หลังจากอ่านกระทู้ของสมาชิกหลายๆท่านแล้ว รู้สึกว่าอยากจะแชร์ประสบการของตัวเองในการทำงานบ้าง
### เนื้อเรื่องมีความยาวเกิน 7 บรรทัด โปรดตั้งสติก่อนอ่าน ###
### บทสรุปอยู่ด้านล่าง ข้ามไปอ่านได้เลย ###
เริ่มต้นจาก จขกท ได้เข้ามาทำงานในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งเมื่อราวๆ 2 ปีที่แล้ว ในส่วนของสายงานบัญชี
ด้วยความคาดหวังว่าที่ว่าในอนาคตจะเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี พอจากฝากชีวิตช่วงหนึ่งไว้ได้
(ถ้ามองจากภายนอก บริษัทดูดี มีอนาคตไกล)
ตามสัญญาจ้างงาน เงินเดือนเริ่มต้นกรณีที่ไม่มีประสบการณ์จะอยู่ที่ 21,000 บาท (วิศวกรจะเพิ่มไปอีกประมาณ 5 พันบาท)
แต่ถ้ามีประสบการณ์ จะมีการบวกเพิ่มไปอีก 1 - 2 พันบาทต่อปี
ช่วงที่ จขกท เข้าไปทำงานแรกๆ เป็นช่วงที่โรงงานเพิ่งสร้างเสร็จมาใหม่ๆ
ไม่มีกระบวนการทำงานหรือรายงานใดๆทั้งสิ้น ทุกคนต้องเริ่มต้นช่วยกันสร้างกระบวนการทำงานขึ้นมาเอง
ในแผนกของ จขกท จะมีพี่ใหญ่คนหนึ่ง (ผู้จัดการ) ที่ล้อมรอบไปด้วยน้อง 3 คน (พนักงานยุคก่อตั้ง)
โดยมี จขกท เข้าไปเป็นพนักงานใหม่ของส่วนงาน
เวลาทำงานปกติคือ 8.00 - 17.00 (โอทีไม่มี ทำฟรีตลอดชาติ) แต่เนื่องจากว่าช่วงแรกเป็นช่วงเริ่มก่อตั้ง
ไม่มีแบบแผนการทำงานอะไรที่ชัดเจน เลยทำให้งานของ จขกท และเพื่อนๆมักจะเกินเวลาไป (แทบทุกวัน)
แต่ก็แอบมีความหวังว่า ถ้าเริ่มผลิตจริงจังแล้วเนี่ย งานมันจะเบาลง

แต่!!!! ความจริงมักไม่เป็นอย่างที่ฝัน....ร้องไห้แปป
พอหลายๆอย่างเริ่มลงตัว ทางผู้บริหารคงกลัว จขกท จะมีเวลาว่างกันเกินไป
เลยสารพัดให้ จขกท จัดทำรายงานไปให้ (ความฝันจะกลับ 5 โมงเย็นปลิวหายไป)
และด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของระบบ ที่ไม่รู้ไปจ้างเทวดาที่ไหนเขียนมา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ กลับไม่มีให้ในระบบที่ลงทุนไปกว่าหลายร้อยล้านบาท
จนสุดท้าย ต้องอาศัยการถึก หาข้อมูล เขียนรายงานในระบบด้วยตัวเอง
การทำงานไปแบบนี้เรื่อยๆ ผ่านไป 1 ปี นั่งลุ้นซองเงินเดือนใหม่ด้วยใจระทึก
ผ่างงงง!!!!! คนธรรมดาสามัญที่ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษ ได้รับผลการประเมินเท่ากัน
ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทเพิ่งเปิดดำเนินกิจการ ไม่สามารถประเมินความสามารถของพนักงานได้อย่างชัดเจน
(เหตุผลจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่ จขกท ได้รับทราบมาอย่างนี้)
ผลประกอบการปีแรกผ่านไปได้ไม่ดีเท่าไร งานที่เพิ่มมากขึ้นก็เริ่มทับถมคนที่มีอยู่ไปเรื่อยๆ
คนที่ทำงานเป็น รู้เรื่องในการทำงานก็ค่อยๆทยอยออกไปทีละคนสองคนตามประสาคนมีศักยภาพไปที่อื่นได้
