1. ไปแบบไม่ง้อทัวร์ วางแผนเที่ยวเอง จองที่พักเอง เดินทางเอง ไม่มีที่พักฟรีใดๆ มาม่าก็ไม่มี
2. ค่าตั๋วเครื่องบินของสายการบินประจำชาติไทย กรุงเทพฯ - นาริตะ ราคา 10,500 บาท/คน (จองระยะยาว 6 เดือน)
3. ค่าที่พัก 7 คืน ประมาณ 27,000 บาท เฉลี่ยคืนละ 3,800 บาท เฉลี่ยคนละ 1,286 บาท
4. มีลายแทงสมบัติเป็นคู่มือในการเดินทางเพียงสองแผ่นกระดาษ A4 ที่รุ่นน้องทำไว้ให้ (รุ่นน้องเป็นสาย J-Rock ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย)
5. รูปถ่ายจากกล้อง iPhone ล้วนๆ
ปล. ทริปนี้เป็นทริปแรกในชีวิต ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศก็ครั้งแรกในชีวิต
วันที่ 4 : เขาไม่เคยหายไปไหน!
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะมีจุดหมายที่เมือง Kawaguchiko ขึ้น JR จากสถานี Azusa ไปลงที่สถานี Otsuki หลังจากนั้นเราขึ้นรถไฟสาย Fujikyu railway เพื่อไปยังสถานีเป้าหมาย
ระหว่างที่นั่งรถไฟพาดผ่านภูธรแดนปลาดิบ ผมสังเกตุเห็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่กำลังซ้อมดนตรีกัน ไม่ใช่แค่น้องๆ กลุ่มนี้กลุ่มเดียว บนรถไฟยังมีน้องๆ คนอื่นที่ซ้อมดนตรี หรือแบกเครื่องดนตรีขึ้นมาบนรถไฟ แต่ที่น่าสังเกตุยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกคนไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน อาจจะเป็นโรงเรียนสอนดนตรีโดยเฉพาะ เรื่องเครื่องแบบจึงไม่จำเป็นกับโรงเรียนประเภทนี้
มันทำให้ผมคิดว่าน่าจะดีเหมือนกันถ้ามีโรงเรียนประเภทนี้ที่เมืองไทย นอกเหนือจากโรงเรียนกีฬาหรือโรงเรียนอาชีวะสายต่างๆ บ้านเราก็น่าจะมีโรงเรียนสอนดนตรีหรือศิลปะ ที่เห็นด้านวิชาการเป็นเรื่องรองจากความสนใจเฉพาะทาง
โรงเรียนที่สอนให้ความฝันเป็นจริง!
หลังจากเพลิดเพลินดูวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ในที่สุดผมก็ได้เจอฟูจิซังสักที รถไฟจอดแช่อยู่ที่สถานีใดสักแห่งก่อนถึงปลายทาง ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้เกิดเหตุขัดข้องแน่นอน ผมจึงใช้โอกาสตรงนั้นลงไปถ่ายรูป
ภูเขาอะไรจะใหญ่ขนาดมองเห็นได้จากระยะไกลขนาดนี้
และแล้วก็ถึงสถานีปลายทาง
เป้าหมายแรก คือ การไปชมทุ่งดอกพิงค์มอส ในเทศกาล Fuji Shibazakura นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ Kawaguchiko ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงสถานที่จัดงาน
หลังจากชมเทศกาลดอกไม้เสร็จ เรากลับมาที่สถานีคาวากูชิโกะ เป็นเวลาบ่ายนิดๆ แล้ว เราตกลงกันว่าจะซื้อตั๋ว Retro bus (Sightseeing bus) เพื่อไปดูสถานที่ต่างๆ รอบทะเลสาบ Saiko เพราะเป็นเส้นทางสายธรรมชาติ และสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดขึ้น
รถบัสของเรามาก่อนเวลาที่แสดงอยู่ในใบปลิวคู่มือ ผมชวนแม่และภรรยาขึ้น รถบัสแล่นผ่านทะเลสาบใหญ่และจอดตามป้ายต่างๆ นั่งมาได้สักพัก ถึงรู้ตัวว่า เราขึ้นรถผิดคัน!
