เห็นคนตั้งกระทู้เกี่ยวข้องกับเรื่องของศรัทธาแล้วก็คิดว่าจะหยิบฉวยเรื่องดังกล่าวมาขีดเขียนแบบเบาๆน่าจะดี ...
(จริงๆแล้วกำลังครุ่นคิดถึงความลึกซึ้งของวิญญาณธาตุอยู่แต่เห็นแล้วว่ามิติของเรื่องดังกล่าวใหญ่โตมาก)
ใครๆก็ทราบว่าถ้าจะบรรลุอรหันต์ก็ต้องบรรลุด้วยปัญญา ส่วนถ้าบรรลุโสดาบันถ้าใช้ศรัทธาเป็นหลักก็จะเรียกว่าสัทธาวิมุติ อันนี้ตามคัมภีร์ ท่านไหนก็คงจะสอบทานเรื่องทางคัมภีร์ให้ได้
ศรัทธาเป็นข้อแรกที่ทำให้ใครๆเขาเข้าสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทสายดับทุกข์ก็เริ่มต้นที่ฟังธรรมจากสัตบุรุษแล้วบังเกิดศรัทธา เมื่อมีศรัทธาแล้วจึงมีธรรมข้ออื่นๆตามมา
ศรัทธามีพลังที่แรกมากสามารถย้อมใจให้ปลงเชื่อในเรื่องต่างๆได้ ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเราเจอครูที่ดี ธรรมที่ถูกต้อง ศรัทธาก็จะไปย้อมใจหรือเพิ่มกำลังในการเข้าสู่ครรลองของสายธารธรรมได้
ความแรงของศรัทธาทำให้ใครตายก็ได้ ทำให้เกิดแรงกายแรงใจมหาศาล ถ้าใครจะปวารณาจะเป็นครูที่ฝึกจิตของคนอื่นต้องเข้าใจถึงกำลังของธรรมข้อที่เรียกว่าศรัทธานี้
แม่ของพระสารีบุตรก็บรรลุโสดาบันด้วยศรัทธา เพราะเห็นเทพยดา พระพรหม พระอินทร์ มาเยี่ยมพระสารีบุตร ซึ่งเป็นบุตรของตนเมื่อป่วยไข้ จึงทราบว่าลูกของตนเองมีธรรมะที่สูงแม้กว่ากับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เมื่อมีศรัทธา จิตจึงน้อมใจฟังด้วยดี สั่งอะไรก็เชื่อง สั่งให้ปลงตกก็ปลงตกได้
ในขณะที่มีครูบางสายเช่นกัน พยายามจะใช้ปัญญา หรือกระทั่งสภาวะนิพพานมาเพื่อน้อมใจศิษย์ให้บรรลุ สายดังกล่าวอาทิเช่นท่านฮวงโป อาจารย์เซ็นทั้งหลาย หรือกระทั่งการศึกษาวัชรปรัชญาปรมิตรสูตรก็เช่นกัน เป็นต้นว่าตามคถาในสูตรมหายานดังกล่าวนั้น พระองค์ทรงตรัสถามสุภูติเถระว่า "ตถาคตได้แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ฤา?" ซึ่งเถระก็ตอบได้ถูกว่า "พระตถาคตเจ้ามิได้แสดงพระธรรมเทศนาใดๆเลย" ซึ่งตามพระสูตรจะต่อด้วยว่า หากใครไม่ครั่นคร้ามหรือสงสัยจะได้รับบุญที่ยิ่งกว่าการเอาชีวิตเป็นทานนับครั้งไม่ถ้วน
ครูหรือผู้ตามฝึกที่ชำนาญจะบอกได้ว่าจะใช้ศรัทธาหรือใช้ปัญญาเป็นสัดส่วนกันอย่างไร เพราะดูเคสออก เหมือนหมอวินิจฉัยโรค จะให้ยาแบบปฏิชีวนะแบบไหนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
บางทีเขาก็เปรียบเทียบกับการก้าวเดินว่า ก้าวเร็วเกินไปบ้าง ก้าวช้าเกินไปบ้าง สำหรับผู้ตามศึกษาในแบบตูไม่เชื่ออะไรเลยนั้น หากได้ปลงใจใช้ศรัทธานำบ้าง จะลดภาระของใจไปได้เยอะ แต่หากทิ้งศรัทธาไปซะทั้งหมดแล้วเอาแต่จะสุญญตา กิเลสก็อาจจะไม่ลด แถมยังอาจจะเอาความเป็นศูนย์ซึ่งเจือไปด้วยกิเลสไปข่มคนอื่นอีก
