ยิ่งนานวันการมีเพศสัมพันธ์โดยไม่ป้องกัน ของวัยรุ่น การตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม หรือแม้แต่การติดโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ ล้วนเป็นประเด็นที่ดูเหมือนว่าจะทวีความรุนแรงมากขึ้นเรื่อย ๆ ด้วยสภาพแวดล้อมในปัจจุบันเต็มไปด้วยสิ่งเร้า เช่น อินเทอร์เน็ต ภาพยนตร์ เกมออนไลน์ ฯลฯ
ผลวิจัยของตัวแทนเยาวชนจากเวทีสิทธิเด็ก พบว่า ปัญหาวัยรุ่นท้องไม่พร้อมมีเพิ่มมากขึ้น โดยแม่ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี มีถึง ๘๐,๐๐๐ คนในปี ๒๕๕๑ นำไปสู่การทำแท้งซึ่งพบถึงร้อยละ ๔๖.๘ ของผู้หญิงทำแท้งที่มีอายุต่ำกว่า ๒๕ ปี รวมถึงปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งมีถึงปีละ ๘๐๐ คน การมีเพศสัมพันธ์ช่วงอายุที่น้อยลงโดยผู้ชายต่ำสุดอายุ ๙ ปีและผู้หญิง ๑๐ ปี รวมถึงปัญหาการข่มขืนที่มีเด็กต่ำกว่า ๑๕ ปีตกเป็นเหยื่อเฉลี่ยสูงถึงวันละ ๒ ราย (ไทยรัฐ, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒.)
จากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นกำลัง เผชิญกับความเสี่ยง เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม รวมถึงการต้องออกจากสถานศึกษาเนื่องจากประสบปัญหาดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเรียนรู้เพศศึกษาอันจำกัดของวัยรุ่น เพราะเพศศึกษาเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีความรู้ความเข้า ใจ สามารถคิดวิเคราะห์ในการป้องกันตัวเอง และการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
จุดมุ่งหมายของวิชาเพศศึกษาอย่างกว้าง ๆ เช่น เพื่อเรียนรู้กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสรีระของร่างกายอันมีผลต่อความคิด อารมณ์ จิตใจ ความรู้สึก เสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศ ทั้งของตนเองและผู้อื่น เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าการกระทำทางเพศส่วนตัวมีผลกระทบต่อสังคม เช่น การปล่อยทิ้งบุตรตามยถากรรม การรับหรือแพร่เชื้อเอชไอวี ทั้งนี้จึงควรเตรียมตัวให้เยาวชนพร้อมที่จะเผชิญปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนรู้จักแก้ไขปัญหาและป้องกันเหตุการณ์อันเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ให้เป็นไปอย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ความรู้ เรื่องเพศจะเกิดประสิทธิผลกับวัยรุ่นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแรงผลักดันของผู้ใหญ่ทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา รวมถึงหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ในการให้ความสำคัญและผลักดัน “เพศศึกษา” ให้เข้าถึงวัยรุ่น ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง จริงจัง และต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การสอนหลักสูตรเพศศึกษาในสถานศึกษายังมีความจำกัดอยู่มาก เนื่องจากปัญหาของผู้บริหารหรือครูผู้สอนบางท่านยังคิดว่า การสอนเพศศึกษาแบบให้ข้อมูลรอบด้านแก่ผู้เรียนอาจเป็นการชี้โพรงให้กระรอก คิดว่าเป็นการกระตุ้นให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น แต่หากดูจากผลการสำรวจพฤติกรรมทางเพศในประเทศไทย พบว่า วัยรุ่นอายุ ๑๘-๒๔ ปี ร้อยละ ๘๐ ของวัยรุ่นเพศชาย ร้อยละ ๖๓ ของวัยรุ่นเพศหญิงเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และในกลุ่มเดียวกันนี้ เกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของวัยรุ่นเพศชายเคยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า ๑๖ ปี ขณะที่ตัวเลขของวัยรุ่นหญิงคิดเป็นร้อยละ ๙ (สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๒.)
