ความเข้าใจเรื่อง IQ

เรื่องนี้เขียนขึ้นเพื่อความเข้าใจเรื่องของการวัด IQ ว่าบอกอะไรได้บ้าง IQ สูงแล้วเป็นอย่างไร IQตำแล้วเป็นอย่างไร จะได้ไม่หลงไปกับเรื่องตัวเลขนี้จนกู่ไม่กลับ
ประวัติของการทดสอบIQเริ่มต้นเมื่อราวปี 1900 เมื่อรัฐบาลฝรั่งเศสประกาศใช้พรบ.ประถมศึกษาทั่วประเทศ เป็นผลให้เด็กๆทั้งประเทศต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา แน่นอนว่าในจำนวนเด็กมหาศาลย่อมต้องติดเด็กที่มีปัญหาทางเชาวน์ปัญญาจนไม่สามารถเรียนได้เข้าไปด้วย สมาคมครูจึงทำการร้องเรียนไปยังรัฐบาลว่ามีเด็กจำนวนหนึ่งที่ไม่สามารถเรียนได้ รัฐบาลเองก็มีความเข้าใจเรื่องนี้ดีจึงได้กำหนดบทยกเว้นให้เด็กที่มีปัญหาทางสติปัญญาไม่ต้องถูกบังคับให้เข้าเรียน
ปัญหาที่ติดตามมาคือจะมีวิธีการอย่างไรที่จะแยกแยะเด็กออกจากกันได้ รัฐบาลฝรั่งเศสจึงได้ขอให้นักวิชาการที่มีชื่อเสียงคนนึงในยุคนั้นคือ Alfred Binet ให้หาวิธีการให้ Binet จึงได้ทำการคิดค้นวิธีการวัดเชาวน์ปัญญาเป็นแบบทดสอบมาตรฐานขึ้นเป็นครั้งแรกของโลกได้สำเร็จในปี1905ใช้ชื่อว่าแบบทดสอบ Binet
ลักษณะของแบบทดสอบนี้จะตั้งข้อทดสอบเป็นพัฒนาการทางสมองของเด็กตามเกณฑ์เฉลี่ยอายุของเด็กเรียกว่าอายุสมอง เด็กที่จะวัดจะต้องทำข้อทดสอบอายุสมองเหล่านี้ไปเรื่อยๆจนถึงระดับที่ทำไม่ได้เลย แล้วจึงเอาคะแนนมารวม คะแนนนี้เรียกว่าอายุสมอง จากนั้นก็เอาอายุจริงมาเทียบโดยการนำมาหาร ตัวเลขที่เกิดขึ้นจะมีค่าประมาณ 1 เด็กที่มีความสามารถเฉลี่ยจะหารกันได้ 1 พอดี เด็กที่ฉลาดก็จะมีค่า 1 กว่าๆ ในทำนองเดียวกันเด็กที่มีปัญหาก็จะมีค่าไม่ถึง 1
เพื่อให้ตัวเลขนี้เรียกง่ายจึงเอา 100 มาคูณเข้าไป ดังนั้น IQ ปกติก็จะมีค่าเป็น 100 ส่วนสูงหรือต่ำกว่านี้ก็จะบอกความฉลาดหรือไม่ฉลาดของเด็ก
เนื่องจากวิธีการคิดเป็นการคิดโดยใช้สัดส่วน ตัวเลขที่เกิดขึ้นจึงเรียกว่า Intelligence Quotient หรือ IQ มาตั้งแต่บัดนั้น แม้ในปัจจุบันจะไม่ใช้วิธีการคำนวณแบบนี้แล้ว แต่ยังคงใช้คำว่าIQ อันเป็น Concept เริ่มต้นในการเรียกค่าเชาวน์ปัญญาอยู่
ต่อมาแบบทดสอบนี้ถูกมหาวิทยาลัยสแตนฟอร์ดซื้อลิขสิทธิ์ไปและมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่อง ปัจจุบันพัฒนามาถึงรุ่นที่5 คือ Stanford-Binet 5 แล้วครับ
