นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ที่มี พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบให้แก้ไขประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว ในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 เพื่อรองรับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ในวันที่ 30 ก.ย.58 นี้ และให้ผู้ใช้บริการยังคงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้การแก้ไขดังกล่าว ได้นำประเด็นปัญหาจากการใช้ประกาศดังกล่าว กับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของบริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือดีพีซี ที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับการคำนวณค่าใช้จ่ายและรายได้ที่จะต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินได้ มาพิจารณาด้วย
“ประกาศฉบับดังกล่าว มีปัญหาเรื่องคำนวณรายได้เพื่อนำส่งแผ่นดิน เพราะมีการลบข้อความที่ระบุว่าให้รายได้ที่นำส่งแผ่นดิน ต้องไม่น้อยกว่ารายได้ที่รัฐได้รับตามสัญญาสัมปทาน และเมื่อใช้ประกาศมาระยะหนึ่งพบว่าตกลงกันไม่ได้ บอร์ด กทค.จึงมีมติแก้ไขและนำร่างประกาศฉบับแก้ไขไปรับฟังความเห็นในเดือน ส.ค.58 นี้ ส่วนกรณีที่จะถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย เพราะประกาศใช้ไม่เหมือนกันนั้น ต้องชี้แจงว่าฉบับแรกมีปัญหา เกือบ 2 ปีแล้วก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ดังนั้น เมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข เพื่อให้การคำนวณรายได้นำส่งแผ่นดินให้เร็วที่สุด”
นายฐากร กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กทค.ได้มีมติให้คณะทำงานตรวจสอบเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน นำข้อสังเกตของเลขาธิการกสทช.ไปประกอบการพิจารณาอีกครั้ง โดยเลขาธิการ กสทช.เสนอความเห็นว่า หลักเกณฑ์การคำนวณของคณะทำงานนั้น มีตัวเลขรายได้ที่ไม่ตรงกันและรายได้ที่เกิดขึ้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ทรูมูฟ แจ้งว่า เดือน ส.ค.57 มีรายได้ 1,000 ล้านบาท เดือน ก.ย.มีรายได้ 2,000 ล้านบาท ขณะที่เดือนอื่นๆ มีรายได้เดือนละ 100 ล้านบาท ขณะที่คณะทำงานแจ้งว่า ทรูมูฟ ส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ทำให้การคำนวณรายได้มีข้อจำกัด.
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558
ปวดตับสัมปทานทรูมูฟ-ดีพีซีบอร์ด กทค.รื้อเกณฑ์สางกรณีเยียวยาสิ้นสุดสัญญา
นายฐากร ตัณฑสิทธิ์ เลขาธิการคณะกรรมการกิจการกระจายเสียง กิจการโทรทัศน์ และกิจการโทรคมนาคมแห่งชาติ (กสทช.) เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการกิจการโทรคมนาคม (กทค.) ที่มี พ.อ.เศรษฐพงค์ มะลิสุวรรณ รองประธาน กสทช.เป็นประธาน ได้มีมติเห็นชอบให้แก้ไขประกาศมาตรการคุ้มครองผู้ใช้บริการเป็นการชั่วคราว ในกรณีสิ้นสุดการอนุญาตสัมปทานหรือสัญญาการให้บริการโทรศัพท์เคลื่อนที่ พ.ศ.2556 เพื่อรองรับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของบริษัท แอดวานซ์ อินโฟร์ เซอร์วิส จำกัด (มหาชน) หรือเอไอเอส ในวันที่ 30 ก.ย.58 นี้ และให้ผู้ใช้บริการยังคงสามารถใช้งานได้อย่างต่อเนื่องด้วย ทั้งนี้การแก้ไขดังกล่าว ได้นำประเด็นปัญหาจากการใช้ประกาศดังกล่าว กับการสิ้นสุดสัญญาสัมปทานของบริษัท ทรูมูฟ จำกัด และบริษัท ดิจิตอลโฟน จำกัด หรือดีพีซี ที่ยังไม่สามารถหาข้อยุติเกี่ยวกับการคำนวณค่าใช้จ่ายและรายได้ที่จะต้องนำส่งเป็นรายได้แผ่นดินได้ มาพิจารณาด้วย
“ประกาศฉบับดังกล่าว มีปัญหาเรื่องคำนวณรายได้เพื่อนำส่งแผ่นดิน เพราะมีการลบข้อความที่ระบุว่าให้รายได้ที่นำส่งแผ่นดิน ต้องไม่น้อยกว่ารายได้ที่รัฐได้รับตามสัญญาสัมปทาน และเมื่อใช้ประกาศมาระยะหนึ่งพบว่าตกลงกันไม่ได้ บอร์ด กทค.จึงมีมติแก้ไขและนำร่างประกาศฉบับแก้ไขไปรับฟังความเห็นในเดือน ส.ค.58 นี้ ส่วนกรณีที่จะถูกกล่าวหาว่าเอื้อประโยชน์ให้เอกชนบางราย เพราะประกาศใช้ไม่เหมือนกันนั้น ต้องชี้แจงว่าฉบับแรกมีปัญหา เกือบ 2 ปีแล้วก็ยังไม่ได้ข้อยุติ ดังนั้น เมื่อมีปัญหาก็ต้องแก้ไข เพื่อให้การคำนวณรายได้นำส่งแผ่นดินให้เร็วที่สุด”
นายฐากร กล่าวว่า ที่ประชุมบอร์ด กทค.ได้มีมติให้คณะทำงานตรวจสอบเงินนำส่งรายได้แผ่นดิน นำข้อสังเกตของเลขาธิการกสทช.ไปประกอบการพิจารณาอีกครั้ง โดยเลขาธิการ กสทช.เสนอความเห็นว่า หลักเกณฑ์การคำนวณของคณะทำงานนั้น มีตัวเลขรายได้ที่ไม่ตรงกันและรายได้ที่เกิดขึ้นไม่สอดคล้องกับสถานการณ์ เช่น ทรูมูฟ แจ้งว่า เดือน ส.ค.57 มีรายได้ 1,000 ล้านบาท เดือน ก.ย.มีรายได้ 2,000 ล้านบาท ขณะที่เดือนอื่นๆ มีรายได้เดือนละ 100 ล้านบาท ขณะที่คณะทำงานแจ้งว่า ทรูมูฟ ส่งเอกสารไม่ครบถ้วน ทำให้การคำนวณรายได้มีข้อจำกัด.
ขอขอบคุณแหล่งข่าว
หนังสือพิมพ์ไทยรัฐ ฉบับวันที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558