ตอนนี้สถานการณ์ภายในบริษัทที่ผมทำงานอยู่ แย่จริงๆ (สินค้า ของบริษัทผม กำลังจะถูกเทคโนโลยีทดแทนครับ แต่เพื่อนร่วมงานไม่ค่อยรู้ตัวหรอก นี่ก็ดิ้นรนกันสุดๆ ตั้งแต่ CEO ลงมา ทุกคนทั้งหางานใหม่ ทั้งคุยเรื่องลาออกกันเป็นเรื่องปกติไปแล้ว) ผมแค่รู้สึกว่า เวลาของผมก่อนที่ผมจะตกงานคงเหลืออีกไม่มากแล้ว นั่นจึงทำให้ผมเร่ง ship กระทู้นี้ออกมา เพื่ออย่างน้อยคนที่ตกอยู่ในสถานการณ์ใกล้เคียงกับผมจะได้รู้ว่าควรจะมุ่งไปทางไหน
ในภาคที่ 1
http://pantip.com/topic/33791031
ผมได้อธิบายทิศทางการเปลี่ยนแปลงการทำมาหากิน ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและอธิบายถึงข้อจำกัดต่างๆ จนมาสู่คำตอบสุดท้ายที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน นั่นก็คือ
การสร้างคุณค่า
ในกระทู้นี้ ผมจะพูดถึง ทฤษฏี… มันอาจจะเป็นคำอื่นก็ได้ แต่ขอให้เข้าใจตรงกันว่า สิ่งที่ผมเขียนมันจะ
เป็นจริงเสมอ ผิดเพียงหนึ่งครั้ง มันจะไร้ค่าในทันที
“ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์” ในที่นี้ ผมหมายถึง หลักการอันเป็นสากล ที่อธิบายว่า
องค์ประกอบ ที่ทำให้คนๆนึง
สร้างคุณค่า ขึ้นมามีอะไรบ้าง
หากคุณเคยรู้จักเกี่ยวกับ ทฤษฎีความต้องการของ Maslow
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ กระทู้นี้
http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/03/X9024602/X9024602.html )
คุณจะสังเกตเห็นว่า ความต้องการ หรือ แรงจูงใจ พื้นฐานของคนเรา ก็หนีไม่พ้นเรื่อง กิน ขี้ xxx นอน ความปลอดภัยในชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว แฟน ความมีชื่อเสียง ความมั่นใจในตนเอง บลา บลา บลา
แต่ไม่มีใครหรอก ที่จะเอาแต่ทำตามความต้องการพวกนี้ ไปเรื่อยๆแล้วจะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้ (อ่านไป อ่านมาดีๆ ส่วนใหญ่มันก็คือการสนองตัณหาของตนเองทั้งนั้น)
คุณอาจจะต้องเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ถึงจะไปถึง แรงจูงใจสุดท้าย/แรงจูงใจสูงสุด ของมนุษย์ ณ จุดสูงสุดของพิรามิด Maslow ได้… คนที่พบ “ความหมาย” ในการมีชีวิตอยู่ของตนเอง เดินไปตามเสียงข้างในจิตใจ จนกระทั่ง “สร้างสรรค์” และทิ้ง “คุณค่า” บางอย่างไว้ให้กับคนข้างหลัง เมื่อตนเองจากไปแล้ว
“ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์” ของผม เกิดขึ้น ณ จุดสูงสุดของพิรามิด Maslow ครับ และมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ธรรมชาติได้มอบ
เข็มทิศ หรือ
แรงจูงใจสุดท้าย ให้กับคนทุกคนอยู่แล้ว แต่แทบจะไม่มีใครเลยที่คอยสังเกต หรือตั้งใจฟัง
เสียงข้างในจิตใจ ที่กำลังบอกบางอย่างกับคุณ… คนที่เดินตาม
เข็มทิศ ของตนเองไป จนกระทั่ง สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมาบนโลกได้ ผู้คนมักเรียกพวกเขาว่า
อัจฉริยะ แต่ความจริง ทุกคนล้วนเป็น
อัจฉริยะ อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า คุณยังไม่ได้เดินตามเข็มทิศของตนเองไปเท่านั้นเอง
