยิ่งผยอง ขี้เกียจ ชอบเอาเปรียบคนอื่น วินัยไม่ดี ก็ไม่มีประโยชน์ (อันหลังนี่ผมพูดเอง)
ผมว่าเดี๋ยวนี้หาคน ขยัน ซื่อสัตย์ มานะ อุตสาหะ ทัศนคติดี นี่หายากนะ
"ชื่อเสียง" เป็นแค่ใบเบิกทาง "การทำงาน" สิของจริง
พิสูจน์ด้วยผลงานและการกระทำครับ สำคัญที่ "เนื้อแท้" ของคนๆ นั้นที่สุดล่ะนะครับ