Credit : อ.ขจิต ฝอยทอง
ที่มา: Weatherford, J. Genghis Khan, Three river press, NY, 2004. ISBN: 0-609-80964-4
..... อ่านต่อได้ที่:
https://www.gotoknow.org/posts/86126
และ Google
อาณาจักรมองโกล หลังรัชสมัย ของ ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ เจงกิส ข่าน ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์โลก
เจงกิสข่าน
เพียง 1 เดียว ที่ยังคงส่งผลต่อโลก โดยตรงมาจวบจนทุกวันนี้ เพราะนอกจากในสมัยที่อาณาจักร แผ่อำนาจสุดขีด จะมีขนาดใหญ่กว่าสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งอาณาจักรกรีก ถึง 4 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรโรมันอันเรืองอำนาจ ถึง 2 เท่าแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังระบุว่า เลือดเนื้อเชื้อไขชาวมองโกล ในอดีตปัจจุบันได้กระจายกันอยู่ในแหล่งอารยะธรรมที่สำคัญๆ ต่างๆของโลกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
เกาหลี จีน อาหรับ ยุโรปตะวันออก อุซเบ คาซัก ฯลฯ รัสเซีย อินเดีย หรือแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม
กุบไลข่านหรือ คูปิไล เป็นหลานของเจงกีสข่าน ผู้โค่นล้มราชวงศ์ซ่ง ปฐมกษัตริย์แห่งต้าหยวน
เมื่อมองโกลบุกยึดเมืองจีน

กุบไลข่านนั้นค่อยๆรุกคืบไปในการยึดเมืองจีน วิธีการที่ใช้นั้นกุบไลข่านนั้นใช้การเปลี่ยนแปลงความคิดของคนจีนเป็นหลัก แล้วก็ใช้วิธีการทหารเป็นงานรอง
Dr. Weatherford บอกว่า สมัยก่อนเนี่ยคนจีนนะกระจัดกระจาย แต่ละท้องถิ่นก็พูดภาษาที่ต่างกัน มีวัฒนธรรมค่อนข้างจะต่างกัน ไอ้ที่เหมือนกันนะคือภาษาเขียน ดังนั้นคนจีนนั้นรวมกันได้ก็ได้อย่างหลวมๆผ่านวรรณกรรมตัวอักษรของจีน แล้ววรรณกรรมของจีนนั้นก็พยายามพูดถึงการรวมชาติที่แท้จริงของคนจีนที่รวมกันทั้งหมดทั้งด้านภาษาพูด ภาษาเขียนและวัฒนธรรมหลักๆ
กุบไลข่านนั้นก็รู้เรื่องนี้ดี เพราะว่าในราชสำนักของกุบไลข่านก็มีคนจีนทำงานกันหลายคน กุบไลข่านก็เลยขายฝันให้คนจีน โดยบอกว่าตัวกุบไลข่านนี่แหละจะเป็นคนรวมชาติจีนทั้งหมดเอง
กุบไลข่านก็ดำเนินตามแนวทางของเจงกีสข่านในการรวมมองโกล สมัยเจงกีสข่านเนี่ยรวมเผ่ามองโกล ก็ใช้มองโกลเป็นหลัก
แต่กุบไลข่านนั้นต่างกัน จะใช้มองโกลเป็นหลัก แล้วจะเรียกว่านโยบายรวมชาติจีนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ใช้คนจีนเป็นหลัก (ใช้คนฮั่น) พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว กุบไลข่านก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนจีนซะเลย มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Zhiyuan ที่แปลว่าการเริ่มต้นที่สมบูรณ์ มีการตั้งราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นมา ที่หมายความว่า การเริ่มต้นใหม่ที่ยิ่งใหญ่