แรงจูงใจสุดท้าย หรือ
เข็มทิศ ของคนแต่ละคนมีอยู่ 2 อัน
อันหนึ่ง พาคุณเดินทางไปสู่การควบคุม
อันหนึ่ง พาคุณเดินทางไปสู่การปลดปล่อย
อันหนึ่ง เป็นการเดินทางที่เกิดขึ้นเพียงในความคิด
อันหนึ่ง เป็นการเดินทางเพื่อเปิดเผยตัวตนสู่โลกภายนอก
การเดินตามเข็มทิศนั้น ต้องอาศัยความกล้าหาญ
เริ่มแรกที่คุณกล้าที่จะเดินตามเข็มทิศไป ผู้คนจะมองคุณว่าเป็น ตัวประหลาด
แต่หากคุณสำเร็จ คนๆเดิมนั่นแหละ จะเรียกคุณใหม่ว่า อัจฉริยะ
ชื่อของเข็มทิศนั้น อาจจะคล้ายๆกับ การแยกสายวิทย์ สายศิลป์ ตั้งแต่สมัยที่เรียนมัธยมปลาย
แต่เชื่อผมเถอะ มันมีอะไรมากกว่านั้น
เพื่อไม่ให้สับสน ผมขอใช้คำว่า ศาสตร์ และ ศิลป์ แทนเข็มทิศทั้ง 2 ละกันครับ
ศิลป์
ศิลป์ หรือ ศิลปะ ไม่ใช่ดนตรี ไม่ใช่ภาพวาด ไม่ใช่รูปปั้น หรือรูปแกะสลัก อะไรทั้งนั้น
สิ่งเหล่านี้ คือ งานฝีมือ ไม่ใช่ ศิลปฺ์
ศิลป์... คือ เหตุผล...
ศิลป์ คือ เหตุผลที่ใช่ ที่คนเราจะ สร้าง บางสิ่งขึ้นมา
เหตุผลส่วนตัว ขึ้นอยู่กับว่า อะไรที่คุณคิดว่ามัน ใช่ ในการสร้างอะไรบางอย่างขึ้นมา
งานฝีมือ ที่คุณ
สร้าง ขึ้นมา เข้ามาทำหน้าที่ในการเป็น
สื่อกลาง ในการถ่ายทอดเหตุผลของคุณให้กับคนอื่น
สื่อกลางในที่นี่ อาจจะเป็น อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลง, อาหาร, เสื้อผ้า, หนัง, animation... มากมายสุดแล้วแต่จะจินตนาการ
ถ้าสิ่งที่คุณคิดว่ามัน
ใช่ ได้รับการถ่ายทอดออกมาผ่านงานของคุณ แล้วมันดัน
ใช่ กับคนคนอื่นด้วย
นี่คือจุดเริ่มต้นของคำว่า แฟนคลับ
ความคิดสร้างสรรค์ ถูกพูดถึงกันมากเกินความจำเป็นในทุกวันนี้ ทั้งที่บทบาทหลักๆของมัน คือ การเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ที่ศิลปินคนหนึ่ง สร้าง ผลงานขึ้นมา เท่านั้น
เหตุผลส่วนตัว ที่คนแต่ละคนคิดว่ามัน
ใช่ สำหรับตัวเอง (อาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นพบมัน) ไม่มีทางที่จะเหมือนกันแน่นอน
คนที่ตัดสินใจเดินทางตาม ศิลป์ ไป จะมุ่งไปสู่ปลายทาง คือ
ตัวตนที่แท้จริงของตนเองที่มีเพียงหนึ่งเดียว...หนึ่งเดียวที่จะถูกพูดถึงไปตลอดกาล
The Beatles มีเพียงหนึ่งเดียว และ Nirvana ก็มีเพียงหนึ่งเดียว
John Lennon มีเพียงหนึ่ง และ Kurt Cobain ก็มีเพียงหนึ่ง
ผลงานเพลงของ Beatles และ Nirvana ไม่ได้เป็นเพลงที่ใช้ ทักษะทางดนตรีระดับเทพ เพื่อสร้างมันขึ้นมา
แต่เหตุผลส่วนตัว และ เรื่องราว ที่ John Lennon กับ Kurt Cobain ถ่ายทอดมันออกมาต่างหาก
ที่มัน
ใช่ มาจากอารมณ์ส่วนลึก ของบรรดาแฟนคลับทั่วโลก จนทำให้พวกเขาเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้
และนี่ คือ ศิลป์ ครับ
ศาสตร์
ศาสตร์ ไม่ใช่แค่ วิทยาศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ
ศาสตร์… คือ สาเหตุ…
ศาสตร์ คือ สาเหตุที่แท้จริง ของบางสิ่ง ที่ถูก ค้นพบ บนพื้นฐานของ ตรรกะ
วิทยาศาสตร์ คือ สาเหตุที่แท้จริง ของธรรมชาติ ที่ถูก ค้นพบ บนพื้นฐานของ ตรรกะ
คำถาม คือ เราจะหาสาเหตุที่แท้จริง ไปทำไม?
