จุดเปลี่ยนที่ต่อชีวิตโลก แต่อาจไม่ต่อชีวิตสัตว์โลก

หากจะให้คนเชื่อในความคิดที่ว่า กิจกรรมชีวิตประจำวันของมนุษย์เป็นสิ่งที่ทำให้โลกเราร้อนขึ้น จะมีเกือบทุกเสียงที่ไม่เห็นด้วย เพราะไม่มีใครเชื่อว่า กิจกรรมที่เราทำทุกวัน เช่น ซักผ้าด้วยเครื่องซักผ้า ดูทีวี ฟังเพลง ดูหนัง นั่งจิบกาแฟ พาครอบครัวไปเที่ยวแล้วทานกลางวัน พาสุดที่รักออกไปดินเนอร์ข้างนอก ไปทำงาน เรียนหนังสือ จิปาถะกิจกรรม ล้วนแล้วแต่เป็นกิจกรรมที่ทำลายโลก ใครจะเชื่อว่า การที่เราใช้ไฟฟ้าทุกครั้งจะทำลายโลก เพราะโรงงานผลิตไฟฟ้าใช้ถ่านหินเป็นเชื้อเพลิงในการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งการเผ่าถ่านหินเป็นตัวปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ตัวยง และพลังงานเชื้อเพลิงอย่างน้ำมันที่ขับเคลื่อนเครื่องยนต์เครื่องจักรต่างๆ พาเราไปนู้นไปนี้ เป็นพลังงานที่เพิ่มคาร์บอนไดออกไซด์เข้าสู่อากาศเป็นผลทำให้อากาศของโลกร้อนขึ้น ความคิดของการยอมรับว่า กิจกรรมประจำวันของมนุษย์เป็นตัวทำลายโลก คงเป็นความคิดที่ยอมรับไม่ได้

แต่,,,,,! ก็มีผู้นำ 113 ประเทศได้ลงความเห็นและยอมรับว่า สาเหตุหลักของโลกร้อนส่วนใหญ่มาจากกิจกรรมการใช้ชีวิตปกติของมนุษย์ ได้มีผู้นำทั้ง 113 ประเทศได้ลงนามเห็นด้วย ไว้ที่ปารีสเมื่อปี ค.ศ. 2007 เรียบร้อยแล้ว

นักวิทยาศาสตร์หลายท่ายเชื่อว่า โลกเคยผ่านการสูญพันธ์มาแล้ว 5 ครั้ง ทำไมจะเป็นไปไม่ได้ที่โลกจะมีการสูญพันธุ์อีกครั้ง ซึ่งครั้งนี้จะเป็นครั้งที่ 6 การที่เรายังปล่อย CO2 เข้าสู่อากาศทุกวัน ผลก็คือทำให้อากาศร้อนจัดขึ้น หากทั้งโลกยังไม่หยุดการเพิ่ม CO2 ความแตกต่างของฤดูก็จะเกิดขึ้นซึ่งนักวิทยาศาสตร์ได้เคยพูดว่า จะเกิดความแปรปรวนในอากาศอย่างรุนแรง นั้นรวมไปถึง เมื่อถึงฤดูฝน พายุ ลม ฝน เห็บต่างๆก็จะเกิดขึ้นอย่างรุนแรง เมื่อหนาวจะเกิดความหนาวจัด และเมื่อร้อนก็จะเกิดร้อนจัดเช่นกัน ความเปลี่ยนแปลงทางสภาพอากาศจะค่อยๆเปลี่ยนและเพิ่มขนาดความรุ่นแรง และสัตว์โลกจะได้รับผลกระทบโดยตรง ความร้อนในอากาศทำให้เกิดเชื้อโรคต่างๆและการแพร่เชื้อจะเร็วยิ่งขึ้น การขาดแคลนน้ำที่ทำกินจะมีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งคาดการณ์กันว่า ในปี ค.ศ. 2025 จะมีคนจำนวน 2.9 billion คน. จะประสพปัญหาการขาดแคลนน้ำ **ตรงนี้ยังไม่ได้รวมถึงจำนวนสัตว์ป่าที่ประสพเคาระห์กรรมการขาดแคลนน้ำไปด้วย**