(ตอนนั้น จขกท ยังโลกสวย คิดว่ามันเป็นแค่ช่วงแรก เดี๋ยวลงตัวก็สบาย)
จนวันนึงผู้บริหารคงคิดได้แล้วว่าจะต้องมีการเพิ่มกำลังคน
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน (ส่วนงานผลิต)
พอถึงช่วงที่เปิดรับสมัคร มีคนมาสมัครมากหน้าหลายตา
หลายๆคนมีประสบการณ์ทำงานที่ดี ถ้ารับเข้ามาของจะดีไม่น้อย
แต่!!!! พอทางบริษัทเสนอเงินเดือนไป ได้รับการปฏิเสธอย่างทันที
เพราะฐานเงินเดือนของที่นี่คงไม่อาจสู้บริษัทใหญ่ๆได้ (ที่รู้ก็เพราะกินเผือกเยอะ)
ทั้งที่การทำงานช่างเหนื่อยแหละโหดร้ายพอๆกับบริษัทใหญ่
จนสุดท้าย แต่ละส่วนงานก็เต็มไปด้วยเด็กจบใหม่ (ที่ไม่ค่อยมีแรงจะต่อรองเงินเดือน)
พักสายตาลองนึกภาพผังองค์กรของส่วนงานหนึ่ง
###ผู้จัดการทั่วไป 1 คน อายุ 50
###ผู้จัดการส่วนงาน 1 คน อายุ 43
###วิศวกรอาวุโส 1 คน อายุ 35
###วิศวกร 2 คน อายุ 22
และ....พนักงานปฏิบัติการ ประมาณ 40 คน
ซึ่งการรับพนักงานแบบนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาแทนที่ปัญหาเดิม
พนักงานที่มีความรู้ความสามารถลาออก แต่บริษัทได้พนักงานใหม่ที่ไม่มีศักยภาพเทียบเท่าคนเดิม
และพนักงานระดับหัวหน้าไม่กล้าให้ "ไม่ผ่านทดลองงาน" ทำให้ปัญหาทับถมมาเรื่อยๆ
และในมุมมองของหัวหน้า ต้องการคนที่สามารถทำงานให้ได้เรียบร้อยและทันเวลา
ก็ทำให้สารพัดรายงานเทมาให้ทาง จขกท. และทีมงานร่วมกันรับผิดชอบ
ส่วนคนที่ทำงานไม่เรียบร้อย ก็สะบัดตูดกลับบ้าน 5 โมงทุกวัน
(ก็หัวหน้าไม่ใช้งานนี่นา ชะลาล่าาาา)
จนในที่สุด จขกท และทีมงานก็ทนต่อแรงกดดันไม่ไหวเมื่อเปิดซองประเมินในปีที่ 2
ด้วยความรู้สึกที่ว่า บริษัทไม่แฟร์กับพนักงาน
ย้ายบริษัทใหม่ ผลตอบแทนมากกว่าเดิม สวัสดิการดีกว่าเดิม
มีเวลาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม (อยู่หลังเลิกงานน้อยมากกกกกก)
ตอนนี้ก็ได้แค่ขออวยพรให้คนที่พี่หัวหน้าเลือกมาใหม่จะสามารถทำงานแทน จขกท และทีมงานได้
##########################################
บทสรุปที่ จขกท ได้จากการทำงานที่นี่
- วิศวกรที่ทำงานดีกว่าผู้จัดการมีให้เห็น (ทำงานเทียบเท่าผู้จัดการ แต่เงินเดือนห่างหลายเท่านะจ๊ะ)
- พนักงานเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในบริษัท แต่ถ้าบริษัทมีฟันเฟืองที่ไม่ดีหลายๆตัวก็ทำให้พังได้เหมือนกัน
- บริษัทเปิดใหม่มีความเสี่ยงสูง ถ้ารุ่งก็โตไว แต่ถ้าไม่ไหวก็ลาออกซะ
- เงินลงทุนไม่ได้แสดงถึงศักยภาพในการทำกำไร ขึ้นอยู่กับผู้บริหารล้วนๆ
- จำนวนพนักงานไม่ได้แสดงถึงว่าเราจะทำงานน้อยลง เพราะถ้ามี 1 คนที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอ งานจะถูกแชร์มาให้คนอื่น (และคนที่ทำไม่ได้ก็สบายยย)
จะทำงานที่ไหน หาข้อมูลภายในได้เท่าไรยิ่งดี เพื่อจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเต็มที่