ลองคิดตามผมนะครับ
เมื่อก่อน คนเรารู้จักไฟฟ้า แค่ตอนที่ ฟ้าผ่า
อยู่มาวันหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ สาเหตุที่แท้จริงว่า ไฟฟ้า ที่เราเห็นกันตอนฟ้าผ่า มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ซึ่งเมื่อรู้แล้ว สิ่งมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้น เมื่อเรา สามารถ
ควบคุม และ
เปลี่ยนแปลง มัน ได้… ในอีกคำพูดหนึ่ง คือ
เป็น นาย ของ มัน
คุณไม่มี iphone, smartphone, internet หรือ pantip.com ก็คงไม่มีอยู่ตอนนี้ ถ้าไม่มีคนๆแรกที่ ค้นพบ ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ ไฟฟ้า เกิดขึ้นมาคืออะไร
ประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ถ้าระเบิดปรมาณูไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา… สร้างขึ้นมาหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งค้นพบ สาเหตุที่แท้จริง ของพลังงานมหาศาลยึดเหนี่ยวอะตอมเข้าไว้ด้วยกัน และใช้ความรู้ตรงนั้น เปลี่ยนแปลงพลังงานดังกล่าว มาใช้ประโยชน์เป็นอาวุธสงคราม
รูปที่ผมนำมาขึ้นนั้น คนหนึ่งคือ Isaac Newton คนที่ค้นพบสาเหตุที่แท้จริง อันเป็นหลักการที่สามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของสิ่งที่จับต้องได้ ทุกอย่างในโลก
คนหนึ่ง คือ Albert Einstein คนที่ค้นพบสาเหตุที่แท้จริง อันเป็นหลักการที่สามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุ ทุกอย่างในจักรวาล
โลกของเราเดินมาไกลจนถึงทุกวันนี้ เพราะ การใช้ตรรกะเพื่อค้นหาความจริง… หรือ ศาสตร์ นั่นเอง
คนที่ตัดสินใจเดินทางตาม ศาสตร์ ไป จะมุ่งไปสู่ปลายทาง คือ
ความจริงเพียงหนึ่งเดียว ของสิ่งๆนั้น ที่จะดำรงอยู่เหนือกาลเวลา
ในชีวิตของคนธรรมดา ศาสตร์ อาจจะหมายถึง สาเหตุที่แท้จริงของ
ปัญหา ทั่วๆไป ที่คนเราพบเจอมากกว่า
หายากจริงๆที่จะมีคนที่อุทิศตนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นธรรมชาติในทุกวันนี้
นี่คือ ศาสตร์ ครับ
การผสานระหว่างศาสตร์และศิลป์
ผมได้อธิบายและยกตัวอย่างของ ศาสตร์ และ ศิลป์ แบบแยกส่วนไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาการสร้างสรรค์ของคนเราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นเฉพาะ ศาสตร์ หรือ ศิลป์ แยกกัน แต่มันกลับผสานกัน
โดยการผสานกันระหว่าง ศาสตร์ และ ศิลป์ สามารถแยกได้เป็น 3 ประเภท
1. สร้าง ศิลป์ ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่ยังไม่ถึง ศาสตร์
