ท่านที่เคารพรักครับ เรื่องที่เกิดขึ้นที่ สาระขัณฑ์ อาจจะเกิดขึ้นที่ พนมเปญ ไซ่ง่อน หรือแม้แต่กรุงเทพฯก็ได้
เมืองที่เต็มไปด้วยคำเล่าลือ ความฝัน คำทำนาย นิมิต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่บีบรัดตัว ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
ทางออกของผู้คนบนแผ่นดินนั้น มีอยู่ไม่มากนัก และบ่อยครั้งที่ทางออกของชีวิตนั้น เป็นทางออกที่ไม่มีทางเลือกอีกด้วย
ต้นไม้ที่นี่ ให้โชคให้ลาภได้ ทะเบียนรถที่นี่ ให้โชค ให้ลาภได้
สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาแปลกประหลาดที่นี่ ให้โชค ให้ลาภได้ อายุขัยของพระที่นี่ ให้โชคให้ลาภได้
ที่นี่เป็นเมืองเกษตรกรรม ตอนเด็กๆ อาจจะเคยได้ยินเสียงเพลงในทีวีขาวดำที่ร้องว่า
" เกษตรกร สันหลัง กระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรือง อำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม "
แต่เกษตรกรเวลานี้ ไม่มีน้ำให้ปลูกข้าว ไม่มีน้ำให้ทำนา ในเวลาเดียวกับที่ข้าราชการที่มีหน้าที่กำกับดูแล ก็สวดมนต์อ้อนวอนขอฝน
ขณะเดียวกัน คนอีกจำนวนหนึ่ง อาจจะไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจอันใดเลย ก็เพราะพวกเขาเป็นผู้กำหนดและสร้างระเบียบต่างๆขึ้นมา
เพื่อพวกเขาเอง จะได้สุขสบาย
แต่กับคนส่วนมากในสังคมแล้ว ยังคงเหมือนมดที่ดิ้นรนในแอ่งกะทะร้อน ความจริงชีวิตที่แสวงหา เป็นชีวิตที่ยุ่งยาก
โดดเดี่ยวและเจ็บปวด กว่าจะได้คำตอบมาในแต่ละช่วงของชีวิตนั้น ไม่เพียงแต่จะพบกับความล้มเหลว ความผิดหวัง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
แต่ยังหมายความถึงว่า แต่ละช่วงของชีวิต เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ร่องรอยของอดีตอีกด้วย
เคยมีปราชญ์ท่านหนึ่งเคยพูดเอาไว้อย่างเปี่ยมด้วยความหมายว่า
" ฝันคือการเปล่งประกาย ความคิด ความปราถนา และ หวัง คือความพยายามที่จะต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดเป็นจริง
หากต้องสูญเสียอะไรไปทั้งหมด ก็ขอให้ความหวังเป็นสิ่งสุดท้าย ที่จะต้องสูญเสีย ......"