แต่แค่เปลี่ยนชื่อมันจะไปรอดหรือ ดังนั้นท่านกุบไลข่านของเราก็เปลี่ยนโฉมมองโกลซะใหม่ โดยการรับเอาวัฒนธรรมจีนบางส่วนมาเช่น การสร้างสุสาน ซึ่งผิดหลักการคนมองโกลมาก เนื่องจากคนมองโกลนั้นไม่ยุ่งอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว นอกจากสร้างสุสานแล้วก็มีการตั้งป้ายชื่อบรรพบุรุษ แล้วก็มีการวาดรูปเหมือนของเจงกีสข่านให้ด้วย
มาร์โคโปโล เจริญสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์หยวน
แค่นั้นยังไม่พอ เพราะท่านกุบไลข่านของเรานั้นทันสมัยมาก เอากำลังทหารยึดเมืองเมืองไหนได้ก็ตาม จะรีบตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมาในทันที โดยคณะกรรมการสมานฉันท์นั้นจะรีบเข้าไปดูแลพื้นที่ ซ่อมแซมความเสียหายของวัด โรงเรียน ศาลเจ้าในเมืองนั้นๆ ไปดูแลสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเมืองที่ถูกยึด
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า กุบไลข่านนั้นดูจะเป็นนักปกครองมากกว่านักรบ มีการสนใจถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย ผิดกับข่านมองโกลคนอื่นๆ
เมื่อบุกไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนจีนด้วย ท่านข่านอยู่แบบเผ่าเร่ร่อนก็คงจะไม่ได้ กุบไลข่านก็เลยสร้างวังขึ้นมาครับที่เมืองใหม่ชื่อว่าเมือง DaDu หรือปัจจุบันก็คือเมืองปักกิ่งนี่เอง

Dr. Weatherford นั้นบอกว่าการสร้างเมืองปักกิ่งเนี่ย มองโกลมีการวางผังเมืองด้วย คือเมืองจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นตารางๆ แล้วมาโคโปโลนั้นก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนตะวันออกสมัยกุบไลข่านที่เมือง DaDu นี่แหละครับ ซึ่งตามบันทึกของมาโคโปโล เมืองนี้นั้นเต็มไปด้วยคนแทบทั่วทุกมุมโลก ทุกศาสนาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกโรมันคาทอลิก พวกมุสลิม คนพุทธ โยคะอินเดีย เต๋า ขงจื้อ เรียกว่าอยู่รวมกันภายใต้ชายคากุบไลข่าน

แต่ไม่ว่ากุบไลข่านจะโพทนาว่าตัวเองนั้นเป็นคนจีนยังไง แต่จริงๆแล้ว "กุบไลข่าน"นั้นอยู่แบบมองโกลแท้ๆเพราะภายใต้กำแพงวังที่สูงสง่านั้น กลับเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ที่มีสัตว์มีม้ามากมายวิ่งกันอยู่ เรียกว่ายกทุ่งหญ้า steppe ที่บรรพบุรุษเคยอยู่มาไว้ภายในกำแพงวังนี่แหละ คนมองโกลที่อยู่ในวังก็อยู่เป็นเต๊นท์ๆ ซึ่ง Dr. Weatherford นั้นเชื่อว่านี่คือที่มาของลักษณะพระราชวังต้องห้ามที่มีการแบ่งเป็นตำหนักๆ