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อ คนๆหนึ่งคิดค้นทางแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล แต่มัน
ใช่ สำหรับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง งานสร้างสรรค์ชิ้นนี้ จะยังมี คุณค่า กับคนกลุ่มนี้อยู่ มีแต่เวลาเท่านั้นแหละที่จะพิสูจน์ได้ว่า ทางแก้ปัญหา นี้มันไม่ได้สมเหตุสมผลนะ เพราะว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การก่อม๊อบบางประเภทที่อ้างเหตุผลโน่นนี่นั่น แล้วคนก็เฮโลกันไป ทั้งที่มันไม่ได้สมเหตุสมผลเลย หรือ หนังสืออ่านสนุกบางประเภท ที่แค่อ่านสนุก แต่แก่นสารหรือหลักการที่หนังสือเล่มนี้ นำเสนอมันไม่น่าใช่ทางแก้ปัญหาที่แท้จริง
2. ไปถึง ศาสตร์ แต่เหตุผลที่ ใช่ มันไม่ได้ ใช่ กับคนอื่นๆ
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อ คนๆหนึ่งสร้างบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา แล้วมันก็แก้ปัญหาได้จริงๆ เพียงแต่มันไม่
ใช่ สำหรับคนบางกลุ่ม ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ก็คือพวก สิ่งประดิษฐ์(Invention) ทั้งหลายแหล่ เครื่องจักร ทางวิศวกรรม ที่เหตุผลที่
ใช่ มันอาจจะ
ใช่ แค่สำหรับการใช้งานในโรงงานเท่านั้น
3. ทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ ผสานกันอย่างลงตัว
คนที่พิเศษจริงๆ ถึงสามารถสร้างสรรค์ สิ่งที่แก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วมันยัง
ใช่ สำหรับคนบางกลุ่มด้วย ยกตัวอย่างเช่น iPhone มันไม่เพียงทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังเป็น ศิลป์ เพราะ พวกเราไม่สามารถลบภาพ Steve Jobs ออกไปจาก สิ่งประดิษฐ์ ชิ้นนี้ได้เลย
หลายร้อยปีมาแล้ว ก็เคยมีคนๆหนึ่งที่สำเร็จทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ อย่างเด่นชัดที่สุด เขามีชื่อว่า Leonardo Da Vinci ครับ อุตส่าห์ไปขุดศพศึกษากายวิภาค ก่อนจะถ่ายทอดมันออกมาเป็น ศิลป์ ด้วยภาพวาด ได้อย่างน่าทึ่งที่สุด
สรุป
มีแค่ 4 องค์ประกอบ เท่านั้นในการ
สร้างคุณค่า อะไรก็ตามขึ้นมา...
1. เหตุผลที่ใช่
2. งานฝีมือ หรือ การสร้างสรรค์ผลงานของตนเองขึ้นมา
3. สาเหตุที่แท้จริง
4. ตรรกะ
และ 1 ตัวช่วยอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ ที่เข้ามามีบทบาทในการ สร้างสรรค์ผลงาน หรือ ค้นหา สาเหตุที่แท้จริง นั่นเอง
จบแล้วครับ... ขอบคุณมากนะครับ ที่อุตส่าห์รอผมเขียนซะเนิ่นนาน

ถ้ามีคำแนะนำติชม บอกได้เลยนะครับ เจ้าของกระทู้ยินดีพร้อมรับฟังเต็มที่ครับ