เมื่อโลกถึงจุดเปลี่ยน อะไรๆคงจะห้ามโลกไม่ให้เปลี่ยนไม่ได้ เมื่อเรารู้ว่า ที่มาของการปล่อย CO2 98% มาจากกิจกรรมของมนุษย์ล้วนๆ ทำไมพวกเราไม่เริ่มการลด CO2 ที่ตัวเรา

ถึงแม้โลกเคย การสูญพันธุ์มา 5 ครั้งแล้ว โลกยังหมุนอยู่จนถึงทุกวันนี้ แต่สิ่งที่สูญพันธุ์ คือ พันธุ์พืช พันธุ์สัตว์อื่นๆ อาจเป็นเพราะการปรับตัวไม่ได้ หรือไม่ทันตั้งตัวต่อการเปลี่ยนแปลงของโลก พันธุ์พืชและสัตว์พวกนั้นถึงไม่ได้หมุนไปตามการเดินทางของโลก Extinction ( การสูญพันธุ์ ) จึงเป็นเพียงแค่คำตอบเดียว

เมื่อประมาณ 380 ล้านปีที่ผ่านมา ต้นไม้เองก็เคยเป็นตัวรบกวนระบบนิเวศน์ของโลก ถึงแม้เมื่อ 380 ล้านปีก่อนนู้น จะมีแต่ต้นไม้ใบหญ้ามากก็จริง แต่ต้นไม้มีการทำงานที่ค่อนข้างแตกต่งจากสัตว์โลกอื่น คือต้นไม้หายใจเข้าโดยใช้คาร์บอนไดออกไซด์ และหายใจออกเป็นออกซิเเจน เพราะต้นไม้ใช้คาร์บอนเป็นตัวเปลี่ยนรูปให้มี Lignin คือผนังเซลล์ที่ก่อตัวเป็นเยื้อไม้และเปลือกไม้ —หากมีใครช่วยเสริมข้อมูลที่ให้ได้ตอนนี้จะเป็นพระคุณอย่างมากคะ — เพราะทุกอย่างบนโลก เมื่อมีวันเกิดต้องมีวันดับ เมื่อต้นไม้แก่ตาย Lignin จึงเป็นตัวสร้างความต้านทาน โดยให้ไม้ค่อยๆย่อยสลาย ทำให้ตัวคาร์บอนถูกฝังลงไปในดิน ไม่ได้ถูกปล่อยคาร์บอนไดออกไซด์ออกมาในอากาศ ดังนั้นเมื่อต้นไม้ตายมากๆเข้า คาร์บอนไดออกไซด์จึงถูกฝั่งลงไปในดินตามไปด้วย เมื่อไม่มีคาร์บอนไดออกไซด์ไว้หายใจ ต้นไม้จะสูดออกซิเจนเพื่อหายใจ เพื่อประทังชีวิตคงไม่ได้ มีต้นไม้หลายพันธุ์สูญสิ้นไปจากโลกนี้เพราะการปรับตัวไม่ทัน ภาวะนี้เรียกได้ว่า โลกเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะผลกระทบนี้ทำให้ภาวะเรือนกระจกของโลกบางลงมาก เพราะการที่มีออกซิเจนมากเกินไป ทำให้อากาศภายในโลกหนาวมากขึ้นจนกลายเป็น ยุคน้ำแข็ง / ICE AGE ทำให้ต้นไม้หลายชนิดล้มตายไปจากโลกนี้

