ถ้ามีใครสักคนถามขึ้นมาว่า
"คุณคิดจะแก้ไขปัญหาการศึกษาไทยยังไง?"
จากประสบการณ์ตรงของ จขกท. พบว่า คนส่วนใหญ่จะ...
- ถอนใจเฮือกใหญ่ๆ
- เงยหน้ามองฟ้าราวกับจะขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- พร่ำบ่นถึงปัญหาต่างๆ ของการศึกษาไทยในเชิงตัดพ้อต่อว่า
- สุดท้าย...คนกว่า 90% จะตอบว่า "คงทำอะไรไม่ได้ ถ้าชาตินี้ไม่ได้เป็นนายกฯ/ รมต.กระทรวงศึกษาธิการ"
หลายคนคงคิดว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเราจะไปทำอะไรได้
อันที่จริงแล้ว จขกท. ก็เคยคิดแบบนี้ค่ะ แต่พอได้มาทำงาน (ในธุรกิจ) ที่ต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถาบันการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาของภาครัฐแล้ว ก็กลับมาคิดได้ว่า...
- ทำไมเราต้องนั่งรอใครก็ไม่รู้ ความรู้ความสามารถหรือแม้กระทั่งประสบการณ์ตามสายงานยังไม่ค่อยจะมี เป็นนักการเมืองที่ดำเนินนโยบายไปตามเกมการเมือง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...
- ทำไมเราต้องมาฝากอนาคตของชาติไว้ในมือคนพวกนี้ด้วย?!? (ซื้อล็อตเตอรี่ซะยังจะมีความเป็นไปได้มากกว่าเลย)
เนื่องด้วยงานของ จขกท. ต้องเกี่ยวข้องกับวงการศึกษาโดยตรงอยู่แล้ว เลยมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับครูหลายๆ ท่านที่มีอุดมการณ์อันน่ายกย่อง เป็นเหมือนแสงสว่างที่ทำให้รู้ว่าการศึกษาไทยก็ยังไม่มืดมนไปซะทีเดียว
- เชื่อไหมว่าโรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด มีหลายแห่งที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ และ วอลดอร์ฟ อย่างเต็มรูปแบบ โดยครูผู้เชี่ยวชาญในแนวทางการสอนนั้นๆ อย่างแท้จริงไม่แพ้โรงเรียนเอกชนแพงๆ ในเมืองใหญ่เลย (เด็กๆ เรียนฟรีด้วยนะคะ)
- ครูโรงเรียนรัฐบาลหลายๆ ท่าน ยอมควักเงินในกระเป๋าตัวเองเพื่อซื้อสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพมาให้เด็กๆ ได้ใช้กันฟรีๆ (ในขณะที่สื่อที่ได้มาจากงบประมาณส่วนกลางนั้นวางกองทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับเล่นๆ ทั้งที่ซื้อมาแพงกว่ามูลค่าจริงหลายเท่า - ก็อย่างว่าน่ะนะ ต้องมีค่าล็อบบี้ ค่าวิ่งเต้น บวกกำไรเข้าไปอีกตั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์ - แต่ไม่ได้ของที่ตรงกับความต้องการของครูเลย)
พอคิดได้ก็อยากจะลงมือทำค่ะ มีคนเคยบอกไว้ว่า "เราไม่จำเป็นต้องอาจหาญไปเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ แค่เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเอง แล้วโลกรอบๆ ตัวเราก็จะเปลี่ยนแปลงตาม"
นี่เลยเป็นที่มาของการได้เดินทางไกลครึ่งโลกไปเข้าร่วมการสัมมนาว่าด้วย "การบูรณาการการเล่นเข้ากับการจัดการเรียนรู้" ครั้งนี้ค่ะ
จขกท.มีความเชื่อมาตลอดว่า เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการบังคับ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กอยากเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่เพราะเนื้อหาวิชาที่น่าเบื่อ ต้องท่องหนังสือกันเป็นตั้งๆ กระทั่งแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังเบือนหน้าหนีเลย แล้วทำไมเราไม่ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกล่ะ? ก็ตรงกับคอนเซปต์ของการสัมมนาครั้งนี้พอดี (แหงล่ะสิ เธอถึงไปทำธุรกิจกับเขาได้ไงล่ะ!)