สายที่เราต้องขึ้นคือสาย Saiko (Green line) แต่เราดันขึ้นสาย Kawaguchiko (Red line) อย่าหาว่าผมโง่นะครับ รถทั้งสองสายมันทาด้วยสีเหลืองเหมือนกัน ไม่ได้มีสัญลักษณ์หรือเส้นสีบ่งบอกว่ามันคือสายสีอะไร มันทำให้ผมได้รู้อย่างหนึ่งว่า "เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนญี่ปุ่น"
ดังนั้นคุณไม่ต้องคิดเลย เรื่องรถบัสหรือยานพาหนะใดก็แล้วแต่ที่กำลังรอขณะอยู่ที่ญี่ปุ่นจะมาก่อนเวลา ส่วนมาช้ากว่าเวลาอาจจะพอเป็นไปได้ หากเกิดเหตุขัดข้องใดๆ แต่ผมเชื่อว่าโอกาสเกิดมีน้อยมาก เวลาที่แสดงอยู่ในตารางคู่มือหรือตามป้ายต่างๆ จะคลาดเคลื่อนบวกลบไม่เกิน 1-2 นาทีเท่านั้น
เราเสียเวลาไปไม่น้อยในการนั่งรถย้อนกลับมาที่สถานีคาวากูชิโกะ และต้องนั่งรอรถสายสีเขียวเที่ยวต่อไปอีกสักพัก ตอนแรกคิดว่าจะกลับโตเกียวเลยดีมั้ย แต่คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เลยเลือกที่จะไปต่อ
และรถสายสีเขียวที่เรารอก็มาถึง เราดูในใบปลิวคู่มือ มีจุดไฮไลท์อยู่หลายที่ แต่ด้วยเวลาที่เหลือน้อย เนื่องจากบ่ายแก่ๆ แล้ว กลัวว่าจะกลับโตเกียวดึกเกินไป จึงเลือกจุดหมายที่เราจะแวะลงแค่ที่เดียว คือ หมายเลข 68
[CR] Family Backpacker : <<<Go (2) Japan (3) คน (8) วัน (7) คืน>>> ภาค 2 <<<
2. ค่าตั๋วเครื่องบินของสายการบินประจำชาติไทย กรุงเทพฯ - นาริตะ ราคา 10,500 บาท/คน (จองระยะยาว 6 เดือน)
3. ค่าที่พัก 7 คืน ประมาณ 27,000 บาท เฉลี่ยคืนละ 3,800 บาท เฉลี่ยคนละ 1,286 บาท
4. มีลายแทงสมบัติเป็นคู่มือในการเดินทางเพียงสองแผ่นกระดาษ A4 ที่รุ่นน้องทำไว้ให้ (รุ่นน้องเป็นสาย J-Rock ไปเที่ยวญี่ปุ่นบ่อย)
5. รูปถ่ายจากกล้อง iPhone ล้วนๆ
ปล. ทริปนี้เป็นทริปแรกในชีวิต ไปญี่ปุ่นครั้งแรกในชีวิต ขึ้นเครื่องบินไปต่างประเทศก็ครั้งแรกในชีวิต
วันที่ 4 : เขาไม่เคยหายไปไหน!
วันนี้เราตื่นกันแต่เช้าเพราะมีจุดหมายที่เมือง Kawaguchiko ขึ้น JR จากสถานี Azusa ไปลงที่สถานี Otsuki หลังจากนั้นเราขึ้นรถไฟสาย Fujikyu railway เพื่อไปยังสถานีเป้าหมาย
ระหว่างที่นั่งรถไฟพาดผ่านภูธรแดนปลาดิบ ผมสังเกตุเห็นนักเรียนกลุ่มหนึ่งที่กำลังซ้อมดนตรีกัน ไม่ใช่แค่น้องๆ กลุ่มนี้กลุ่มเดียว บนรถไฟยังมีน้องๆ คนอื่นที่ซ้อมดนตรี หรือแบกเครื่องดนตรีขึ้นมาบนรถไฟ แต่ที่น่าสังเกตุยิ่งไปกว่านั้นคือ ทุกคนไม่ได้ใส่ชุดนักเรียน อาจจะเป็นโรงเรียนสอนดนตรีโดยเฉพาะ เรื่องเครื่องแบบจึงไม่จำเป็นกับโรงเรียนประเภทนี้
มันทำให้ผมคิดว่าน่าจะดีเหมือนกันถ้ามีโรงเรียนประเภทนี้ที่เมืองไทย นอกเหนือจากโรงเรียนกีฬาหรือโรงเรียนอาชีวะสายต่างๆ บ้านเราก็น่าจะมีโรงเรียนสอนดนตรีหรือศิลปะ ที่เห็นด้านวิชาการเป็นเรื่องรองจากความสนใจเฉพาะทาง
โรงเรียนที่สอนให้ความฝันเป็นจริง!