มองโกลกับการปกครองจีน
กุบไลข่านนั้นใช้วิธีการยึดไปเรื่อยๆ สมัยนั้นราชวงศ์ซ่งเองก็อ่อนแอ ขุนนางก็ขี้โกง ด้านการทหารมองโกลเองก็แข่งแกร่งมาตั้งนานแล้ว แถมรบทีไรก็เน้นการโฆษณาชวนเชื่ออีก แต่ที่กินใจประชาชนสุดๆก็คือการปกครอง
เมื่อมองโกลนั้นได้ออกกฏหมายปกครองหลายๆอย่างในเมืองจีน เช่น การรับรองสิทธิในพื้นที่ของคนจีน การลดภาษี พัฒนาถนนหาทาง ลดโทษให้กับนักโทษ มีการออกกฏหมายให้ดูมีมนุษยธรรมมากขึ้น เพื่อให้ไม่ดูป่าเถื่อนเหมือนที่คนจีนแต่เดิมคิดไว้ เช่นไม่มีการทรมานให้สารภาพผิด นอกเสียจากว่าหลักฐานนั้นมัดแน่น
รวมไปถึงการตั้งระบบควบคุมนักโทษ คือนักโทษที่ถูกขังจนครบกำหนดแล้ว ต้องมารายงานตัวที่ผู้คุมทุกๆกี่เดือนกี่ปี เพื่อควบคุมความประพฤติด้วย
มีการใช้ระบบโจรจับโจร มีการให้ลงลายนิ้วมือ มีการออกหนังสือสอนวิธีการเก็บหลักฐาน การตรวจศพ มีการพิมพ์กฏหมายแจกประชาชนเรียกว่าระบบสืบสวนสอบสวนและลงโทษนั้นเปลี่ยนเกือบหมด
Dr. Weatherfod นั้นบอกว่าสำหรับมองโกลนั้น เรื่องกฏหมายนั้นออกมาเพื่อเป็นการจัดการกับปัญหา เป็นการสร้างความสมานฉันท์ เพราะว่าบังคับใช้กับคนทุกคนเท่ากัน สร้างความยุติธรรมให้เกิด รวมไปถึงการคงไว้ซึ่งความสงบในการปกครองของมองโกล มองโกลนั้นไม่ได้สร้างกฏหมายขึ้นมาเพื่อชี้โทษว่าใครผิดใครถูกแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากเรื่องการเปลี่ยนกฏหมายใหม่แล้ว มองโกลยังมีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของแต่ละอาชีพด้วย คิดง่ายๆครับว่ามองโกลนั้นคิดเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบอาชีพ เป็นชาติแรกๆของโลก
แต่ที่น่าแปลกก็คือ Dr. Weatherford บอกว่ามองโกลนั้นปกครองโดยใช้สภาขุนนางครับ แต่ในสภาขุนนางนั้นจะมีขุนนางที่เป็นมุสลิมซะส่วนมาก ตัว Dr. Weatherford นั้นบอกว่าน่าจะเพราะว่ามุสลิมนั้นเก่งการปกครองและแม่นกฏหมาย
แต่จะให้ขุนนางมีแต่มุสลิมทั้งหมด มันก็จะไม่ได้เรื่องครับ ดังนั้นสภาขุนนางนั้นก็จะประกอบไปด้วยคนสามส่วน คือพวกจีนเหนือ จีนใต้และพวกต่างชาติ เพื่อที่จะให้คานอำนาจกันและก็ปกครองให้ยังผลแก่ประชาชนมากที่สุด (เหมือนวุฒิสภาลากตั้งแถวๆนี้ไหม)

การปกครองก็จะให้สภาขุนนางนั้นตัดสินออกเสียง แต่วิธีการปกครองนี้ก็ถูกล้มลงหลังจากที่ราชวงศ์หมิงนั้นมาปกครองเมืองจีน
มองโกลกับเศรษฐกิจ
เงินกระดาษที่เราใช้นั้นเกิดมาจากยุค"ราชวงศ์ถัง" เมื่อกุบไลข่านนำเรื่องระบบเงินกระดาษขึ้นมาใช้อีกครั้ง ทำให้การค้าขายนั้นเจริญรุ่งเรืองไม่ต้องไปแบกเงินแบกทองมาแลกให้หนักและวุ่นวาย