ปล. ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครั้งนี้ จขกท. ออกเองทั้งหมดค่ะ จำนวนเงินค่อนข้างสูง แต่คิดว่าน่าจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ เป็นการเปิดโลกกว้างเพื่อนำประสบการณ์มาแชร์ให้คนอื่นๆ ได้รับทราบกันด้วยค่ะ
อธิบายสักนิดนะคะ การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นโดยบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อการสอนรายใหญ่ในประเทศชิลี ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตของเล่นและเกมสำหรับเด็กจากเยอรมัน จัดสัมมนาขึ้นในหัวข้อ
"การบูรณาการการเล่นเข้ากับการจัดการเรียนรู้"
จัดขึ้น ณ 3 เมือง ในประเทศชิลี โดยเปิดให้ครูในท้องที่รวมถึงนักศึกษาในสายวิชาชีพครูได้เข้าร่วมฟังและแบ่งปันประสบการณ์กันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจากหลายประเทศ (เยอรมัน, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเชค, เปรู, จีน) เดินทางมาเข้าร่วมด้วย
เอ๊ะ! แล้ว จขกท.เป็นใครกัน โปรไฟล์ดูไม่เข้าพวกอยู่คนเดียว?!?
ที่จริงแล้ว จขกท.เป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ไปร่วมงานนี้ค่ะ (ดูเหมือนจะเด็กสุดในบรรดาชาวต่างชาติที่เดินทางไปเข้าร่วมด้วย) เพราะทางบริษัทเยอรมันที่เป็นคู่ค้าเชิญมา (แต่ออกค่าใช้จ่ายเองนะ) ในเอเชียเท่าที่ทราบ เขาเชิญแค่บริษัทของ จขกท. (ซึ่งเป็นบริษัทเล็กกระจ้อยร่อย) กับบริษัทใหญ่ในจีนอีกไม่กี่บริษัทค่ะ ส่วนประเทศอื่นๆ ไม่ได้เชิญ ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะว่าเพราะอะไร
เนื่องด้วยงานนี้ค่าใช้จ่ายก็สูง แถมยังต้องไปหลายวันอีก ปกติ จขกท.จะเดินทางกับสามีที่ทำงานด้วยกันตลอด มาคราวนี้ก็เลยต้องบินเดี่ยวคนเดียวจริงๆ ค่ะ สามียอมเสียสละให้ จขกท. เป็นคนไปเพราะต้องมีคนอยู่ทำงานที่เมืองไทยและดูแลบ้านกับบรรดาหมา (14) แมว (5) ด้วย อีกอย่างสามีบอกว่า เพราะจขกท.กำลังเรียนต่อด้านจิตวิทยาพัฒนาการค่ะ เลยพอจะมีพื้นฐานความรู้ด้านการศึกษาอยู่บ้าง และพูดภาษาสเปนได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์มากในระหว่างเดินทางและการร่วมกิจกรรมหลายๆ อย่าง (ก็จริงตามนั้น)
การเดินทาง
เรื่องการเดินทางจะอธิบายคร่าวๆ นะคะ เผื่อใครสนใจอยากทราบ ถ้าไม่สนใจก็ข้ามตรงนี้ไปได้เลยค่ะ
ที่จริงแล้วพาสปอร์ตไทยสามารถเข้าประเทศชิลีได้นาน 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่การเดินทางเที่ยวนี้ จขกท. กลับต้องขอวีซ่าเชงเก้นค่ะ 555
ด้วยความที่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ทำให้อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด จขกท. จึงเลือกซื้อตั๋วเครื่องบิน 2 ชุดแยกกันค่ะ (รวมค่าทำวีซ่าเชงเก้นแล้วยังถูกกว่าซื้อตั๋วรวดเดียวอยู่เกือบหมื่น)
1. กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม สายการบิน Emirates แวะต่อเครื่องที่ดูไบ