หวังว่ากระทู้นี้จะจุดประกายความคิด พร้อมทั้งชี้ทางเดินไปสู่ การสร้างสรรค์ ผลงานของตนเอง ให้กับคนหลายๆคนครับ
จากแรงจูงใจสุดท้ายของสิ่งมีชีวิตที่เรียกว่า มนุษย์ สู่ “ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์” (ภาคที่ 2)
ในภาคที่ 1 http://pantip.com/topic/33791031
ผมได้อธิบายทิศทางการเปลี่ยนแปลงการทำมาหากิน ที่กำลังเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วและอธิบายถึงข้อจำกัดต่างๆ จนมาสู่คำตอบสุดท้ายที่จะทำให้คุณอยู่รอดได้อย่างยั่งยืน นั่นก็คือ การสร้างคุณค่า
ในกระทู้นี้ ผมจะพูดถึง ทฤษฏี… มันอาจจะเป็นคำอื่นก็ได้ แต่ขอให้เข้าใจตรงกันว่า สิ่งที่ผมเขียนมันจะ เป็นจริงเสมอ ผิดเพียงหนึ่งครั้ง มันจะไร้ค่าในทันที
“ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์” ในที่นี้ ผมหมายถึง หลักการอันเป็นสากล ที่อธิบายว่า องค์ประกอบ ที่ทำให้คนๆนึง สร้างคุณค่า ขึ้นมามีอะไรบ้าง
หากคุณเคยรู้จักเกี่ยวกับ ทฤษฎีความต้องการของ Maslow
(อ่านเพิ่มเติมได้ที่ กระทู้นี้ http://topicstock.pantip.com/wahkor/topicstock/2010/03/X9024602/X9024602.html )
คุณจะสังเกตเห็นว่า ความต้องการ หรือ แรงจูงใจ พื้นฐานของคนเรา ก็หนีไม่พ้นเรื่อง กิน ขี้ xxx นอน ความปลอดภัยในชีวิต ความสัมพันธ์ระหว่างเพื่อน ครอบครัว แฟน ความมีชื่อเสียง ความมั่นใจในตนเอง บลา บลา บลา
แต่ไม่มีใครหรอก ที่จะเอาแต่ทำตามความต้องการพวกนี้ ไปเรื่อยๆแล้วจะสร้างสรรค์อะไรขึ้นมาได้ (อ่านไป อ่านมาดีๆ ส่วนใหญ่มันก็คือการสนองตัณหาของตนเองทั้งนั้น)
คุณอาจจะต้องเป็นคนที่พิเศษจริงๆ ถึงจะไปถึง แรงจูงใจสุดท้าย/แรงจูงใจสูงสุด ของมนุษย์ ณ จุดสูงสุดของพิรามิด Maslow ได้… คนที่พบ “ความหมาย” ในการมีชีวิตอยู่ของตนเอง เดินไปตามเสียงข้างในจิตใจ จนกระทั่ง “สร้างสรรค์” และทิ้ง “คุณค่า” บางอย่างไว้ให้กับคนข้างหลัง เมื่อตนเองจากไปแล้ว
“ทฤษฎีแห่งการสร้างสรรค์” ของผม เกิดขึ้น ณ จุดสูงสุดของพิรามิด Maslow ครับ และมีเนื้อหาดังต่อไปนี้
ธรรมชาติได้มอบ เข็มทิศ หรือ แรงจูงใจสุดท้าย ให้กับคนทุกคนอยู่แล้ว แต่แทบจะไม่มีใครเลยที่คอยสังเกต หรือตั้งใจฟัง เสียงข้างในจิตใจ ที่กำลังบอกบางอย่างกับคุณ… คนที่เดินตาม เข็มทิศ ของตนเองไป จนกระทั่ง สามารถสร้างสรรค์สิ่งใหม่ๆขึ้นมาบนโลกได้ ผู้คนมักเรียกพวกเขาว่า อัจฉริยะ แต่ความจริง ทุกคนล้วนเป็น อัจฉริยะ อยู่แล้ว เพียงแต่ว่า คุณยังไม่ได้เดินตามเข็มทิศของตนเองไปเท่านั้นเอง
แรงจูงใจสุดท้าย หรือ เข็มทิศ ของคนแต่ละคนมีอยู่ 2 อัน
