ต้องGPAสูงถึงจะรวยหรอ? (นำมาจากวีดิโอของ Tai Lopez ชื่อว่า "Do You Need A High IQ To Be Rich?")

***มีคำอธิบายเพิ่มเติม footnote อยู่ข้างล่าง***



วีดิโอต้นฉบับ Original video: http://www.youtube.com/watch?v=IeWCIJOn49w

-    ความเชื่อเกี่ยวกับ IQ
-    การวัด IQ ความคิดของนักจิตวิทยายุคก่อนๆในเรื่อง "ความฉลาด"
-    คนที่ประสบความสำเร็จ สำเร็จยังไง
___________________

-๑-
  “คุณฉลาดแค่ไหน และมันสำคัญด้วยหรอ” “ต้องมี IQ สูงถึงจะรวยหรอ”  
  แทบจะทุกประเทศบนโลกให้ความสำคัญกับการส่งเยาวชนไปโรงเรียน และสอบวัดระดับ ”ความรู้” “ความฉลาด”   โลกที่คนส่วนมากรอบข้างเรา เช่น พ่อแม่ ครู พี่น้อง หรือเพื่อน จะมองว่าการมีศักยภาพสูงนั้น ต้องสอบได้คะแนนเกิน 85% หรือ แม้กระทั่ง 90% หรือว่า ถ้าเราสอบวัดแล้วได้ “IQ” สูง คนจะมองว่าเราคงมีชีวิตที่ดีเลิศ มีรายได้สูงในอนาคตอย่างแน่นอน แต่เมื่อเห็นคะแนนสอบที่ไม่ค่อยสูง (ถ้าวัดกับเพื่อนคนอื่นๆในห้องเรียน) หรือ คะแนน IQ ”ธรรมดา” จะคิดทันทีว่า “ไปได้ไม่ไกลหรอก”
  ใช่ครับ การวัดระดับศักยภาพคนด้วย IQ หรือคะแนนสอบอย่างนี้ เป็นวิธีวัดที่ค่อนข้างจะใจแคบหรือแม้กระทั่ง “หัวโบราณ” ทั้งสองอย่างนี้ต่างเป็นแค่เพียงแผ่นกระดาษสอบ และตลอดเวลาที่ผ่านมาหลายคนก็เริ่มตระหนักรู้กันแล้ว นักลงวิดีโอยูทูป ผู้รอบรู้ (Renaissance man) และนักเขียนคนหนึ่งนามว่า “Tai Lopez” นั้นมีคำอธิบายที่มีวิทยาศาสตร์เป็นหลักฐานสำหรับเหตุผลที่คนเราวัดกันและ กันอย่าง “ใจแคบ” นี้ ซึ่งเขาได้เอาข้อมูลมาจากหนังสือของนักจิตวิทยาอเมริกันชื่อ Robert J. Sternberg “Successful Intelligence: How Practical and Creative Intelligence Determine Success in Life”1 :
  ในฝูงไก่ฝูงหนึ่ง แม้ไก่ทุกตัวจะดูเหมือนกันหมดในสายตาของมนุษย์ ที่จริงแล้วไก่เหล่านี้ก็มี “ลำดับชั้นสังคม” ของพวกมันเองเหมือนกัน (“Pecking order” สำหรับสัตว์นก) โดยพวกมันใช้ความแข็งแกร่งทางร่างกายมาเป็นครรลองในการวัด2  ซึ่งสัตว์อีกหลายชนิดเช่น วัว หรือ แกะ ก็มีเช่นกัน