โชคดีที่มนุษย์มีความหวัง เป็นสมบัติล้ำค่า ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จริงอยู่ที่ว่า เส้นทางเดินจากอู่หรือจากเปลไกว
ไปถึงหลุมฝังหรือเชิงตะกอน อาจจะไม่ต้องใช้เวลายาวนานนัก แต่ระหว่างนั้น มนุษย์เราจะหวัง สักกี่หวัง ก็ได้ ไม่มีขีดจำกัด
สำหรับคำว่า " อิสระภาพ " คือก้าวหนึ่งของความหวังและการแสวงหา มนุษย์ต้องการอิสระภาพ ต้องการศักดิ์ศรี
มนุษย์จึงแสวงหา และต่อสู้เพื่อให้ได้มา
ซึ่งอิสระภาพ หรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่มีใครให้เราฟรี
ไม่มีใครให้เราฟรี มีแต่จะเอาไปจากเรา
คำว่าสิทธิ เสรีภาพ อิสระภาพ ย่อมเกี่ยวข้องกับการเมือง การเมืองย่อมยึดโยงกับประชาชน
และประชาชนย่อมมีฐานรากยึดโยงกับวัฒนธรรม และดนตรี ก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ผูกพันกับชีวิตมนุษย์
และถ้าหากเราเกิดมาเป็นคนหนึ่ง ที่ปราถนาจะเป็นมนุษย์ที่แสวงหาคุณค่าของของชีวิต มากกว่าการกิน อยู่ สืบพันธ์
มนุษย์ผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะค้นหารากเหง้าของตนเอง และเมื่อค้นพบ ก็แสดงออกมาจาก" จิตใจ "
และแต่ละคนที่มีความคิดอ่านที่ใกล้เคียงกัน ก็จะเคลื่อนตัวเข้าหากัน
นั่นคือ เสียงเพลง
เสียงเพลงต่างชักนำคนที่มี " อุดมการณ์เดียวกัน " มาพบกัน แน่นอนว่าในกระแสธารแห่งเนื้อหาบทเพลงนั้น
หากมองลึกลงในรายละเอียด อาจจะสัมผัสได้ถึงความท้าทายอำนาจ หรือเรียกร้องต่อรากเหง้าสังคมเก่าที่ปิดกั้น
และคนหนุ่ม คนสาวจะฝ่าออกไป ใช้พลังของบทเพลง เป็นหัวหอกสำคัญคอยทิ่มแทงสังคมเก่า ที่ไม่เป็นธรรม หรือต่อต้านสงคราม
ด้วยเนื้อหาของความเป็นจริง ที่ตีแผ่ออกมา ด้วยความงดงามของภาษา ด้วยบทกวี
มนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ที่ไม่ใช่มีตรรกะการใช้ชีวิตไปตามสายลม แสงแดด แบบเกิดมาทำไมกัน กินอยู่ไปวันๆ เท่านั้นหรือ ?
โดยไม่ลืมหู ลืมตาขึ้นมาดูเดือน ดูตะวัน ว่าโลกพัฒนาไปถึงไหนๆกันแล้ว
การเมืองย่อมแยกไม่ออกจาก เสียงเพลง
บทเพลงคือศิลปะที่รับใช้สังคมมนุษย์ อย่างแท้จริง บทเพลงก่อให้เกิดการรวมพลังของคนหนุ่ม คนสาว
นานมาแล้ว ที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ที่ปกในของหนังสือกำลังภายใน ผลงานของท่านโกวเล้งเรื่อง " ฤทธิ์มีดสั้น "
อันได้มาจากเพื่อนหญิงที่เป็นหมอที่เธอซื้อให้ที่อุดรฯ
ข้อความนั้นเขียนเอาไว้ว่า
" ข้าพเจ้ามีความหลัง กับบางสถานที่
มีบางบทเพลง ที่ลึกซึ้ง ตรึงใจ
หนังสือบางเล่ม ควรเก็บไว้บนหิ้ง
ผู้หญิงบางคน ควรเก็บไว้ในใจ "
ท่านที่เคารพรักครับ การเมืองแยกไม่ออกจากประชาชน ประชาชนแยกไม่ออกจากบทเพลง
ไม่ว่าจะเป็นวัยใดๆ คนทุกๆคนต่างก็มีวัยหนุ่ม วัยสาว และในวันเวลาที่ผ่านมานั้น
คุณเคยทำอะไรไปบ้าง ในวัยหนุ่ม วัยสาว ?