2. อัมสเตอร์ดัม-ซานติอาโก (ชิลี) สายการบิน KLM ขาไปแวะต่อเครื่องที่บัวโนสไอเรส (อาร์เจนตินา) ขากลับแวะไปที่ปานามาซิตี้ (ปานามา) อ้อมมากกกก แต่ยอม เพราะถูก
ค่าตั๋วเครื่องบินที่ จขกท. ซื้อรวมแล้วประมาณ 51,xxx บวกกับค่าวีซ่าอีกสองพันกว่าบาท (ตอนนั้นโชคดี เงินยูโรตก) เบ็ดเสร็จจ่ายไปทั้งหมด 54,xxx ซึ่งถ้าซื้อตั๋วรวดเดียวจะตกประมาณ 62,xxx (Delta) ประหยัดไปตั้งเยอะ
จริงๆ จะไปรูทอเมริกาก็ได้ เพราะ จขกท.มีวีซ่าทรานซิทของอเมริกาอยู่แล้ว (ทรานซิทจริงๆ นะเออ ออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ ได้แค่อยู่ในสนามบิน ให้มาตั้ง 5 ปีแน่ะ) แต่อย่างที่บอก ค่าตั๋วมันแพงกว่ากันเยอะ อีกอย่าง Emirates กับ KLM ก็เป็นสายการบินที่น่าเชื่อถือได้ ว่าจะไม่ดีเลย์จนทำให้แผนการเดินทางของ จขกท.รวนไปซะเปล่าๆ อุตส่าห์มาตั้งครึ่งโลก
แถมตอนขอวีซ่าเชงเก้นที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะแปลกใจกับเหตุในการขอวีซ่าของ จขกท. แต่สถานทูตก็ใจดี ให้วีซ่า multiple มาตั้งปีนึงแน่ะ (ขอไป 2 วัน คือ วันไปกับวันกลับ เพราะซื้อตั๋วแยกเลยต้องผ่านตม. ออกมารับกระเป๋าและกลับเข้าไปเช็คอินใหม่ แต่มีเวลารอเปลี่ยนเครื่องนาน เลยได้ออกไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ) ถือว่าโชคดีไป
หลังจากใช้เวลาเดินทางบวกกับรอต่อเครื่องทั้งสิ้นกว่า 30 ชม. ในที่สุดเท้าของ จขกท.ก็ได้เหยียบลงบนแผ่นดินชิลี (ในสภาพที่มีกลิ่นตัวโชยนิดๆ และหัวมันแผล็บ)

ตอนเครื่องกำลังลดระดับ เห็นภูมิประเทศของชิลีเล็กน้อย เทือกเขาสูงทะลุเมฆกันเลยทีเดียว

สนามบินอาร์ตูโร่ เมริโน เบนิเตซ (Arturo Merino Benitez) แห่งกรุงซานติอาโก ประเทศชิลี (ชื่อยาวจริงๆ จนกลับมาแล้วก็ยังจำชื่อไม่ได้ เมื่อกี้ต้องไปเสิร์ชหาชื่อเต็มๆ อยู่เลย)

โปรแกรมของงานสัมมนาครั้งนี้ (จริงๆ เที่ยวซะเยอะกว่าสัมมนาอีก)

เซบิเช่ (Ceviche) อาหารขึ้นชื่อของชิลี (และของประเทศอื่นๆ ในแถบนี้อีกหลายประเทศ) เป็นยำปลาดิบ บีบมะนาวเปรี้ยวๆ ใส่หัวหอม ผักชี ข้าวโพดหวาน มันต้ม และผักสลัด อร่อยมากกก (หิวด้วยแหละ เป็นมื้อแรก)
แชร์ประสบการณ์...เดินทางไกลครึ่งโลก(ชิลี) ไปถกปัญหาการศึกษากับผู้เชี่ยวชาญชาวต่างชาติ...จากนักธุรกิจตัวน้อยคนหนึ่ง
"คุณคิดจะแก้ไขปัญหาการศึกษาไทยยังไง?"
จากประสบการณ์ตรงของ จขกท. พบว่า คนส่วนใหญ่จะ...
- ถอนใจเฮือกใหญ่ๆ
- เงยหน้ามองฟ้าราวกับจะขอความเมตตาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์
- พร่ำบ่นถึงปัญหาต่างๆ ของการศึกษาไทยในเชิงตัดพ้อต่อว่า
- สุดท้าย...คนกว่า 90% จะตอบว่า "คงทำอะไรไม่ได้ ถ้าชาตินี้ไม่ได้เป็นนายกฯ/ รมต.กระทรวงศึกษาธิการ"
หลายคนคงคิดว่าคนตัวเล็กๆ อย่างเราจะไปทำอะไรได้
อันที่จริงแล้ว จขกท. ก็เคยคิดแบบนี้ค่ะ แต่พอได้มาทำงาน (ในธุรกิจ) ที่ต้องเกี่ยวข้องโดยตรงกับสถาบันการศึกษาและบุคลากรทางการศึกษาของภาครัฐแล้ว ก็กลับมาคิดได้ว่า...
