เมื่อต้องการจะรู้จักขันธ์ 5 แท้จริง

เมื่อต้องการรู้จักขันธ์ 5 แท้จริง ตามความเป็นจริง จงมีอินทรียร์สังวร และเจริญสติสัมปชัญญะ

พระไตรปิฏกเล่มที่ 9
--------------------
                                      อินทรียสังวร
          [๑๒๒] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย?
ดูกรมหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ เห็นรูปด้วยจักษุแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ
เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมจักขุนทรีย์ ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามก
คืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่ารักษาจักขุนทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในจักขุนทรีย์
ภิกษุฟังเสียงด้วยโสต ... ดมกลิ่นด้วยฆานะ ... ลิ้มรสด้วยชิวหา ... ถูกต้องโผฏฐัพพะด้วยกาย...
รู้แจ้งธรรมารมณ์ด้วยใจแล้ว ไม่ถือนิมิต ไม่ถืออนุพยัญชนะ เธอย่อมปฏิบัติเพื่อสำรวมมนินทรีย์
ที่เมื่อไม่สำรวมแล้ว จะเป็นเหตุให้อกุศลธรรมอันลามกคืออภิชฌาและโทมนัสครอบงำนั้น ชื่อว่า
รักษามนินทรีย์ ชื่อว่าถึงความสำรวมในมนินทรีย์ ภิกษุประกอบด้วยอินทรีย์สังวรอันเป็นอริยะ
เช่นนี้ ย่อมได้เสวยสุขอันไม่ระคนด้วยกิเลสในภายใน ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้
แล ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้คุ้มครองทวารในอินทรีย์ทั้งหลาย.
                                 สติสัมปชัญญะ
          [๑๒๓] ดูกรมหาบพิตร อย่างไร ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ? ดูกร
มหาบพิตร ภิกษุในธรรมวินัยนี้ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการก้าว ในการถอย ในการแล
ในการเหลียว ในการคู้เข้า ในการเหยียดออก ในการทรงสังฆาฏิ บาตรและจีวร ในการฉัน
การดื่ม การเคี้ยว การลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระปัสสาวะ ย่อมทำความรู้สึกตัวในการเดิน การยืน
การนั่ง การหลับ การตื่น การพูด การนิ่ง ดูกรมหาบพิตร ด้วยประการดังกล่าวมานี้แล
ภิกษุชื่อว่าเป็นผู้ประกอบด้วยสติสัมปชัญญะ.
------------------

      อธิบาย   เมื่อเจริญทั้งอินทรียสังวร และ สติสัมปชัญญะ ที่เจริญขึ้นก็จะรู้ชัดหรือเท่าทันขันธ์ ที่เป็นปัจจุบันขณะอยู่ทั้ง 1.รูป 2.เวทนา 3.สัญญา 4.สังขาร 5.วิญญาณ หรือกล่าวโดยย่อ คือ รูป-นาม ที่ปรากฏอยู่เนื่องๆ ในปัจจุบันขณะนั้น  ก็จะทำให้ นามรูปปริเฉทญาณ เจริญขึ้น

      เมื่อเจริญทั้ง อินทรียสังวร และ สติสัมปชัญญะอย่างต่อเนื่องและอยู่เนืองๆ  ก็จะเห็นความจริงว่า บางครั้งรูป เกิดก่อน นามเกิดตามที่หลัง บางครั้ง นามเกิดก่อน รูปเกิดที่หลัง แล้วก็จะทราบชัดว่า รูปกับนาม ต่างก็เป็นเหตุเป็นปัจจัยกัน เกิดสืบต่อกันต่อเนื่องในปัจจุบันขณะนั้นๆ  ก็จะเกิดปัญญาหรือญาณ ที่เรียกว่า ปัจจัยคหญาณขึ้น.

        เพราะทั้งอินทรียสังวร และเจริญสติสัมปชัญญะ นั้นเป็นการเจริญสติปัฏฐาน 4 ในข้อ 1. พิจารณาเห็นกายในกาย

        ดังพุทธพจน์ในพระไตรปิฏกเล่มที่ 12.
-----------------
                    อิริยาปถบรรพ
         [๑๓๔] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเมื่อเดิน ก็รู้ชัดว่าเราเดิน เมื่อยืน
ก็รู้ชัดว่า เรายืน เมื่อนั่ง ก็รู้ชัดว่า เรานั่ง เมื่อนอน ก็รู้ชัดว่า เรานอน หรือเธอตั้งกายไว้
ด้วยอาการอย่างใดๆ ก็รู้ชัดอาการอย่างนั้นๆ. ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุย่อมพิจารณาเห็นกายใน
กายภายในบ้าง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าพิจารณาเห็นกายในกายอยู่.
                    จบ อริยาปถบรรพ.
                   สัมปชัญญบรรพ
          [๑๓๕] ดูกรภิกษุทั้งหลาย อีกประการหนึ่ง ภิกษุเป็นผู้กระทำสัมปชัญญะในการก้าวไป
และถอยกลับ ในการแลไปข้างหน้า และเหลียวซ้ายเหลียวขวา ในการคู้อวัยวะเข้า และเหยียด
ออก ในการทรงผ้าสังฆาฏิ บาตร และจีวร ในการกิน ดื่ม เคี้ยว ลิ้ม ในการถ่ายอุจจาระ
และปัสสาวะ ในเวลาเดิน ยืน นั่ง นอน หลับ ตื่น พูด นิ่ง. ดังพรรณนามาฉะนี้ ภิกษุ
ย่อมพิจารณาเห็นกายในกายภายในบ้าง ฯลฯ ดูกรภิกษุทั้งหลาย แม้อย่างนี้ ภิกษุชื่อว่าพิจารณา
เห็นกายในกายอยู่.
                    จบ สัมปชัญญบรรพ.
--------------------

       หมายเหตุ บางท่านที่มุ้งมั่นทางธรรมตามพระพุทธเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว  เข้าใจบัญญัติก่อน แล้วปฏิบัติธรรมจนรู้ชัดในภายหลัง บางท่านปฏิบัติธรรมก่อนจนรู้ชัด แล้วเข้าใจบัญญัติในภายหลัง.
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่