ขอน้อมคารวะ บุคลากร ที่แต่งบทกวี และ กระทู้ห้องเพลง ทุกๆท่านครับ
จากเหมยถึงกาสะลอง จากโกวเล้งถึงคุณยิ่งลักษณ์ ( บทกวี ห้องเพลง การเมือง 1 )
เมืองที่เต็มไปด้วยคำเล่าลือ ความฝัน คำทำนาย นิมิต ท่ามกลางสภาพแวดล้อมที่บีบรัดตัว ทั้งทางเศรษฐกิจ สังคมและการเมือง
ทางออกของผู้คนบนแผ่นดินนั้น มีอยู่ไม่มากนัก และบ่อยครั้งที่ทางออกของชีวิตนั้น เป็นทางออกที่ไม่มีทางเลือกอีกด้วย
ต้นไม้ที่นี่ ให้โชคให้ลาภได้ ทะเบียนรถที่นี่ ให้โชค ให้ลาภได้
สิ่งมีชีวิตที่เกิดมาแปลกประหลาดที่นี่ ให้โชค ให้ลาภได้ อายุขัยของพระที่นี่ ให้โชคให้ลาภได้
ที่นี่เป็นเมืองเกษตรกรรม ตอนเด็กๆ อาจจะเคยได้ยินเสียงเพลงในทีวีขาวดำที่ร้องว่า
" เกษตรกร สันหลัง กระดูกสันหลังของชาติ ไทยจะเรือง อำนาจ เพราะไทยเป็นชาติกสิกรรม "
แต่เกษตรกรเวลานี้ ไม่มีน้ำให้ปลูกข้าว ไม่มีน้ำให้ทำนา ในเวลาเดียวกับที่ข้าราชการที่มีหน้าที่กำกับดูแล ก็สวดมนต์อ้อนวอนขอฝน
ขณะเดียวกัน คนอีกจำนวนหนึ่ง อาจจะไม่จำเป็นต้องเดือดเนื้อร้อนใจอันใดเลย ก็เพราะพวกเขาเป็นผู้กำหนดและสร้างระเบียบต่างๆขึ้นมา
เพื่อพวกเขาเอง จะได้สุขสบาย
แต่กับคนส่วนมากในสังคมแล้ว ยังคงเหมือนมดที่ดิ้นรนในแอ่งกะทะร้อน ความจริงชีวิตที่แสวงหา เป็นชีวิตที่ยุ่งยาก
โดดเดี่ยวและเจ็บปวด กว่าจะได้คำตอบมาในแต่ละช่วงของชีวิตนั้น ไม่เพียงแต่จะพบกับความล้มเหลว ความผิดหวัง ครั้งแล้ว ครั้งเล่า
แต่ยังหมายความถึงว่า แต่ละช่วงของชีวิต เต็มไปด้วยรอยแผลเป็น ร่องรอยของอดีตอีกด้วย
เคยมีปราชญ์ท่านหนึ่งเคยพูดเอาไว้อย่างเปี่ยมด้วยความหมายว่า
" ฝันคือการเปล่งประกาย ความคิด ความปราถนา และ หวัง คือความพยายามที่จะต้องลงมือปฏิบัติ เพื่อให้เกิดเป็นจริง
หากต้องสูญเสียอะไรไปทั้งหมด ก็ขอให้ความหวังเป็นสิ่งสุดท้าย ที่จะต้องสูญเสีย ......"