อันหนึ่ง พาคุณเดินทางไปสู่การควบคุม
อันหนึ่ง พาคุณเดินทางไปสู่การปลดปล่อย
อันหนึ่ง เป็นการเดินทางที่เกิดขึ้นเพียงในความคิด
อันหนึ่ง เป็นการเดินทางเพื่อเปิดเผยตัวตนสู่โลกภายนอก
การเดินตามเข็มทิศนั้น ต้องอาศัยความกล้าหาญ
เริ่มแรกที่คุณกล้าที่จะเดินตามเข็มทิศไป ผู้คนจะมองคุณว่าเป็น ตัวประหลาด
แต่หากคุณสำเร็จ คนๆเดิมนั่นแหละ จะเรียกคุณใหม่ว่า อัจฉริยะ
ชื่อของเข็มทิศนั้น อาจจะคล้ายๆกับ การแยกสายวิทย์ สายศิลป์ ตั้งแต่สมัยที่เรียนมัธยมปลาย
แต่เชื่อผมเถอะ มันมีอะไรมากกว่านั้น
เพื่อไม่ให้สับสน ผมขอใช้คำว่า ศาสตร์ และ ศิลป์ แทนเข็มทิศทั้ง 2 ละกันครับ
ศิลป์ หรือ ศิลปะ ไม่ใช่ดนตรี ไม่ใช่ภาพวาด ไม่ใช่รูปปั้น หรือรูปแกะสลัก อะไรทั้งนั้น
สิ่งเหล่านี้ คือ งานฝีมือ ไม่ใช่ ศิลปฺ์
ศิลป์... คือ เหตุผล...
งานฝีมือ ที่คุณ สร้าง ขึ้นมา เข้ามาทำหน้าที่ในการเป็น สื่อกลาง ในการถ่ายทอดเหตุผลของคุณให้กับคนอื่น
สื่อกลางในที่นี่ อาจจะเป็น อะไรก็ได้ ไม่ว่าจะเป็นเพลง, อาหาร, เสื้อผ้า, หนัง, animation... มากมายสุดแล้วแต่จะจินตนาการ
ถ้าสิ่งที่คุณคิดว่ามัน ใช่ ได้รับการถ่ายทอดออกมาผ่านงานของคุณ แล้วมันดัน ใช่ กับคนคนอื่นด้วย
นี่คือจุดเริ่มต้นของคำว่า แฟนคลับ
ความคิดสร้างสรรค์ ถูกพูดถึงกันมากเกินความจำเป็นในทุกวันนี้ ทั้งที่บทบาทหลักๆของมัน คือ การเข้ามามีส่วนร่วมในกระบวนการ ที่ศิลปินคนหนึ่ง สร้าง ผลงานขึ้นมา เท่านั้น
เหตุผลส่วนตัว ที่คนแต่ละคนคิดว่ามัน ใช่ สำหรับตัวเอง (อาจจะต้องใช้เวลาทั้งชีวิตเพื่อค้นพบมัน) ไม่มีทางที่จะเหมือนกันแน่นอน
คนที่ตัดสินใจเดินทางตาม ศิลป์ ไป จะมุ่งไปสู่ปลายทาง คือ ตัวตนที่แท้จริงของตนเองที่มีเพียงหนึ่งเดียว...หนึ่งเดียวที่จะถูกพูดถึงไปตลอดกาล
The Beatles มีเพียงหนึ่งเดียว และ Nirvana ก็มีเพียงหนึ่งเดียว
John Lennon มีเพียงหนึ่ง และ Kurt Cobain ก็มีเพียงหนึ่ง
ผลงานเพลงของ Beatles และ Nirvana ไม่ได้เป็นเพลงที่ใช้ ทักษะทางดนตรีระดับเทพ เพื่อสร้างมันขึ้นมา
แต่เหตุผลส่วนตัว และ เรื่องราว ที่ John Lennon กับ Kurt Cobain ถ่ายทอดมันออกมาต่างหาก
ที่มัน ใช่ มาจากอารมณ์ส่วนลึก ของบรรดาแฟนคลับทั่วโลก จนทำให้พวกเขาเป็นตำนานมาจนถึงทุกวันนี้
และนี่ คือ ศิลป์ ครับ
ศาสตร์ ไม่ใช่แค่ วิทยาศาสตร์, ฟิสิกส์, เคมี, ชีวะ
ศาสตร์… คือ สาเหตุ…
วิทยาศาสตร์ คือ สาเหตุที่แท้จริง ของธรรมชาติ ที่ถูก ค้นพบ บนพื้นฐานของ ตรรกะ
คำถาม คือ เราจะหาสาเหตุที่แท้จริง ไปทำไม?