เมื่อมีระบบเงินกระดาษมาใช้อีกครั้ง ระบบเครดิตก็แพร่หลาย ทำให้เกิดการล้มลายทางการเงินตามมา และแน่นอนครับกฏหมายล้มละลายก็ออกมาช่วงนี้
แต่การล้มละลายของมองโกลนั้น ไม่ได้ดูเป็นปกติเหมือนของอเมริกา ที่ถ้าบริษัทใดล้มละลายก็ไปลงทะเบียน chapter 7 chapter 11 ก็ว่ากันไป เพราะมองโกลนั้น ถ้าล้มละลาย 3 ครั้ง โทษถึงประหารครับ

นอกจากนี้รัฐบาลกุบไลข่านนั้นก็มีวิธีการจัดการคนจนด้วย โดยจัดคนจนเป็น 50 ครอบครัว (ไม่รู้เรียกว่าลงทะเบียนคนจนหรือเปล่า) แต่ละ 50 ครอบครัวนี้จะมีผู้นำหนึ่งคนครับ โดยที่ผู้นำนั้นจะทำการวางแผน แบ่งหน้าที่ให้แต่ละครอบครัวนั้น ไปทำอะไร เช่นปลูกผัก ทำนา ทำไร่ จัดการเรื่องน้ำ เรื่องอาหาร รวมทั้งเสริมสร้างความรู้ภูมิต้านทานความจนด้วย โดยบังคับให้เด็กๆต้องไปเรียนในฤดูหนาว ว่ากันว่าสมัยนั้นมีโรงเรียนรัฐบาลถึง 20,166 โรงเลยทีเดียว
🌵🌵🌵"กุบไลข่าน" ปฐมจักรพรรดิ์ต้าหยวน อาณาจักรมองโกลอันไพศาล (มุมมองด้านปกครอง)🌵🌵🌵
ที่มา: Weatherford, J. Genghis Khan, Three river press, NY, 2004. ISBN: 0-609-80964-4
..... อ่านต่อได้ที่: https://www.gotoknow.org/posts/86126
และ Google
อาณาจักรมองโกล หลังรัชสมัย ของ ข่าน ผู้ยิ่งใหญ่ เจงกิส ข่าน ถือได้ว่าเป็นประวัติศาสตร์โลก
เจงกิสข่าน
เพียง 1 เดียว ที่ยังคงส่งผลต่อโลก โดยตรงมาจวบจนทุกวันนี้ เพราะนอกจากในสมัยที่อาณาจักร แผ่อำนาจสุดขีด จะมีขนาดใหญ่กว่าสมัยพระเจ้าอเล็กซานเดอร์ แห่งอาณาจักรกรีก ถึง 4 เท่า และมีขนาดใหญ่กว่าอาณาจักรโรมันอันเรืองอำนาจ ถึง 2 เท่าแล้ว นักวิทยาศาสตร์ยังระบุว่า เลือดเนื้อเชื้อไขชาวมองโกล ในอดีตปัจจุบันได้กระจายกันอยู่ในแหล่งอารยะธรรมที่สำคัญๆ ต่างๆของโลกเป็นจำนวนมาก ไม่ว่าจะเป็น
เกาหลี จีน อาหรับ ยุโรปตะวันออก อุซเบ คาซัก ฯลฯ รัสเซีย อินเดีย หรือแม้แต่เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ก็ตาม
กุบไลข่านหรือ คูปิไล เป็นหลานของเจงกีสข่าน ผู้โค่นล้มราชวงศ์ซ่ง ปฐมกษัตริย์แห่งต้าหยวน
เมื่อมองโกลบุกยึดเมืองจีน
กุบไลข่านนั้นค่อยๆรุกคืบไปในการยึดเมืองจีน วิธีการที่ใช้นั้นกุบไลข่านนั้นใช้การเปลี่ยนแปลงความคิดของคนจีนเป็นหลัก แล้วก็ใช้วิธีการทหารเป็นงานรอง
Dr. Weatherford บอกว่า สมัยก่อนเนี่ยคนจีนนะกระจัดกระจาย แต่ละท้องถิ่นก็พูดภาษาที่ต่างกัน มีวัฒนธรรมค่อนข้างจะต่างกัน ไอ้ที่เหมือนกันนะคือภาษาเขียน ดังนั้นคนจีนนั้นรวมกันได้ก็ได้อย่างหลวมๆผ่านวรรณกรรมตัวอักษรของจีน แล้ววรรณกรรมของจีนนั้นก็พยายามพูดถึงการรวมชาติที่แท้จริงของคนจีนที่รวมกันทั้งหมดทั้งด้านภาษาพูด ภาษาเขียนและวัฒนธรรมหลักๆ