- ทำไมเราต้องนั่งรอใครก็ไม่รู้ ความรู้ความสามารถหรือแม้กระทั่งประสบการณ์ตามสายงานยังไม่ค่อยจะมี เป็นนักการเมืองที่ดำเนินนโยบายไปตามเกมการเมือง ผ่านมาแล้วก็ผ่านไป...
- ทำไมเราต้องมาฝากอนาคตของชาติไว้ในมือคนพวกนี้ด้วย?!? (ซื้อล็อตเตอรี่ซะยังจะมีความเป็นไปได้มากกว่าเลย)
เนื่องด้วยงานของ จขกท. ต้องเกี่ยวข้องกับวงการศึกษาโดยตรงอยู่แล้ว เลยมีโอกาสได้พบปะพูดคุยกับครูหลายๆ ท่านที่มีอุดมการณ์อันน่ายกย่อง เป็นเหมือนแสงสว่างที่ทำให้รู้ว่าการศึกษาไทยก็ยังไม่มืดมนไปซะทีเดียว
- เชื่อไหมว่าโรงเรียนรัฐบาลเล็กๆ ในต่างจังหวัด มีหลายแห่งที่มีการจัดการเรียนการสอนแบบมอนเตสซอรี่ และ วอลดอร์ฟ อย่างเต็มรูปแบบ โดยครูผู้เชี่ยวชาญในแนวทางการสอนนั้นๆ อย่างแท้จริงไม่แพ้โรงเรียนเอกชนแพงๆ ในเมืองใหญ่เลย (เด็กๆ เรียนฟรีด้วยนะคะ)
- ครูโรงเรียนรัฐบาลหลายๆ ท่าน ยอมควักเงินในกระเป๋าตัวเองเพื่อซื้อสื่อการเรียนการสอนที่มีคุณภาพมาให้เด็กๆ ได้ใช้กันฟรีๆ (ในขณะที่สื่อที่ได้มาจากงบประมาณส่วนกลางนั้นวางกองทิ้งไว้ให้ฝุ่นจับเล่นๆ ทั้งที่ซื้อมาแพงกว่ามูลค่าจริงหลายเท่า - ก็อย่างว่าน่ะนะ ต้องมีค่าล็อบบี้ ค่าวิ่งเต้น บวกกำไรเข้าไปอีกตั้งหลายสิบเปอร์เซ็นต์ - แต่ไม่ได้ของที่ตรงกับความต้องการของครูเลย)
พอคิดได้ก็อยากจะลงมือทำค่ะ มีคนเคยบอกไว้ว่า "เราไม่จำเป็นต้องอาจหาญไปเปลี่ยนแปลงโลกทั้งใบ แค่เริ่มเปลี่ยนที่ตัวเราเอง แล้วโลกรอบๆ ตัวเราก็จะเปลี่ยนแปลงตาม"
นี่เลยเป็นที่มาของการได้เดินทางไกลครึ่งโลกไปเข้าร่วมการสัมมนาว่าด้วย "การบูรณาการการเล่นเข้ากับการจัดการเรียนรู้" ครั้งนี้ค่ะ
จขกท.มีความเชื่อมาตลอดว่า เด็กไม่สามารถเรียนรู้ได้จากการบังคับ แต่การเรียนรู้จะเกิดขึ้นเมื่อเด็กอยากเรียนรู้ด้วยตนเอง แต่เพราะเนื้อหาวิชาที่น่าเบื่อ ต้องท่องหนังสือกันเป็นตั้งๆ กระทั่งแม้แต่ผู้ใหญ่เองก็ยังเบือนหน้าหนีเลย แล้วทำไมเราไม่ทำให้การเรียนเป็นเรื่องสนุกล่ะ? ก็ตรงกับคอนเซปต์ของการสัมมนาครั้งนี้พอดี (แหงล่ะสิ เธอถึงไปทำธุรกิจกับเขาได้ไงล่ะ!)