ส่วนยุคของมนุษย์ที่เป็นสัตว์มีความฉลาดสูง ถึงสร้างเทคโนโลยีต่างๆ เพื่อความสะดวกสบายจนกลับมาทำลายเผ่าพันธุ์ด้วยกันเอง Spencer Weart นักประวัติศาสตร์ได้กล่าวว่า มนุษย์เป็นสัตว์รุ่นแรกที่คิดค้นเทคโนโลยีการขับเคลื่อนขึ้น และเป็นเผ่าพันธุ์แรกในประวัติศาสตร์ที่สร้างเทคโนโลยีที่ผลิต CO2 เพื่อให้โลกร้อนขึ้น ซึ่งเรียกได้ว่า มนุษย์เป็นสัตว์ของโลกเพียงพันธุ์เดียวที่เพิ่มความร้อนให้กับโลกเพื่อผลประโยชน์ส่วนตัว

Kirk Johnson หัวหน้าพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติกับสิ่งแวดล้อมของ Denver Museum พูดว่า มนุษย์เป็นสัตว์พันธุ์ใหญ่พันธุ์แรกที่เดินทางบนโลก ด้วยจำนวนประชากรที่มีมาก บวกกับความสามารถทางปัญญาที่คิดค้นประดิษฐ์เครื่องมือต่างๆ เป็นการรวมตัวของพฤติกรรมที่ทำให้โลกเปลี่ยนแปลงเร็วยิ่งขึ้น

ส่วน Belnaps เห็นด้วยกับ Kirk ที่ว่า มนุษย์ไม่ได้เป็นตัวเปลี่ยนโลกแต่เป็นตัวเร่งให้โลกมีการเปลี่ยนแปลงให้เร็วยิ่งกว่าเดิม

อย่างไรก็ตามไม่ว่ามนุษย์จะเป็นสาเหตุหลักในการทำลายโลกหรือไม่ก็ตาม สิ่งมีชีวิตบนโลกจะรอดพ้นจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งนี้หรือไม่,,,,,,,,,? มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อไว้ โลกอาจจะมีรูปแบบการเปลี่ยนแปลงที่มนุษย์อาจจะไม่คุ้นกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นกับโลกและอาจทำให้มนุษย์มีความเป็นอยู่ที่ยากขึ้น การปรับตัวให้เข้ากับภาวะการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของโลก อาจทำให้มนุษย์อาจทนไม่ได้ แต่อย่างไรแล้วอะไรตอนนี้ก็ไม่สามารถหยุดการเปลี่ยนแปลงครั้งนี้ของโลก มีนักวิทยาศาสตร์หลายท่านเชื่อไว้อย่างนี้

เราผู้เป็นมนุษย์ ซึ่งเป็นสาเหตุเดียวที่ทำให้โลกร้อนจนต้องหาจุดเปลี่ยน จะได้รับผลกระทบการเปลี่ยนแปลงไปพร้อมๆกับสิ่งที่มีชีวิตอื่นๆที่ไม่ได้เป็นผู้ก่อ แต่สิ่งมีชีวิตเหล่านั้นต้องมารับบาปไปพร้อมๆกับมนุษย์ ควรหรือไม่ที่เราจะคิดหาทางที่จะทำให้เผ่าพันธุ์เราอยู่รอดจากภาวะการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งนี้ ถึงแม้โลกจะหมุนไปตามกฎเกณฑ์ธรรมชาติที่โลกได้วางไว้ แต่หากเราหาวิธีตั้งรับทัน เราอาจมีหวังที่จะช่วยมนุษย์และสรรพสิ่งบนโลกนี้

Paul Epstein รองผู้อำนวยการศูนย์การส่งเสริมสุขภาพเพื่อสิ่งแวดล้อม ในวิทยาลัย Harvard Medical School ได้ให้สัมภาษณ์ทางอีเมล์เช่นกันว่า