ปล.มีคนบอก จขกท ว่าที่ผู้บริหารไม่ลงทุนกับพนักงานคนไทยเนื่องจากว่ามีคน ญี่ปุ่น มานั่งบริหารอยู่แล้ว เลยไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนกับคนไทยในช่วงนี้
แชร์ประสบการณ์ทำงานในโรงงานหมื่นล้าน แต่ไม่ลงทุนกับพนักงาน
### เนื้อเรื่องมีความยาวเกิน 7 บรรทัด โปรดตั้งสติก่อนอ่าน ###
### บทสรุปอยู่ด้านล่าง ข้ามไปอ่านได้เลย ###
เริ่มต้นจาก จขกท ได้เข้ามาทำงานในบริษัทสัญชาติญี่ปุ่นแห่งหนึ่งเมื่อราวๆ 2 ปีที่แล้ว ในส่วนของสายงานบัญชี
ด้วยความคาดหวังว่าที่ว่าในอนาคตจะเป็นบริษัทที่มีผลประกอบการดี พอจากฝากชีวิตช่วงหนึ่งไว้ได้
(ถ้ามองจากภายนอก บริษัทดูดี มีอนาคตไกล)
ตามสัญญาจ้างงาน เงินเดือนเริ่มต้นกรณีที่ไม่มีประสบการณ์จะอยู่ที่ 21,000 บาท (วิศวกรจะเพิ่มไปอีกประมาณ 5 พันบาท)
แต่ถ้ามีประสบการณ์ จะมีการบวกเพิ่มไปอีก 1 - 2 พันบาทต่อปี
ช่วงที่ จขกท เข้าไปทำงานแรกๆ เป็นช่วงที่โรงงานเพิ่งสร้างเสร็จมาใหม่ๆ
ไม่มีกระบวนการทำงานหรือรายงานใดๆทั้งสิ้น ทุกคนต้องเริ่มต้นช่วยกันสร้างกระบวนการทำงานขึ้นมาเอง
ในแผนกของ จขกท จะมีพี่ใหญ่คนหนึ่ง (ผู้จัดการ) ที่ล้อมรอบไปด้วยน้อง 3 คน (พนักงานยุคก่อตั้ง)
โดยมี จขกท เข้าไปเป็นพนักงานใหม่ของส่วนงาน
เวลาทำงานปกติคือ 8.00 - 17.00 (โอทีไม่มี ทำฟรีตลอดชาติ) แต่เนื่องจากว่าช่วงแรกเป็นช่วงเริ่มก่อตั้ง
ไม่มีแบบแผนการทำงานอะไรที่ชัดเจน เลยทำให้งานของ จขกท และเพื่อนๆมักจะเกินเวลาไป (แทบทุกวัน)
แต่ก็แอบมีความหวังว่า ถ้าเริ่มผลิตจริงจังแล้วเนี่ย งานมันจะเบาลง
แต่!!!! ความจริงมักไม่เป็นอย่างที่ฝัน....ร้องไห้แปป
พอหลายๆอย่างเริ่มลงตัว ทางผู้บริหารคงกลัว จขกท จะมีเวลาว่างกันเกินไป
เลยสารพัดให้ จขกท จัดทำรายงานไปให้ (ความฝันจะกลับ 5 โมงเย็นปลิวหายไป)
และด้วยข้อจำกัดหลายๆอย่างของระบบ ที่ไม่รู้ไปจ้างเทวดาที่ไหนเขียนมา
ทุกสิ่งทุกอย่างที่ต้องการ กลับไม่มีให้ในระบบที่ลงทุนไปกว่าหลายร้อยล้านบาท
จนสุดท้าย ต้องอาศัยการถึก หาข้อมูล เขียนรายงานในระบบด้วยตัวเอง
การทำงานไปแบบนี้เรื่อยๆ ผ่านไป 1 ปี นั่งลุ้นซองเงินเดือนใหม่ด้วยใจระทึก
ผ่างงงง!!!!! คนธรรมดาสามัญที่ไม่มีอภิสิทธิ์พิเศษ ได้รับผลการประเมินเท่ากัน
ด้วยเหตุผลที่ว่า บริษัทเพิ่งเปิดดำเนินกิจการ ไม่สามารถประเมินความสามารถของพนักงานได้อย่างชัดเจน
(เหตุผลจริงเป็นยังไงไม่รู้ แต่ จขกท ได้รับทราบมาอย่างนี้)
ผลประกอบการปีแรกผ่านไปได้ไม่ดีเท่าไร งานที่เพิ่มมากขึ้นก็เริ่มทับถมคนที่มีอยู่ไปเรื่อยๆ
คนที่ทำงานเป็น รู้เรื่องในการทำงานก็ค่อยๆทยอยออกไปทีละคนสองคนตามประสาคนมีศักยภาพไปที่อื่นได้
(ตอนนั้น จขกท ยังโลกสวย คิดว่ามันเป็นแค่ช่วงแรก เดี๋ยวลงตัวก็สบาย)