ลองคิดตามผมนะครับ
เมื่อก่อน คนเรารู้จักไฟฟ้า แค่ตอนที่ ฟ้าผ่า
อยู่มาวันหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ ค้นพบ สาเหตุที่แท้จริงว่า ไฟฟ้า ที่เราเห็นกันตอนฟ้าผ่า มันเกิดขึ้นมาได้อย่างไร
ซึ่งเมื่อรู้แล้ว สิ่งมหัศจรรย์จึงเกิดขึ้น เมื่อเรา สามารถ ควบคุม และ เปลี่ยนแปลง มัน ได้… ในอีกคำพูดหนึ่ง คือ เป็น นาย ของ มัน
คุณไม่มี iphone, smartphone, internet หรือ pantip.com ก็คงไม่มีอยู่ตอนนี้ ถ้าไม่มีคนๆแรกที่ ค้นพบ ว่าสาเหตุที่แท้จริงที่ทำให้ ไฟฟ้า เกิดขึ้นมาคืออะไร
ประวัติศาสตร์อาจจะเปลี่ยนไปตลอดกาล ถ้าระเบิดปรมาณูไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมา… สร้างขึ้นมาหลังจากที่นักวิทยาศาสตร์กลุ่มหนึ่งค้นพบ สาเหตุที่แท้จริง ของพลังงานมหาศาลยึดเหนี่ยวอะตอมเข้าไว้ด้วยกัน และใช้ความรู้ตรงนั้น เปลี่ยนแปลงพลังงานดังกล่าว มาใช้ประโยชน์เป็นอาวุธสงคราม
รูปที่ผมนำมาขึ้นนั้น คนหนึ่งคือ Isaac Newton คนที่ค้นพบสาเหตุที่แท้จริง อันเป็นหลักการที่สามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของสิ่งที่จับต้องได้ ทุกอย่างในโลก
คนหนึ่ง คือ Albert Einstein คนที่ค้นพบสาเหตุที่แท้จริง อันเป็นหลักการที่สามารถอธิบายการเคลื่อนที่ของวัตถุ ทุกอย่างในจักรวาล
โลกของเราเดินมาไกลจนถึงทุกวันนี้ เพราะ การใช้ตรรกะเพื่อค้นหาความจริง… หรือ ศาสตร์ นั่นเอง
คนที่ตัดสินใจเดินทางตาม ศาสตร์ ไป จะมุ่งไปสู่ปลายทาง คือ ความจริงเพียงหนึ่งเดียว ของสิ่งๆนั้น ที่จะดำรงอยู่เหนือกาลเวลา
ในชีวิตของคนธรรมดา ศาสตร์ อาจจะหมายถึง สาเหตุที่แท้จริงของ ปัญหา ทั่วๆไป ที่คนเราพบเจอมากกว่า
หายากจริงๆที่จะมีคนที่อุทิศตนเพื่อหาสาเหตุที่แท้จริงของสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่างเช่นธรรมชาติในทุกวันนี้
นี่คือ ศาสตร์ ครับ
ผมได้อธิบายและยกตัวอย่างของ ศาสตร์ และ ศิลป์ แบบแยกส่วนไปแล้ว แต่อย่างไรก็ตาม บรรดาการสร้างสรรค์ของคนเราตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ส่วนใหญ่แล้วไม่ได้เป็นเฉพาะ ศาสตร์ หรือ ศิลป์ แยกกัน แต่มันกลับผสานกัน
โดยการผสานกันระหว่าง ศาสตร์ และ ศิลป์ สามารถแยกได้เป็น 3 ประเภท
1. สร้าง ศิลป์ ออกมาได้อย่างน่าทึ่ง แต่ยังไม่ถึง ศาสตร์