หลักการง่ายๆของการเดินเกมคือ ทิ้งกิเลสได้แค่ไหน รู้สึกกลัวหรือเสียหน้าหรือไม่ ต้องการอวดหรือแข่งขันหรือเปล่า อยากแก้แค้นหรืออยากทะเลาะหรือไม่ มีคนชมก็ฟูมีคนด่าก็แฟบแค่ไหนสำหรับใจ
ปัญญาและศรัทธา
(จริงๆแล้วกำลังครุ่นคิดถึงความลึกซึ้งของวิญญาณธาตุอยู่แต่เห็นแล้วว่ามิติของเรื่องดังกล่าวใหญ่โตมาก)
ใครๆก็ทราบว่าถ้าจะบรรลุอรหันต์ก็ต้องบรรลุด้วยปัญญา ส่วนถ้าบรรลุโสดาบันถ้าใช้ศรัทธาเป็นหลักก็จะเรียกว่าสัทธาวิมุติ อันนี้ตามคัมภีร์ ท่านไหนก็คงจะสอบทานเรื่องทางคัมภีร์ให้ได้
ศรัทธาเป็นข้อแรกที่ทำให้ใครๆเขาเข้าสู่หนทางแห่งการดับทุกข์ ปฏิจจสมุปบาทสายดับทุกข์ก็เริ่มต้นที่ฟังธรรมจากสัตบุรุษแล้วบังเกิดศรัทธา เมื่อมีศรัทธาแล้วจึงมีธรรมข้ออื่นๆตามมา
ศรัทธามีพลังที่แรกมากสามารถย้อมใจให้ปลงเชื่อในเรื่องต่างๆได้ ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเราเจอครูที่ดี ธรรมที่ถูกต้อง ศรัทธาก็จะไปย้อมใจหรือเพิ่มกำลังในการเข้าสู่ครรลองของสายธารธรรมได้
ความแรงของศรัทธาทำให้ใครตายก็ได้ ทำให้เกิดแรงกายแรงใจมหาศาล ถ้าใครจะปวารณาจะเป็นครูที่ฝึกจิตของคนอื่นต้องเข้าใจถึงกำลังของธรรมข้อที่เรียกว่าศรัทธานี้
แม่ของพระสารีบุตรก็บรรลุโสดาบันด้วยศรัทธา เพราะเห็นเทพยดา พระพรหม พระอินทร์ มาเยี่ยมพระสารีบุตร ซึ่งเป็นบุตรของตนเมื่อป่วยไข้ จึงทราบว่าลูกของตนเองมีธรรมะที่สูงแม้กว่ากับผู้ยิ่งใหญ่ทั้งหลาย เมื่อมีศรัทธา จิตจึงน้อมใจฟังด้วยดี สั่งอะไรก็เชื่อง สั่งให้ปลงตกก็ปลงตกได้
ในขณะที่มีครูบางสายเช่นกัน พยายามจะใช้ปัญญา หรือกระทั่งสภาวะนิพพานมาเพื่อน้อมใจศิษย์ให้บรรลุ สายดังกล่าวอาทิเช่นท่านฮวงโป อาจารย์เซ็นทั้งหลาย หรือกระทั่งการศึกษาวัชรปรัชญาปรมิตรสูตรก็เช่นกัน เป็นต้นว่าตามคถาในสูตรมหายานดังกล่าวนั้น พระองค์ทรงตรัสถามสุภูติเถระว่า "ตถาคตได้แสดงพระธรรมเทศนาอยู่ฤา?" ซึ่งเถระก็ตอบได้ถูกว่า "พระตถาคตเจ้ามิได้แสดงพระธรรมเทศนาใดๆเลย" ซึ่งตามพระสูตรจะต่อด้วยว่า หากใครไม่ครั่นคร้ามหรือสงสัยจะได้รับบุญที่ยิ่งกว่าการเอาชีวิตเป็นทานนับครั้งไม่ถ้วน
ครูหรือผู้ตามฝึกที่ชำนาญจะบอกได้ว่าจะใช้ศรัทธาหรือใช้ปัญญาเป็นสัดส่วนกันอย่างไร เพราะดูเคสออก เหมือนหมอวินิจฉัยโรค จะให้ยาแบบปฏิชีวนะแบบไหนเพื่อฆ่าเชื้อโรค
บางทีเขาก็เปรียบเทียบกับการก้าวเดินว่า ก้าวเร็วเกินไปบ้าง ก้าวช้าเกินไปบ้าง สำหรับผู้ตามศึกษาในแบบตูไม่เชื่ออะไรเลยนั้น หากได้ปลงใจใช้ศรัทธานำบ้าง จะลดภาระของใจไปได้เยอะ แต่หากทิ้งศรัทธาไปซะทั้งหมดแล้วเอาแต่จะสุญญตา กิเลสก็อาจจะไม่ลด แถมยังอาจจะเอาความเป็นศูนย์ซึ่งเจือไปด้วยกิเลสไปข่มคนอื่นอีก
หลักการง่ายๆของการเดินเกมคือ ทิ้งกิเลสได้แค่ไหน รู้สึกกลัวหรือเสียหน้าหรือไม่ ต้องการอวดหรือแข่งขันหรือเปล่า อยากแก้แค้นหรืออยากทะเลาะหรือไม่ มีคนชมก็ฟูมีคนด่าก็แฟบแค่ไหนสำหรับใจ