  ดังนั้น ไม่ว่าจะเป็นในการพิจารณาตัวเองว่า “เราคือใคร” ว่าควรจะเข้าสังคมกับ “คนแบบไหน” ว่าควรจะมีรายได้เท่าไหร่ หรือแม้กระทั่งควรจะได้ใช้ชีวิตคู่กับใครก็ตาม พวกเราล้วนวัดตัวเองตามมาตรฐานใดมาตรฐานหนึ่งอยู่โดยตลอด และ มาตรฐานตามระบบการศึกษาที่ใช้กันตามสามัญของแต่ละประเทศ (traditional education system) นั้นก็แพร่หลายไปทั่วโลก ผลงานวิทยาศาสตร์ก็ได้ค้นพบอีกว่าคู่รักที่อยู่ในระดับมาตรฐานใกล้เคียงกัน นั้นจะดึงดูดกันและกัน (หรือว่า “เข้ากัน”) ได้ดีกว่า
  การวัดคนด้วยมาตรฐานโดยทันทีทันใดนั้น โดยเฉพาะการไปคุยต่อหน้าเลย ถือตัวและไร้มารยาทสังคมอย่างมาก พวกเราต่างเข้าใจกันดี แต่ถึงยังไง ลึกลงใน “จิตใต้สำนึก” ส่วนจิตใจที่พวกเราไม่ค่อยรู้ตัวกันแต่มีอิทธิพลต่อการกระทำหรือความคิดที่ เราตระหนักรู้ พวกเราก็ย่อมวัดอยู่กันเป็นประจำ
  พวกเราส่วนมากชอบคิดอยู่เสมอว่าพวกเราคือคนหนึ่งคน หรือมีจิตเพียงดวงเดียวในร่างกาย เจ้าพ่อจิตวิทยา Sigmund Freud เคยพูดว่า “The mind is like an iceberg, it floats with one-seventh of its bulk above water.” ที่จริงแล้วจิตใจเราเปรียบเสมือนภูเขาน้ำแข็ง มีเพียง 14% ของภูเขามหึมานั้นที่อยู่เหนือน้ำ 86% ที่เหลืออยู่ใต้น้ำ 86 นี้ก็คือจิตใต้สำนึก ยกตัวอย่างเราพูดออกมาว่า “ความฉลาดไม่สำคัญสำหรับตัวฉัน” จิตที่รู้ตัว 14% จะคิดว่า “ไม่ต้องกังวลนะ รักในสิ่งที่เราเป็น” จิตที่ไม่รู้ตัวหรือจิตใต้สำนึกอีก 86% เหมือนสัตว์ชนิดอื่น จะคอยประเมินอยู่ตลอดว่าตัวเองคือใคร และอยู่ในระดับไหนของมาตรฐาน Tai ได้ใช้ข้อมูลเกี่ยวกับจิตสองจิตในกายเดียวเป็นเหตุผลรองรับความคิดเห็นของ เขาว่าสุภาษิต ซึ่งเขาไม่ได้ เห็นด้วยหรือไม่เห็นด้วยกับมัน “รักในสิ่งที่คุณเป็น” (love yourself for who you are) นั้นอ่อนต่อโลก (naïve3)
  Tai Lopez ได้กล่าวว่าการเข้าใจเรื่อง IQ ความฉลาด ความคิด และ ความเกี่ยวข้องของพวกมันต่อชีวิตเรา จะมีผลอันตราย ถ้าเข้าใจแบบผิดๆ