จนวันนึงผู้บริหารคงคิดได้แล้วว่าจะต้องมีการเพิ่มกำลังคน
เพื่อเพิ่มศักยภาพในการทำงาน (ส่วนงานผลิต)
พอถึงช่วงที่เปิดรับสมัคร มีคนมาสมัครมากหน้าหลายตา
หลายๆคนมีประสบการณ์ทำงานที่ดี ถ้ารับเข้ามาของจะดีไม่น้อย
แต่!!!! พอทางบริษัทเสนอเงินเดือนไป ได้รับการปฏิเสธอย่างทันที
เพราะฐานเงินเดือนของที่นี่คงไม่อาจสู้บริษัทใหญ่ๆได้ (ที่รู้ก็เพราะกินเผือกเยอะ)
ทั้งที่การทำงานช่างเหนื่อยแหละโหดร้ายพอๆกับบริษัทใหญ่
จนสุดท้าย แต่ละส่วนงานก็เต็มไปด้วยเด็กจบใหม่ (ที่ไม่ค่อยมีแรงจะต่อรองเงินเดือน)
พักสายตาลองนึกภาพผังองค์กรของส่วนงานหนึ่ง
###ผู้จัดการทั่วไป 1 คน อายุ 50
###ผู้จัดการส่วนงาน 1 คน อายุ 43
###วิศวกรอาวุโส 1 คน อายุ 35
###วิศวกร 2 คน อายุ 22
และ....พนักงานปฏิบัติการ ประมาณ 40 คน
ซึ่งการรับพนักงานแบบนี้ ทำให้เกิดปัญหาใหม่ขึ้นมาแทนที่ปัญหาเดิม
พนักงานที่มีความรู้ความสามารถลาออก แต่บริษัทได้พนักงานใหม่ที่ไม่มีศักยภาพเทียบเท่าคนเดิม
และพนักงานระดับหัวหน้าไม่กล้าให้ "ไม่ผ่านทดลองงาน" ทำให้ปัญหาทับถมมาเรื่อยๆ
และในมุมมองของหัวหน้า ต้องการคนที่สามารถทำงานให้ได้เรียบร้อยและทันเวลา
ก็ทำให้สารพัดรายงานเทมาให้ทาง จขกท. และทีมงานร่วมกันรับผิดชอบ
ส่วนคนที่ทำงานไม่เรียบร้อย ก็สะบัดตูดกลับบ้าน 5 โมงทุกวัน
(ก็หัวหน้าไม่ใช้งานนี่นา ชะลาล่าาาา)
จนในที่สุด จขกท และทีมงานก็ทนต่อแรงกดดันไม่ไหวเมื่อเปิดซองประเมินในปีที่ 2
ด้วยความรู้สึกที่ว่า บริษัทไม่แฟร์กับพนักงาน
ย้ายบริษัทใหม่ ผลตอบแทนมากกว่าเดิม สวัสดิการดีกว่าเดิม
มีเวลาเพิ่มมากขึ้นกว่าเดิม (อยู่หลังเลิกงานน้อยมากกกกกก)
ตอนนี้ก็ได้แค่ขออวยพรให้คนที่พี่หัวหน้าเลือกมาใหม่จะสามารถทำงานแทน จขกท และทีมงานได้
##########################################
บทสรุปที่ จขกท ได้จากการทำงานที่นี่
- วิศวกรที่ทำงานดีกว่าผู้จัดการมีให้เห็น (ทำงานเทียบเท่าผู้จัดการ แต่เงินเดือนห่างหลายเท่านะจ๊ะ)
- พนักงานเป็นแค่ฟันเฟืองตัวหนึ่งในบริษัท แต่ถ้าบริษัทมีฟันเฟืองที่ไม่ดีหลายๆตัวก็ทำให้พังได้เหมือนกัน
- บริษัทเปิดใหม่มีความเสี่ยงสูง ถ้ารุ่งก็โตไว แต่ถ้าไม่ไหวก็ลาออกซะ
- เงินลงทุนไม่ได้แสดงถึงศักยภาพในการทำกำไร ขึ้นอยู่กับผู้บริหารล้วนๆ
- จำนวนพนักงานไม่ได้แสดงถึงว่าเราจะทำงานน้อยลง เพราะถ้ามี 1 คนที่ไม่มีศักยภาพเพียงพอ งานจะถูกแชร์มาให้คนอื่น (และคนที่ทำไม่ได้ก็สบายยย)
จะทำงานที่ไหน หาข้อมูลภายในได้เท่าไรยิ่งดี เพื่อจะได้ใช้ประกอบการตัดสินใจอย่างเต็มที่
ปล.มีคนบอก จขกท ว่าที่ผู้บริหารไม่ลงทุนกับพนักงานคนไทยเนื่องจากว่ามีคน ญี่ปุ่น มานั่งบริหารอยู่แล้ว เลยไม่มีความจำเป็นต้องลงทุนกับคนไทยในช่วงนี้