หลังจากเพลิดเพลินดูวิวทิวทัศน์สองข้างทาง ในที่สุดผมก็ได้เจอฟูจิซังสักที รถไฟจอดแช่อยู่ที่สถานีใดสักแห่งก่อนถึงปลายทาง ไม่รู้ด้วยเหตุผลอะไร แต่ผมรู้สึกได้ว่าไม่ได้เกิดเหตุขัดข้องแน่นอน ผมจึงใช้โอกาสตรงนั้นลงไปถ่ายรูป
ภูเขาอะไรจะใหญ่ขนาดมองเห็นได้จากระยะไกลขนาดนี้
และแล้วก็ถึงสถานีปลายทาง
เป้าหมายแรก คือ การไปชมทุ่งดอกพิงค์มอส ในเทศกาล Fuji Shibazakura นั่งรถบัสจากสถานีรถไฟ Kawaguchiko ประมาณชั่วโมงกว่าๆ ก็ถึงสถานที่จัดงาน
หลังจากชมเทศกาลดอกไม้เสร็จ เรากลับมาที่สถานีคาวากูชิโกะ เป็นเวลาบ่ายนิดๆ แล้ว เราตกลงกันว่าจะซื้อตั๋ว Retro bus (Sightseeing bus) เพื่อไปดูสถานที่ต่างๆ รอบทะเลสาบ Saiko เพราะเป็นเส้นทางสายธรรมชาติ และสามารถเห็นภูเขาไฟฟูจิได้ชัดขึ้น
รถบัสของเรามาก่อนเวลาที่แสดงอยู่ในใบปลิวคู่มือ ผมชวนแม่และภรรยาขึ้น รถบัสแล่นผ่านทะเลสาบใหญ่และจอดตามป้ายต่างๆ นั่งมาได้สักพัก ถึงรู้ตัวว่า เราขึ้นรถผิดคัน!
สายที่เราต้องขึ้นคือสาย Saiko (Green line) แต่เราดันขึ้นสาย Kawaguchiko (Red line) อย่าหาว่าผมโง่นะครับ รถทั้งสองสายมันทาด้วยสีเหลืองเหมือนกัน ไม่ได้มีสัญลักษณ์หรือเส้นสีบ่งบอกว่ามันคือสายสีอะไร มันทำให้ผมได้รู้อย่างหนึ่งว่า "เวลาเป็นสิ่งสำคัญมากสำหรับคนญี่ปุ่น"
ดังนั้นคุณไม่ต้องคิดเลย เรื่องรถบัสหรือยานพาหนะใดก็แล้วแต่ที่กำลังรอขณะอยู่ที่ญี่ปุ่นจะมาก่อนเวลา ส่วนมาช้ากว่าเวลาอาจจะพอเป็นไปได้ หากเกิดเหตุขัดข้องใดๆ แต่ผมเชื่อว่าโอกาสเกิดมีน้อยมาก เวลาที่แสดงอยู่ในตารางคู่มือหรือตามป้ายต่างๆ จะคลาดเคลื่อนบวกลบไม่เกิน 1-2 นาทีเท่านั้น
เราเสียเวลาไปไม่น้อยในการนั่งรถย้อนกลับมาที่สถานีคาวากูชิโกะ และต้องนั่งรอรถสายสีเขียวเที่ยวต่อไปอีกสักพัก ตอนแรกคิดว่าจะกลับโตเกียวเลยดีมั้ย แต่คิดว่าไหนๆ ก็มาแล้ว ก็เลยเลือกที่จะไปต่อ
และรถสายสีเขียวที่เรารอก็มาถึง เราดูในใบปลิวคู่มือ มีจุดไฮไลท์อยู่หลายที่ แต่ด้วยเวลาที่เหลือน้อย เนื่องจากบ่ายแก่ๆ แล้ว กลัวว่าจะกลับโตเกียวดึกเกินไป จึงเลือกจุดหมายที่เราจะแวะลงแค่ที่เดียว คือ หมายเลข 68
ดูแผนที่ขนาดใหญ่ขึ้น