ปล. ค่าใช้จ่ายทุกอย่างในครั้งนี้ จขกท. ออกเองทั้งหมดค่ะ จำนวนเงินค่อนข้างสูง แต่คิดว่าน่าจะคุ้มค่ากับสิ่งที่ได้รับ เป็นการเปิดโลกกว้างเพื่อนำประสบการณ์มาแชร์ให้คนอื่นๆ ได้รับทราบกันด้วยค่ะ
อธิบายสักนิดนะคะ การสัมมนาครั้งนี้จัดขึ้นโดยบริษัทที่ทำธุรกิจเกี่ยวกับสื่อการสอนรายใหญ่ในประเทศชิลี ร่วมมือกับบริษัทผู้ผลิตของเล่นและเกมสำหรับเด็กจากเยอรมัน จัดสัมมนาขึ้นในหัวข้อ
"การบูรณาการการเล่นเข้ากับการจัดการเรียนรู้"
จัดขึ้น ณ 3 เมือง ในประเทศชิลี โดยเปิดให้ครูในท้องที่รวมถึงนักศึกษาในสายวิชาชีพครูได้เข้าร่วมฟังและแบ่งปันประสบการณ์กันโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย และมีผู้เชี่ยวชาญด้านการศึกษาจากหลายประเทศ (เยอรมัน, โปรตุเกส, สาธารณรัฐเชค, เปรู, จีน) เดินทางมาเข้าร่วมด้วย
เอ๊ะ! แล้ว จขกท.เป็นใครกัน โปรไฟล์ดูไม่เข้าพวกอยู่คนเดียว?!?
ที่จริงแล้ว จขกท.เป็นคนไทยเพียงคนเดียวที่ไปร่วมงานนี้ค่ะ (ดูเหมือนจะเด็กสุดในบรรดาชาวต่างชาติที่เดินทางไปเข้าร่วมด้วย) เพราะทางบริษัทเยอรมันที่เป็นคู่ค้าเชิญมา (แต่ออกค่าใช้จ่ายเองนะ) ในเอเชียเท่าที่ทราบ เขาเชิญแค่บริษัทของ จขกท. (ซึ่งเป็นบริษัทเล็กกระจ้อยร่อย) กับบริษัทใหญ่ในจีนอีกไม่กี่บริษัทค่ะ ส่วนประเทศอื่นๆ ไม่ได้เชิญ ไม่ทราบสาเหตุเหมือนกันค่ะว่าเพราะอะไร
เนื่องด้วยงานนี้ค่าใช้จ่ายก็สูง แถมยังต้องไปหลายวันอีก ปกติ จขกท.จะเดินทางกับสามีที่ทำงานด้วยกันตลอด มาคราวนี้ก็เลยต้องบินเดี่ยวคนเดียวจริงๆ ค่ะ สามียอมเสียสละให้ จขกท. เป็นคนไปเพราะต้องมีคนอยู่ทำงานที่เมืองไทยและดูแลบ้านกับบรรดาหมา (14) แมว (5) ด้วย อีกอย่างสามีบอกว่า เพราะจขกท.กำลังเรียนต่อด้านจิตวิทยาพัฒนาการค่ะ เลยพอจะมีพื้นฐานความรู้ด้านการศึกษาอยู่บ้าง และพูดภาษาสเปนได้ ซึ่งก็น่าจะเป็นประโยชน์มากในระหว่างเดินทางและการร่วมกิจกรรมหลายๆ อย่าง (ก็จริงตามนั้น)
การเดินทาง
เรื่องการเดินทางจะอธิบายคร่าวๆ นะคะ เผื่อใครสนใจอยากทราบ ถ้าไม่สนใจก็ข้ามตรงนี้ไปได้เลยค่ะ
ที่จริงแล้วพาสปอร์ตไทยสามารถเข้าประเทศชิลีได้นาน 90 วันโดยไม่ต้องขอวีซ่า แต่การเดินทางเที่ยวนี้ จขกท. กลับต้องขอวีซ่าเชงเก้นค่ะ 555