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า วัยรุ่นไทยกว่าครึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ดังนั้นหากผู้ใหญ่จะมองว่าการสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับวัยรุ่นเหมือนเป็นการ ชี้โพรงให้กระรอก แล้วตัดสินใจไม่สอน อาจยิ่งทำให้วัยรุ่นเผชิญกับความเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือโรค เอดส์ รวมถึงปัญหาต่างๆ มากขึ้น
ปัญหาขณะนี้คือ วัยรุ่นยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้อง เช่น วัยรุ่นส่วนมากไม่ทราบว่ายาคุมมีกี่เม็ดเคยมีการเดาสุ่มของวัยรุ่นว่ายาคุมมี ๗๐ เม็ด และถามว่าการกินยาคุมกำเนิดที่ถูกต้องเริ่มกินเมื่อไร บางคนตอบว่าวันจันทร์ บ้างตอบว่าเริ่มกินตอนกลางคืน และถามว่าหากไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่รักของตนเองจะสามารถติดเชื้อเอชไอวี ได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะเขาเป็นแฟนเรา คงไม่มีเชื้อ และเขายังอายุน้อย
สถานการณ์ข้างต้น การเร่งผลักดันวิชาเพศศึกษา และเพิ่มมาตรฐานการสอนให้แก่วัยรุ่นเสียแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะป้องกันวัยรุ่นให้รอดพ้นจากปัญหาทางเพศได้
ที่สำคัญผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง ต้องพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาของวัยรุ่นได้เสมอ และต้องไม่ผลักดันให้วัยรุ่นต้องไปแสวงหาความรู้เรื่องเพศจากเพื่อน หรือจากคู่รักนอกบ้านเสียเอง
Report : LIV Capsule
ความจำกัดของ “เพศศึกษา”กับสถานการณ์วิกฤตของวัยรุ่นไทย
ผลวิจัยของตัวแทนเยาวชนจากเวทีสิทธิเด็ก พบว่า ปัญหาวัยรุ่นท้องไม่พร้อมมีเพิ่มมากขึ้น โดยแม่ที่มีอายุต่ำกว่า ๑๘ ปี มีถึง ๘๐,๐๐๐ คนในปี ๒๕๕๑ นำไปสู่การทำแท้งซึ่งพบถึงร้อยละ ๔๖.๘ ของผู้หญิงทำแท้งที่มีอายุต่ำกว่า ๒๕ ปี รวมถึงปัญหาเด็กถูกทอดทิ้งมีถึงปีละ ๘๐๐ คน การมีเพศสัมพันธ์ช่วงอายุที่น้อยลงโดยผู้ชายต่ำสุดอายุ ๙ ปีและผู้หญิง ๑๐ ปี รวมถึงปัญหาการข่มขืนที่มีเด็กต่ำกว่า ๑๕ ปีตกเป็นเหยื่อเฉลี่ยสูงถึงวันละ ๒ ราย (ไทยรัฐ, ๒๐ พฤศจิกายน ๒๕๕๒.)
จากผลการวิจัยดังกล่าวแสดงให้เห็นว่า วัยรุ่นกำลัง เผชิญกับความเสี่ยง เช่น โรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์ การตั้งครรภ์เมื่อไม่พร้อม รวมถึงการต้องออกจากสถานศึกษาเนื่องจากประสบปัญหาดังกล่าว ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงสภาพการเรียนรู้เพศศึกษาอันจำกัดของวัยรุ่น เพราะเพศศึกษาเป็นองค์ประกอบพื้นฐานสำคัญที่ทำให้วัยรุ่นมีความรู้ความเข้า ใจ สามารถคิดวิเคราะห์ในการป้องกันตัวเอง และการมีเพศสัมพันธ์ที่ปลอดภัย