-๒-
  หนังสือของ Sternberg “Successful Intelligence” ได้ชี้ว่าผล IQ ไม่สามารถชี้วัดหรือทำนายอะไรในชีวิตจริงๆได้ และไม่มีวิทยาศาสตร์อะไรมารับรองเลยว่าคน IQ สูงจะรวยสำเร็จ และ สูงน้อยกว่า รวยสำเร็จน้อยกว่า นั้นก็ไม่จริงเลย  ในศตวรรษที่ 19 ญาติคนหนึ่งของ ชาลส์ ดาร์วิน นามว่า ฟรานซิซ แกลตัน (Francis Galton) ได้ทำแบบทดสอบเพื่อวัดความฉลาดด้วยการให้ผู้คนฟังเสียงขึ้นมา เขาได้บอกว่าคนที่ฉลาดจะมีความรู้สึกการตอบสนองไว (high sensitivity) และพลังงานสูง แบบทดสอบได้ถูกใช้สักพักแต่ไม่นานก็มีนักคิดกลุ่มหนึ่งตั้งคำถามว่าทำไมเฮ เลน เคลเลอร์ (Helen Keller) แม้เธอจะตาบอดและหูหนวก กลับฉลาดมากและเป็นนักมนุษยธรรมที่ประสบความสำเร็จ การตั้งคำถามนี้ก็เลยทำให้ทฤษฎีความฉลาดของแกลตันนั้นถูกหักล้าง  นักจิตวิทยาฝรั่งเศส จากศตวรรษที่ 19 อัลเฟรด บิเนต์ (Alfred Binet) ได้สร้างแบบทดสอบ (Stanford-Binet) ที่ยังถูกนำมาใช้ในปัจจุบัน และยังเป็นต้นแบบให้แบบทดสอบรุ่นหลังๆหลายแบบ  บิเนต์ได้พูดว่าความฉลาดของคนนั้น วัดได้ด้วยปัจจัย 3 อย่าง:๑)    “Direction” นั้นคือการจัดการ รู้ว่าต้องทำอะไรบ้างในแต่ละสถานการณ์ ความสามารถในการประเมินสถานการณ์๒)    “Adaption” ปรับตัว ปรับความคิดต่อสถานการณ์ต่างๆ ถ้าคนเปิดประตูในโรงแรมชื่อดัง มีหน้าที่เปิดประตู ได้เอาแต่เปิดประตูเมื่อเห็นคนกำลังเดินเข้ามาอย่างเดียวด้วย “จิตใจที่ตายตัว” (fixed mentality) เขาคงอยูได้ไม่นานก่อนที่จะถูกไล่ เพราะผู้พักจะปลอดภัยได้อย่างไรถ้าคนเปิดประตูไม่หันสังเกตคนที่กำลังเดิน เข้าเลย ว่าอาจจะมาด้วยเจตนาไม่ดี เป็นโจร รึเปล่า๓)    “Criticism” ความสามารถวิจารณ์ตัวเอง (self-critique)  บิเนต์ได้สินนิษฐานว่าความฉลาดของคนเชื่อมโยงโดยตรงกับความสามารถมองดูความ คิดที่เรามีและนึกขึ้นว่า “คุณคงผิดแล้วละ” เมื่อพบ “หลักฐานใหม่” ที่แสดงได้ว่าความคิดที่คุณมีนั้นผิด ประเมินตัวแล้วก็ ‘ปรับตัว ปรับตัว’ ไปเรื่อยๆ  อย่างที่ได้พูดไว้ตอนต้น Sternberg ได้เขียนว่าในขณะนี้ งานวิจัยหลากหลายชิ้นได้ชี้ว่าผล IQ ของเราไม่สามารถพยากรณ์ชีวิตในอนาคตได้เลย และสำหรับการสอบตามระบบที่ใช้กันตามสามัญชนตามโรงเรียนนั้น ถ้าสอบดีๆแล้วจะเป็นคน “ฉลาด” และประสบความสำเร็จจริงๆหรอ Sternberg บอกว่ามีคนฉลาดบางคนอาจสอบตามระบบที่ใช้กันทั่วไปได้ไม่ดีเพราะพวกเขาอาจ อ่อนไหวต่อสภาพแวดล้อมของห้องสอบ