ด้วยความที่ต้องออกค่าใช้จ่ายเอง ทำให้อะไรที่ประหยัดได้ก็ต้องประหยัด จขกท. จึงเลือกซื้อตั๋วเครื่องบิน 2 ชุดแยกกันค่ะ (รวมค่าทำวีซ่าเชงเก้นแล้วยังถูกกว่าซื้อตั๋วรวดเดียวอยู่เกือบหมื่น)
1. กรุงเทพ-อัมสเตอร์ดัม สายการบิน Emirates แวะต่อเครื่องที่ดูไบ
2. อัมสเตอร์ดัม-ซานติอาโก (ชิลี) สายการบิน KLM ขาไปแวะต่อเครื่องที่บัวโนสไอเรส (อาร์เจนตินา) ขากลับแวะไปที่ปานามาซิตี้ (ปานามา) อ้อมมากกกก แต่ยอม เพราะถูก
ค่าตั๋วเครื่องบินที่ จขกท. ซื้อรวมแล้วประมาณ 51,xxx บวกกับค่าวีซ่าอีกสองพันกว่าบาท (ตอนนั้นโชคดี เงินยูโรตก) เบ็ดเสร็จจ่ายไปทั้งหมด 54,xxx ซึ่งถ้าซื้อตั๋วรวดเดียวจะตกประมาณ 62,xxx (Delta) ประหยัดไปตั้งเยอะ
จริงๆ จะไปรูทอเมริกาก็ได้ เพราะ จขกท.มีวีซ่าทรานซิทของอเมริกาอยู่แล้ว (ทรานซิทจริงๆ นะเออ ออกไปเที่ยวไหนไม่ได้ ได้แค่อยู่ในสนามบิน ให้มาตั้ง 5 ปีแน่ะ) แต่อย่างที่บอก ค่าตั๋วมันแพงกว่ากันเยอะ อีกอย่าง Emirates กับ KLM ก็เป็นสายการบินที่น่าเชื่อถือได้ ว่าจะไม่ดีเลย์จนทำให้แผนการเดินทางของ จขกท.รวนไปซะเปล่าๆ อุตส่าห์มาตั้งครึ่งโลก
แถมตอนขอวีซ่าเชงเก้นที่สถานทูตเนเธอร์แลนด์ แม้ว่าเจ้าหน้าที่จะแปลกใจกับเหตุในการขอวีซ่าของ จขกท. แต่สถานทูตก็ใจดี ให้วีซ่า multiple มาตั้งปีนึงแน่ะ (ขอไป 2 วัน คือ วันไปกับวันกลับ เพราะซื้อตั๋วแยกเลยต้องผ่านตม. ออกมารับกระเป๋าและกลับเข้าไปเช็คอินใหม่ แต่มีเวลารอเปลี่ยนเครื่องนาน เลยได้ออกไปเที่ยวอัมสเตอร์ดัมเล็กน้อย พอหอมปากหอมคอ) ถือว่าโชคดีไป
หลังจากใช้เวลาเดินทางบวกกับรอต่อเครื่องทั้งสิ้นกว่า 30 ชม. ในที่สุดเท้าของ จขกท.ก็ได้เหยียบลงบนแผ่นดินชิลี (ในสภาพที่มีกลิ่นตัวโชยนิดๆ และหัวมันแผล็บ)
ตอนเครื่องกำลังลดระดับ เห็นภูมิประเทศของชิลีเล็กน้อย เทือกเขาสูงทะลุเมฆกันเลยทีเดียว
สนามบินอาร์ตูโร่ เมริโน เบนิเตซ (Arturo Merino Benitez) แห่งกรุงซานติอาโก ประเทศชิลี (ชื่อยาวจริงๆ จนกลับมาแล้วก็ยังจำชื่อไม่ได้ เมื่อกี้ต้องไปเสิร์ชหาชื่อเต็มๆ อยู่เลย)
โปรแกรมของงานสัมมนาครั้งนี้ (จริงๆ เที่ยวซะเยอะกว่าสัมมนาอีก)
เซบิเช่ (Ceviche) อาหารขึ้นชื่อของชิลี (และของประเทศอื่นๆ ในแถบนี้อีกหลายประเทศ) เป็นยำปลาดิบ บีบมะนาวเปรี้ยวๆ ใส่หัวหอม ผักชี ข้าวโพดหวาน มันต้ม และผักสลัด อร่อยมากกก (หิวด้วยแหละ เป็นมื้อแรก)