ทางอเมริกาก็ไม่น้อยหน้า มีนักวิชาการหลายคนพัฒนาแบบทดสอบ IQ ขึ้นมาเช่นกัน คนสำคัญที่สุดคือ David Wechsler ซึ่งเปลี่ยนแนวความคิดไป เขามองว่าสติปัญญาของคนควรประกอบด้วย 1 สามารถคิดอย่างมีเหตุผล 2 กระทำสิ่งที่ตั้งใจได้สำเร็จ 3 ปรับตัวให้เข้ากับสิ่งแวดล้อมได้
ข้อทดสอบของ Wechsler แบ่งออกเป็นสองกลุ่มคือกลุ่มที่ต้องแก้ปัญหาด้วยการใช้ภาษาเป็นสื่อคือต้องพูดจากัน กลุ่มที่สองคือ กลุ่มที่แก้ปัญหาด้วยการลงมือกระทำ จุดสำคัญที่สุดอีกอย่างหนึ่งก็คือวิธีการคิดค่า IQ ซึ่งเปลี่ยนมาใช้วิธีการทางสถิติแทน ค่าเฉลี่ยปานกลางถือเป็น IQ 100 เสมอ
แบบทดสอบนี้แตกลูกหลานออกมาหลายแบบ แยกตามอายุที่จะวัด ปัจจุบันพัฒนามาถึงรุ่นที่ 4 และ 5 แล้ว ค่า IQ ที่วัดได้ไม่ได้มีตัวเดียว แต่จะมี 3 ตัว Verbal IQ,Performance IQ และFull Scale IQ พร้อมด้วยดัชนีบ่งชี้ศักยภาพเฉพาะอีก 4 ด้าน
ยอกจากนี้ในช่วงสงครามโลก ยังมีการพัฒนาการทดสอบ IQ อีกหลายแบบทั้งวัดรายบุคคลและรายกลุ่ม เพื่อใช้ในการวัด IQ ทหารและแบ่งแยกหน้าที่ตามความเหมาะสม
คราวนี้คือข้อเท็จจริงที่อยากบอกครับ
1 ในเด็กเล็ก การวัด IQ โดยเฉพาะในระบบ Binet นั้นเน้นหนักไปทางชี้พัฒนาการความสามารถทางสมองเมื่อเทียบกับวัย IQ ดีก็คือพัฒนาการดีกว่าวัย IQด้อย ก็คือพัฒนาการด้อยกว่าวัย ซึ่งก็ต้องหาทางพัฒนาหรือแก้ไขกันต่อไป IQ สูงไม่ใช่แปลว่าดี และที่สำคัญ IQ ตำไปบ้าง ก็กรุณาอย่าว่าเด็กไทยโง่ ดูสิงคโปร์ก็ได้ ใกล้ดี ค่า IQ สิงคโปร์สูงกว่าพี่ไทยแน่นอน แต่สิงคโปร์ไม่สามารถมีภาษาของตนเอง ไม่มีวัฒนธรรมของตนเอง ยืมมาจากที่อื่นทั้งนั้น ไม่สามารถรักษาเอกราชไว้ได้ จะว่าเป็นเพราะชาติเล็ก อ่อนแอก็ไม่ได้ ไทยเราเองก็อ่อนแอเมื่อเทียบกับฝรั่ง
แต่ลองคิดดูนะครับ ไอ้สิ่งที่คน IQ สูงมีไม่ได้ คน IQ ต่ำอย่างพี่ไทยทำได้หมด ดูข้อ 2 ต่อ
2 แบบทดสอบ IQ ไม่ได้วัดศักยภาพทุกอย่างของมนุษย์ เชาวน์ปัญญาของคนตามที่ Howard Gardner พยายามรวบรวมไว้มี 8 อย่าง ( บางตำราถือว่ามี 9 อย่าง ถูกทั้งนั้นครับเพราะเสนอทฤษฎีหลายครั้ง ) คือ ด้านภาษา ด้านตัวเลขและตรรกะ ด้านรูปทรงมิติอวกาศ ด้านการเคลื่อนไหวร่างกาย ด้านดนตรีและจังหวะ ด้านมนุษยสัมพันธ์ ด้านการหยั่งรู้ตนเองและด้านการเข้าใจและปรับตัวกับธรรมชาติ