จุดมุ่งหมายของวิชาเพศศึกษาอย่างกว้าง ๆ เช่น เพื่อเรียนรู้กระบวนการเปลี่ยนแปลงของสรีระของร่างกายอันมีผลต่อความคิด อารมณ์ จิตใจ ความรู้สึก เสริมสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเกี่ยวกับเรื่องเพศ ทั้งของตนเองและผู้อื่น เพื่อให้เกิดความตระหนักว่าการกระทำทางเพศส่วนตัวมีผลกระทบต่อสังคม เช่น การปล่อยทิ้งบุตรตามยถากรรม การรับหรือแพร่เชื้อเอชไอวี ทั้งนี้จึงควรเตรียมตัวให้เยาวชนพร้อมที่จะเผชิญปัญหาที่จะเกิดขึ้นในอนาคต ตลอดจนรู้จักแก้ไขปัญหาและป้องกันเหตุการณ์อันเกี่ยวข้องกับการดำเนินชีวิต ให้เป็นไปอย่างดีที่สุด
ทั้งนี้ความรู้ เรื่องเพศจะเกิดประสิทธิผลกับวัยรุ่นมากหรือน้อย ขึ้นอยู่กับแรงผลักดันของผู้ใหญ่ทั้งสถาบันครอบครัว สถาบันการศึกษา รวมถึงหน่วยงานองค์กรต่าง ๆ ในการให้ความสำคัญและผลักดัน “เพศศึกษา” ให้เข้าถึงวัยรุ่น ได้เรียนรู้อย่างลึกซึ้ง จริงจัง และต่อเนื่อง
อย่างไรก็ตาม การสอนหลักสูตรเพศศึกษาในสถานศึกษายังมีความจำกัดอยู่มาก เนื่องจากปัญหาของผู้บริหารหรือครูผู้สอนบางท่านยังคิดว่า การสอนเพศศึกษาแบบให้ข้อมูลรอบด้านแก่ผู้เรียนอาจเป็นการชี้โพรงให้กระรอก คิดว่าเป็นการกระตุ้นให้วัยรุ่นมีเพศสัมพันธ์เร็วขึ้น แต่หากดูจากผลการสำรวจพฤติกรรมทางเพศในประเทศไทย พบว่า วัยรุ่นอายุ ๑๘-๒๔ ปี ร้อยละ ๘๐ ของวัยรุ่นเพศชาย ร้อยละ ๖๓ ของวัยรุ่นเพศหญิงเคยมีเพศสัมพันธ์แล้ว และในกลุ่มเดียวกันนี้ เกินกว่าร้อยละ ๓๐ ของวัยรุ่นเพศชายเคยมีเพศสัมพันธ์ครั้งแรกเมื่ออายุน้อยกว่า ๑๖ ปี ขณะที่ตัวเลขของวัยรุ่นหญิงคิดเป็นร้อยละ ๙ (สถาบันวิจัยประชากรและสังคม มหาวิทยาลัยมหิดล, ๒๕๕๒.)
จากข้อมูลดังกล่าวจะเห็นได้ว่า วัยรุ่นไทยกว่าครึ่งผ่านการมีเพศสัมพันธ์แล้ว ดังนั้นหากผู้ใหญ่จะมองว่าการสอนเรื่องเพศศึกษาให้กับวัยรุ่นเหมือนเป็นการ ชี้โพรงให้กระรอก แล้วตัดสินใจไม่สอน อาจยิ่งทำให้วัยรุ่นเผชิญกับความเสี่ยงกับโรคติดต่อทางเพศสัมพันธ์หรือโรค เอดส์ รวมถึงปัญหาต่างๆ มากขึ้น
ปัญหาขณะนี้คือ วัยรุ่นยังขาดความรู้ความเข้าใจเรื่องเพศที่ถูกต้อง เช่น วัยรุ่นส่วนมากไม่ทราบว่ายาคุมมีกี่เม็ดเคยมีการเดาสุ่มของวัยรุ่นว่ายาคุมมี ๗๐ เม็ด และถามว่าการกินยาคุมกำเนิดที่ถูกต้องเริ่มกินเมื่อไร บางคนตอบว่าวันจันทร์ บ้างตอบว่าเริ่มกินตอนกลางคืน และถามว่าหากไม่ใช้ถุงยางอนามัยกับคู่รักของตนเองจะสามารถติดเชื้อเอชไอวี ได้หรือไม่ คำตอบคือ ไม่ได้ เพราะเขาเป็นแฟนเรา คงไม่มีเชื้อ และเขายังอายุน้อย
สถานการณ์ข้างต้น การเร่งผลักดันวิชาเพศศึกษา และเพิ่มมาตรฐานการสอนให้แก่วัยรุ่นเสียแต่เนิ่น ๆ น่าจะเป็นหนทางหนึ่งที่จะป้องกันวัยรุ่นให้รอดพ้นจากปัญหาทางเพศได้
ที่สำคัญผู้ใหญ่ต้องใจกว้าง ต้องพร้อมที่จะเป็นที่ปรึกษาของวัยรุ่นได้เสมอ และต้องไม่ผลักดันให้วัยรุ่นต้องไปแสวงหาความรู้เรื่องเพศจากเพื่อน หรือจากคู่รักนอกบ้านเสียเอง
Report : LIV Capsule