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อ คนๆหนึ่งคิดค้นทางแก้ปัญหาที่ไม่ค่อยจะสมเหตุสมผล แต่มัน ใช่ สำหรับกลุ่มคนกลุ่มหนึ่ง งานสร้างสรรค์ชิ้นนี้ จะยังมี คุณค่า กับคนกลุ่มนี้อยู่ มีแต่เวลาเท่านั้นแหละที่จะพิสูจน์ได้ว่า ทางแก้ปัญหา นี้มันไม่ได้สมเหตุสมผลนะ เพราะว่ามันไม่ได้แก้ปัญหาอย่างยั่งยืน เพื่อให้เข้าใจมากขึ้น ยกตัวอย่างเช่น การก่อม๊อบบางประเภทที่อ้างเหตุผลโน่นนี่นั่น แล้วคนก็เฮโลกันไป ทั้งที่มันไม่ได้สมเหตุสมผลเลย หรือ หนังสืออ่านสนุกบางประเภท ที่แค่อ่านสนุก แต่แก่นสารหรือหลักการที่หนังสือเล่มนี้ นำเสนอมันไม่น่าใช่ทางแก้ปัญหาที่แท้จริง
2. ไปถึง ศาสตร์ แต่เหตุผลที่ ใช่ มันไม่ได้ ใช่ กับคนอื่นๆ
กรณีนี้เกิดขึ้นเมื่อ คนๆหนึ่งสร้างบางอย่างเพื่อแก้ปัญหา แล้วมันก็แก้ปัญหาได้จริงๆ เพียงแต่มันไม่ ใช่ สำหรับคนบางกลุ่ม ยกตัวอย่างง่ายๆเลย ก็คือพวก สิ่งประดิษฐ์(Invention) ทั้งหลายแหล่ เครื่องจักร ทางวิศวกรรม ที่เหตุผลที่ ใช่ มันอาจจะ ใช่ แค่สำหรับการใช้งานในโรงงานเท่านั้น
3. ทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ ผสานกันอย่างลงตัว
คนที่พิเศษจริงๆ ถึงสามารถสร้างสรรค์ สิ่งที่แก้ปัญหาได้อย่างสมบูรณ์แบบ แล้วมันยัง ใช่ สำหรับคนบางกลุ่มด้วย ยกตัวอย่างเช่น iPhone มันไม่เพียงทำหน้าที่ของมันได้อย่างสมบูรณ์ แต่ยังเป็น ศิลป์ เพราะ พวกเราไม่สามารถลบภาพ Steve Jobs ออกไปจาก สิ่งประดิษฐ์ ชิ้นนี้ได้เลย
หลายร้อยปีมาแล้ว ก็เคยมีคนๆหนึ่งที่สำเร็จทั้ง ศาสตร์ และ ศิลป์ อย่างเด่นชัดที่สุด เขามีชื่อว่า Leonardo Da Vinci ครับ อุตส่าห์ไปขุดศพศึกษากายวิภาค ก่อนจะถ่ายทอดมันออกมาเป็น ศิลป์ ด้วยภาพวาด ได้อย่างน่าทึ่งที่สุด
มีแค่ 4 องค์ประกอบ เท่านั้นในการ สร้างคุณค่า อะไรก็ตามขึ้นมา...
1. เหตุผลที่ใช่
2. งานฝีมือ หรือ การสร้างสรรค์ผลงานของตนเองขึ้นมา
3. สาเหตุที่แท้จริง
4. ตรรกะ
และ 1 ตัวช่วยอย่าง ความคิดสร้างสรรค์ ที่เข้ามามีบทบาทในการ สร้างสรรค์ผลงาน หรือ ค้นหา สาเหตุที่แท้จริง นั่นเอง
จบแล้วครับ... ขอบคุณมากนะครับ ที่อุตส่าห์รอผมเขียนซะเนิ่นนาน
ถ้ามีคำแนะนำติชม บอกได้เลยนะครับ เจ้าของกระทู้ยินดีพร้อมรับฟังเต็มที่ครับ
หวังว่ากระทู้นี้จะจุดประกายความคิด พร้อมทั้งชี้ทางเดินไปสู่ การสร้างสรรค์ ผลงานของตนเอง ให้กับคนหลายๆคนครับ