แบบทดสอบ IQ ทุกชนิดจะเน้นการทดสอบ 3 ด้านแรกเป็นหลัก ที่เหลือแทบไม่ได้วัดเลย ก็อย่างที่เล่ามายืดยาว ตอนคิด คิดเพื่อเรื่องการเรียน ถึงแม้จะพัฒนามาร่วม 100 ปีแล้วก็ตามก็ยังเหลือเชื้อแถวเรื่องการเรียนอยู่นั่นแหละ
3 ค่า IQ มีความสัมพันธ์กับผลสัมฤทธิ์ทางการเรียนประมาณ 30-60 % ไม่เกินนั้น ที่เหลือมาจากสิ่งอื่นทั้งสิ้น หัวดีนิสัยไม่เอาไหนก็ล่องจุ๊น หัวดีแต่ยากจน ไม่มีตังค์เรียน ไม่มีตังค์ซื้ออาหารก็เรียนไม่ได้ครับ
4 หลังจากการพัฒนาและใช้แบบทดสอบ IQ มาหลายสิบปีแล้วลงไปล้วงข้อมูลดู คน IQ สูงเกือบทั้งหมดไม่ได้เป็นอัจฉริยะที่สร้างผลงานอะไร แค่เคยมีประวัติเรียนดีเท่านั้น จำนวนไม่น้อยเลยที่ล้มเหลวไม่เป็นท่า การณ์กลับกลายเป็นว่า สิ่งที่ทำให้คนประสบความสำเร็จจริงๆกลับกลายเป็นเชาวน์ปัญญาด้านมนุษย์สัมพันธ์และการหยั่งรู้ตนเองที่ไม่เคยถูกวัดในแบบทดสอบIQ เลย ตา Gardner แกถือเป็นเชาวน์ปัญญา แต่นักจิตวิทยากลุ่มอื่นถือว่าไม่ใช่ แต่จะเรียกเป็น EQ,AQ,RQ ที่เราเห็นกันยุคหลังๆนี่แหละครับ
โดยส่วนตัว เมื่อได้รับการ Consult ด้านแนวทางพัฒนาเด็ก แนวทางการพัฒนาการเรียนและการทำงาน ผู้เขียนจะใช้วิธีการพิจารณาร่วมกันระหว่าง หลายๆปัจจัยครับ ไม่ได้ใช้เรื่อง IQ อย่างเดียว
5 อย่าไปเชื่อเลยไอ้ที่ว่าวัดอะไร จิ้มอะไร แล้วบอกได้เลยว่าจะอัจฉริยะอย่างนั้น จะสร้างสรรค์อย่างนี้ จะประสบความสำเร็จอย่างโน้น ไม่จริงหรอก ฝันค้างเปล่าๆ หรือใครอยากจะฝันลมๆแล้งๆมีความสุขกับฝันก็ตามใจ
ต่อให้เกิดมามีพันธุกรรมดีขนาดไหน ไอ้นั่นก็แค่บุพกรรมดี มีต้นทุนมามากกว่าเขาหน่อย แต่ไม่มีวันเหนือกว่าปัจจุบันกรรมที่ตัวเราจะต้องทำดี มีวิริยะ จิตตะ วิมังสา พัฒนาตนครับ จะเป็นอัจฉริยะได้แค่ไหน ตัวต้องพยายาม ต้องพัฒนา ครอบครัวและสิ่งแวดล้อมต้องเอื้ออำนวยครับ
เอาไว้จะเล่าเรื่องการพัฒนาเด็ก 6 ขวบ เด็กไทยเรานี่แหละครับ ลูกคนธรรมดาๆอย่างเราท่านให้เป็นเด็กโอลิมปิกวิชาการด้วยคะแนนอันดับ 1 โลก ได้ทุนอันดับหนึ่งของประเทศด้วยคะแนนอันดับ 1 ประเทศ ปัจจุบันเรียนอยู่ STANFORD ว่าทำอย่างไร ของจริงไม่ขายฝัน ถ้ามีคนสนใจนะครับ เรื่องแบบนี้ไม่ดราม่า ไม่สนุกสะใจ ไม่แน่ใจว่าจะมีคนสนใจรึเปล่า
วันนี้ยาวมากแล้ว สวัสดีครับ
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่