กุบไลข่านนั้นก็รู้เรื่องนี้ดี เพราะว่าในราชสำนักของกุบไลข่านก็มีคนจีนทำงานกันหลายคน กุบไลข่านก็เลยขายฝันให้คนจีน โดยบอกว่าตัวกุบไลข่านนี่แหละจะเป็นคนรวมชาติจีนทั้งหมดเอง
กุบไลข่านก็ดำเนินตามแนวทางของเจงกีสข่านในการรวมมองโกล สมัยเจงกีสข่านเนี่ยรวมเผ่ามองโกล ก็ใช้มองโกลเป็นหลัก
แต่กุบไลข่านนั้นต่างกัน จะใช้มองโกลเป็นหลัก แล้วจะเรียกว่านโยบายรวมชาติจีนได้อย่างไร เพราะฉะนั้นก็ใช้คนจีนเป็นหลัก (ใช้คนฮั่น) พอคิดได้เช่นนั้นแล้ว กุบไลข่านก็เปลี่ยนแปลงตัวเองเป็นคนจีนซะเลย มีการเปลี่ยนชื่อเป็น Zhiyuan ที่แปลว่าการเริ่มต้นที่สมบูรณ์ มีการตั้งราชวงศ์ต้าหยวนขึ้นมา ที่หมายความว่า การเริ่มต้นใหม่ที่ยิ่งใหญ่
แต่แค่เปลี่ยนชื่อมันจะไปรอดหรือ ดังนั้นท่านกุบไลข่านของเราก็เปลี่ยนโฉมมองโกลซะใหม่ โดยการรับเอาวัฒนธรรมจีนบางส่วนมาเช่น การสร้างสุสาน ซึ่งผิดหลักการคนมองโกลมาก เนื่องจากคนมองโกลนั้นไม่ยุ่งอะไรกับคนที่ตายไปแล้ว นอกจากสร้างสุสานแล้วก็มีการตั้งป้ายชื่อบรรพบุรุษ แล้วก็มีการวาดรูปเหมือนของเจงกีสข่านให้ด้วย
มาร์โคโปโล เจริญสัมพันธไมตรีกับราชวงศ์หยวน
แค่นั้นยังไม่พอ เพราะท่านกุบไลข่านของเรานั้นทันสมัยมาก เอากำลังทหารยึดเมืองเมืองไหนได้ก็ตาม จะรีบตั้งคณะกรรมการสมานฉันท์ขึ้นมาในทันที โดยคณะกรรมการสมานฉันท์นั้นจะรีบเข้าไปดูแลพื้นที่ ซ่อมแซมความเสียหายของวัด โรงเรียน ศาลเจ้าในเมืองนั้นๆ ไปดูแลสร้างความเข้าใจให้กับประชาชนในเมืองที่ถูกยึด
เพราะฉะนั้นเราจะเห็นได้ว่า กุบไลข่านนั้นดูจะเป็นนักปกครองมากกว่านักรบ มีการสนใจถึงความรู้สึกของประชาชนด้วย ผิดกับข่านมองโกลคนอื่นๆ
เมื่อบุกไปเรื่อยๆ แล้วก็ต้องทำตัวเป็นคนจีนด้วย ท่านข่านอยู่แบบเผ่าเร่ร่อนก็คงจะไม่ได้ กุบไลข่านก็เลยสร้างวังขึ้นมาครับที่เมืองใหม่ชื่อว่าเมือง DaDu หรือปัจจุบันก็คือเมืองปักกิ่งนี่เอง
Dr. Weatherford นั้นบอกว่าการสร้างเมืองปักกิ่งเนี่ย มองโกลมีการวางผังเมืองด้วย คือเมืองจะเป็นรูปสี่เหลี่ยม เป็นตารางๆ แล้วมาโคโปโลนั้นก็เดินทางมาเยี่ยมเยือนตะวันออกสมัยกุบไลข่านที่เมือง DaDu นี่แหละครับ ซึ่งตามบันทึกของมาโคโปโล เมืองนี้นั้นเต็มไปด้วยคนแทบทั่วทุกมุมโลก ทุกศาสนาจริงๆ ไม่ว่าจะเป็นพวกโรมันคาทอลิก พวกมุสลิม คนพุทธ โยคะอินเดีย เต๋า ขงจื้อ เรียกว่าอยู่รวมกันภายใต้ชายคากุบไลข่าน
แต่ไม่ว่ากุบไลข่านจะโพทนาว่าตัวเองนั้นเป็นคนจีนยังไง แต่จริงๆแล้ว "กุบไลข่าน"นั้นอยู่แบบมองโกลแท้ๆเพราะภายใต้กำแพงวังที่สูงสง่านั้น กลับเป็นทุ่งหญ้ากว้าง ที่มีสัตว์มีม้ามากมายวิ่งกันอยู่ เรียกว่ายกทุ่งหญ้า steppe ที่บรรพบุรุษเคยอยู่มาไว้ภายในกำแพงวังนี่แหละ คนมองโกลที่อยู่ในวังก็อยู่เป็นเต๊นท์ๆ ซึ่ง Dr. Weatherford นั้นเชื่อว่านี่คือที่มาของลักษณะพระราชวังต้องห้ามที่มีการแบ่งเป็นตำหนักๆ