โชคดีที่มนุษย์มีความหวัง เป็นสมบัติล้ำค่า ที่ติดตัวมาตั้งแต่เกิด จริงอยู่ที่ว่า เส้นทางเดินจากอู่หรือจากเปลไกว
ไปถึงหลุมฝังหรือเชิงตะกอน อาจจะไม่ต้องใช้เวลายาวนานนัก แต่ระหว่างนั้น มนุษย์เราจะหวัง สักกี่หวัง ก็ได้ ไม่มีขีดจำกัด
สำหรับคำว่า " อิสระภาพ " คือก้าวหนึ่งของความหวังและการแสวงหา มนุษย์ต้องการอิสระภาพ ต้องการศักดิ์ศรี
มนุษย์จึงแสวงหา และต่อสู้เพื่อให้ได้มา
ซึ่งอิสระภาพ หรือศักดิ์ศรีของมนุษย์ ไม่มีใครให้เราฟรี
ไม่มีใครให้เราฟรี มีแต่จะเอาไปจากเรา
คำว่าสิทธิ เสรีภาพ อิสระภาพ ย่อมเกี่ยวข้องกับการเมือง การเมืองย่อมยึดโยงกับประชาชน
และประชาชนย่อมมีฐานรากยึดโยงกับวัฒนธรรม และดนตรี ก็เป็นศิลปะแขนงหนึ่งที่ผูกพันกับชีวิตมนุษย์
และถ้าหากเราเกิดมาเป็นคนหนึ่ง ที่ปราถนาจะเป็นมนุษย์ที่แสวงหาคุณค่าของของชีวิต มากกว่าการกิน อยู่ สืบพันธ์
มนุษย์ผู้นั้นย่อมมีสิทธิ์ที่จะค้นหารากเหง้าของตนเอง และเมื่อค้นพบ ก็แสดงออกมาจาก" จิตใจ "
และแต่ละคนที่มีความคิดอ่านที่ใกล้เคียงกัน ก็จะเคลื่อนตัวเข้าหากัน
นั่นคือ เสียงเพลง
เสียงเพลงต่างชักนำคนที่มี " อุดมการณ์เดียวกัน " มาพบกัน แน่นอนว่าในกระแสธารแห่งเนื้อหาบทเพลงนั้น
หากมองลึกลงในรายละเอียด อาจจะสัมผัสได้ถึงความท้าทายอำนาจ หรือเรียกร้องต่อรากเหง้าสังคมเก่าที่ปิดกั้น
และคนหนุ่ม คนสาวจะฝ่าออกไป ใช้พลังของบทเพลง เป็นหัวหอกสำคัญคอยทิ่มแทงสังคมเก่า ที่ไม่เป็นธรรม หรือต่อต้านสงคราม
ด้วยเนื้อหาของความเป็นจริง ที่ตีแผ่ออกมา ด้วยความงดงามของภาษา ด้วยบทกวี
มนุษย์ทุกผู้ ทุกนาม ที่ไม่ใช่มีตรรกะการใช้ชีวิตไปตามสายลม แสงแดด แบบเกิดมาทำไมกัน กินอยู่ไปวันๆ เท่านั้นหรือ ?
โดยไม่ลืมหู ลืมตาขึ้นมาดูเดือน ดูตะวัน ว่าโลกพัฒนาไปถึงไหนๆกันแล้ว
การเมืองย่อมแยกไม่ออกจาก เสียงเพลง
บทเพลงคือศิลปะที่รับใช้สังคมมนุษย์ อย่างแท้จริง บทเพลงก่อให้เกิดการรวมพลังของคนหนุ่ม คนสาว
นานมาแล้ว ที่ข้าพเจ้าเขียนไว้ที่ปกในของหนังสือกำลังภายใน ผลงานของท่านโกวเล้งเรื่อง " ฤทธิ์มีดสั้น "
อันได้มาจากเพื่อนหญิงที่เป็นหมอที่เธอซื้อให้ที่อุดรฯ
ข้อความนั้นเขียนเอาไว้ว่า
" ข้าพเจ้ามีความหลัง กับบางสถานที่
มีบางบทเพลง ที่ลึกซึ้ง ตรึงใจ
หนังสือบางเล่ม ควรเก็บไว้บนหิ้ง
ผู้หญิงบางคน ควรเก็บไว้ในใจ "
ท่านที่เคารพรักครับ การเมืองแยกไม่ออกจากประชาชน ประชาชนแยกไม่ออกจากบทเพลง
ไม่ว่าจะเป็นวัยใดๆ คนทุกๆคนต่างก็มีวัยหนุ่ม วัยสาว และในวันเวลาที่ผ่านมานั้น
คุณเคยทำอะไรไปบ้าง ในวัยหนุ่ม วัยสาว ?
ขอน้อมคารวะ บุคลากร ที่แต่งบทกวี และ กระทู้ห้องเพลง ทุกๆท่านครับ