-๓-
  Sternberg ได้เสนอมาตรฐานใหม่แทนคะแนนสอบและผล IQ ที่จะสามารถพยากรณ์อนาคตของแต่ละคนอย่างที่สามารถเห็นกันได้มากกว่าเรียกว่า “Successful Intelligence”  จากการค้นคว้าของ Sternberg ผู้ที่ประสบความสำเร็จต่างมีคุณสมบัติ3อย่างนี้: ๑) Self-efficacious4  ๒) Candor5  ๓) Awareness of limitations ข้อที่ 3 หมายความว่าผู้ประสบความสำเร็จได้ไตร่ตรองและรู้ดีว่าสิ่งไหนที่พวกเขา สามารถปฏิบัติได้จริงและสิ่งไหนที่ไม่ได้ มีบางอย่างที่คนไม่สามารถทำได้จริงๆ เช่นกระโดดลงจากตึกห้าชั้น แต่ถ้าคิดใหม่อีกทีเราสามารถกระโดดลงจากตึกและให้เฮลิคอปเตอร์รับเรา หรือกระโดดลงไปยังสระน้ำ และยังมีชีวิตอยู่ต่อได้ พวกเขาเวลามองอะไร จะมองให้ลึก และพิจารณาถึงความเป็นไปได้ (possibilities) ต่างๆ  ผู้ที่ประสบความสำเร็จ (เหมือนทุกคน) ต่างได้เจอคนที่คิดว่าพวกเขาคงไปได้ไม่ไกล อาจเป็นเพราะว่าเรียนหนังสือได้คะแนนสู้เพื่อนคนอื่นในห้องไม่ได้ แต่พวกเขาไม่สนใจความคิดเห็นของคนอื่นและตั้งใจทำตามความฝันของพวกเขาไป เรื่อยๆ ไม่ให้ความคิดเห็นของคนอื่นดับฝันของพวกเขา  การคว้าความสำเร็จอย่างแข็งขืนต่อความคิดด้านลบจากสังคมรอบข้าง สามารถนำกรณีของนักกีฬาบาสเก็ตบอลนามว่า Michael Jordan เป็นกรณีตัวอย่างที่ได้เกิดขึ้นจริง: ในช่วง high school ของ Michael Jordan เขาได้เคยถูกไล่ออกจากที่บาสเก็ตบอลของโรงเรียน พ่อแม่ไม่เห็นศักยภาพในตัวเขาและคิดว่าพี่ของเขาเล่นเก่งกว่า แต่ Michael Jordan ก็ได้ใช้ความหวังอันน้อยนิด (negative expectations) ของคนรอบตัวเป็นแรงบันดาลใจให้เขาเก็บตัวฝึกฝนและผลิตผลออกมาจนเขาก็ได้ ประสบความสำเร็จจนถึงทุกวันนี้  ทุกคน ไม่ว่าจะสอบคะแนนได้สูงมากเท่าไหร่ ต่างต้องเจออุปสรรคสิ่งกีดขวาง และการแข่งขันที่จะพยายามดึงคุณให้ล้มเลิกความฝันที่คุณมี พวกเขาเอาคำพูดเชิงลบที่มีต่อพวกเขามาเป็นพลังด้านบวกไว้ล่าฝันต่อไป  ผู้คนต่างล้วนอยากที่จะประสบความสำเร็จ แต่หลายคนก็ไม่สำเร็จ แม้ตอนเรียนอาจจะสอบได้คะแนนสูง ทำไม่ถึงเป็นอย่างนั้น Tai ให้เหตุผลว่า แม้พวกเขาอยากได้มัน แต่พวกเขาอาจยังมีความถ่อมตนไม่มากพอ (Humility) ที่จะเริ่มค้นคว้าหา “ผู้แนะแนว” (mentors) ทางชีวิตและอีกหลายสิ่งต่างๆ เช่น ธุรกิจ เทคโนโลยี ปรัชญา และอีกหลายอย่างนับไม่ถ้วน ผู้แนะแนวไม่จำเป็นต้องมีชีวิตอยู่ ไม่จำเป็นต้องเป็นคนจริงๆ การศึกษาจากหนังสือถือว่าเรากำลังศึกษากับผู้แนะแนวผ่านงานเขียนของเขาแล้ว Steve Jobs, Oprah Winfrey, Bill Gates และผู้ที่ประสบความสำเร็จต่างหาผู้แนะแนวใหม่อยู่ตลอด พวกเขานำความสำเร็จของผู้แนะแนวแต่ละคนเอารวมมาเป็นความสำเร็จของตัวพวกเขา เอง บางคนที่สอบได้คะแนนสูงอาจจะศึกษาเพียงตำราโรงเรียนอย่างเดียว ซึ่งตำราโรงเรียนแทบทุกตำรามักจะเป็นเนื้อหาเอาไปใช้สอบอย่างเดียว  Tai ได้เคยคุยกับคนๆหนึ่งที่บอกว่าตัวเองไม่ฉลาดไม่อัจฉริยะไม่มีพรสวรรค์ เขาจึงถามคนนั้นว่าอ่านปีหนึ่งหนังสือกี่เล่ม คำตอบของเขาก็คือห้าเล่มต่อปี ตอนนี้เขาอ่านสี่เล่มทุกอาทิดย์และได้เห็นความแตกต่างอย่างสิ้นเชิง ว่า: พวกเราสามารถสร้าง “พรสวรรค์” และ “อัจฉริยภาพ” ขึ้นมาเองได้ ขึ้นอยู่กับตัวเราเอง  ถ้าอยากสำเร็จต้องแข่งขัน (be competitive) และแข็งขืนต่อคำพูดด้านลบของผู้อื่น

1] TaiLopez ไม่ใช่นักวิทยาศาสตร์หรือนักจิตวิทยาเหมือนวิดีโอส่วนมากของเขา เขาจะใช้หนังสือ 1 หรือ 2 เล่มมารองรับสิ่งที่เขาได้เอ่ยออกมา
2] http://www.backyardchickens.com/a/a-guide-to-understanding-the-chicken-pecking-order
3] Dictionary.com “having or showing a lack of experience, judgment, or information”
“การที่มีหรือแสดงถึงการมีประสบการณ์ดุลพินิจ หรือ ข้อมูลไม่มากนัก” สามารถใช้กับเด็กเล็กที่ยังไร้เดียงสา อ่อนต่อโลก
4]Self-efficacy: “A person'sbelief about his or her abilityand capacityto accomplisha taskor to dealwith the challenges of life” Self-efficacious: “ความเชื่อของบุคคลที่ว่าเขามีความสามารถและศักยภาพที่จะบรรลุเป้าหมายหนึ่ง ให้สำเร็จได้หรือจัดการกับความท้าทายในชีวิตได้”
5] ซื่อสัตย์ ตรงไปตรงมา

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่