“ หากจะให้อธิบายให้เห็นภาพอย่างชัดๆ คือสภาพอากาศของโลกกำลังจะเปลี่ยน การใช้ เชื้อเพลิง fossil fuel (คือน้ำมัน) การเผ่าป่า (เพราะบางพื้นที่ของโลก มีการเผ่าป่าเพื่อขยายพื้นที่ทำกิน และปรับสภาพดิน เพื่อการเกษตร ) ทำให้ ระดับปริมาณ CO2 ในอากาศมีมากขึ้น พอ CO2 มีมาก จะส่งผลกระทบถึง สุขภาพของชาวโลก สภาพสิ่งแวดล้อมของโลก และ ระบบเศรษฐกิจโลก อย่างควบคุมไม่ได้

การที่จะให้อุณหภูมิของโลกอยู่กับที่หรือให้ CO2 ลดลงนั้น (คือหากเพิ่ม CO2 ในที่นี้คืออันตราย) ต้องอาศัยพลังงานที่สะอาดกว่า และที่แน่ๆไม่ใช่พลังงานเชื้อเพลิงอย่าง Fossil Fuel

เราได้เห็น การเพิ่มจำนวนของผู้ป่วยด้วยโรค Asthma คือ โรคหอบหึด และได้เสียชีวิตเนื่องมาจาก อากาศที่ร้อนอบอ้าว Heat Wave (ฮีทเวฟ) มาแล้ว การแพร่ระบาดเชื้อโรคต่างๆ เพราะอากาศที่ร้อนขึ้นบนโลกได้คร่าชีวิตผู้คนเป็นจำนวนมาก

เมื่อสภาพอากาศเปลี่ยน คือร้อนนานมากขึ้น การแพร่ะระบาดเชื้อโรคต่างๆ จะเกิดง่ายขึ้น สิ่งเหล่านี้กำลังสร้างความปั่นป่วนให้กับชาวโลก ให้กับสิ่งแวดล้อม สัตว์ป่า ป่าธรรมชาติ ระบบการทำงานของเกษรตกร และ ทำลายระบบนิเวศน์ของทะเล ซึ่งเป็นแหล่งอาหารที่สำคัญของมนุษย์

ลด CO2 ลดภาวะโลกร้อน“



David Archer ศาตราจารย์นักวิทยาศาตร์ธรณีฟิสิกส์ ได้ให้สัมภาษณ์ ทางอีเมล์เช่นกันว่า

“ อุณหภูมิของโลกได้ร้อนขึ้นมาหลายสิบปีแล้ว และมีแนวโน้มที่จะเพิ่มขึ้นจนถึงจุด Tipping Point (คือจุดสูงสุด) การที่ปริมาณของคาร์บอนไดอ๊อกไซด์ได้เพิ่มขึ้นนั้นนักวิทยาศาสตร์สามารถอธิบายได้อย่างชัดเจน คือมาจากกิจกรรมของมนุษย์ แต่สิ่งหนึ่งที่นักวิทยาศาสตร์ให้คำตอบที่แน่นอนไม่ได้คือหลังจาก Tipping Point แล้วอะไรจะเกิดขึ้น นอกจากคำว่า เราอาจจะถึงขั้นวิกฤติ

ตอนนี้นักวิทยาศาสตร์ได้ทำหน้าที่ของเค้าได้ดีที่สุดแล้ว ถึงเวลาแล้วหรือยังที่พวกเราชาวโลกต้องรู้จักเผชิญกับความจริงที่ว่า หากพวกเรายิ่งเพิ่ม CO2 ที่มาจากการเผ่าพลาญน้ำมันเชื้อเพลิงอย่าง Fossil Fuel จะทำให้อุณภูมิของโลกยิ่งร้อนขึ้น ปัญหาที่ตามมาคือ ผลกระทบที่มาจากอุณภูมิที่สูงขึ้นของโลก ”

ที่มาของข้อมูลจาก Livesciene.com
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  อนุรักษ์สิ่งแวดล้อม Reduce
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่