มองโกลกับการปกครองจีน
กุบไลข่านนั้นใช้วิธีการยึดไปเรื่อยๆ สมัยนั้นราชวงศ์ซ่งเองก็อ่อนแอ ขุนนางก็ขี้โกง ด้านการทหารมองโกลเองก็แข่งแกร่งมาตั้งนานแล้ว แถมรบทีไรก็เน้นการโฆษณาชวนเชื่ออีก แต่ที่กินใจประชาชนสุดๆก็คือการปกครอง
เมื่อมองโกลนั้นได้ออกกฏหมายปกครองหลายๆอย่างในเมืองจีน เช่น การรับรองสิทธิในพื้นที่ของคนจีน การลดภาษี พัฒนาถนนหาทาง ลดโทษให้กับนักโทษ มีการออกกฏหมายให้ดูมีมนุษยธรรมมากขึ้น เพื่อให้ไม่ดูป่าเถื่อนเหมือนที่คนจีนแต่เดิมคิดไว้ เช่นไม่มีการทรมานให้สารภาพผิด นอกเสียจากว่าหลักฐานนั้นมัดแน่น
รวมไปถึงการตั้งระบบควบคุมนักโทษ คือนักโทษที่ถูกขังจนครบกำหนดแล้ว ต้องมารายงานตัวที่ผู้คุมทุกๆกี่เดือนกี่ปี เพื่อควบคุมความประพฤติด้วย
มีการใช้ระบบโจรจับโจร มีการให้ลงลายนิ้วมือ มีการออกหนังสือสอนวิธีการเก็บหลักฐาน การตรวจศพ มีการพิมพ์กฏหมายแจกประชาชนเรียกว่าระบบสืบสวนสอบสวนและลงโทษนั้นเปลี่ยนเกือบหมด
Dr. Weatherfod นั้นบอกว่าสำหรับมองโกลนั้น เรื่องกฏหมายนั้นออกมาเพื่อเป็นการจัดการกับปัญหา เป็นการสร้างความสมานฉันท์ เพราะว่าบังคับใช้กับคนทุกคนเท่ากัน สร้างความยุติธรรมให้เกิด รวมไปถึงการคงไว้ซึ่งความสงบในการปกครองของมองโกล มองโกลนั้นไม่ได้สร้างกฏหมายขึ้นมาเพื่อชี้โทษว่าใครผิดใครถูกแต่เพียงอย่างเดียว
นอกจากเรื่องการเปลี่ยนกฏหมายใหม่แล้ว มองโกลยังมีการกำหนดมาตรฐานขั้นต่ำของแต่ละอาชีพด้วย คิดง่ายๆครับว่ามองโกลนั้นคิดเรื่องการออกใบอนุญาตประกอบอาชีพ เป็นชาติแรกๆของโลก
แต่ที่น่าแปลกก็คือ Dr. Weatherford บอกว่ามองโกลนั้นปกครองโดยใช้สภาขุนนางครับ แต่ในสภาขุนนางนั้นจะมีขุนนางที่เป็นมุสลิมซะส่วนมาก ตัว Dr. Weatherford นั้นบอกว่าน่าจะเพราะว่ามุสลิมนั้นเก่งการปกครองและแม่นกฏหมาย
แต่จะให้ขุนนางมีแต่มุสลิมทั้งหมด มันก็จะไม่ได้เรื่องครับ ดังนั้นสภาขุนนางนั้นก็จะประกอบไปด้วยคนสามส่วน คือพวกจีนเหนือ จีนใต้และพวกต่างชาติ เพื่อที่จะให้คานอำนาจกันและก็ปกครองให้ยังผลแก่ประชาชนมากที่สุด (เหมือนวุฒิสภาลากตั้งแถวๆนี้ไหม)
การปกครองก็จะให้สภาขุนนางนั้นตัดสินออกเสียง แต่วิธีการปกครองนี้ก็ถูกล้มลงหลังจากที่ราชวงศ์หมิงนั้นมาปกครองเมืองจีน
มองโกลกับเศรษฐกิจ
เงินกระดาษที่เราใช้นั้นเกิดมาจากยุค"ราชวงศ์ถัง" เมื่อกุบไลข่านนำเรื่องระบบเงินกระดาษขึ้นมาใช้อีกครั้ง ทำให้การค้าขายนั้นเจริญรุ่งเรืองไม่ต้องไปแบกเงินแบกทองมาแลกให้หนักและวุ่นวาย
เมื่อมีระบบเงินกระดาษมาใช้อีกครั้ง ระบบเครดิตก็แพร่หลาย ทำให้เกิดการล้มลายทางการเงินตามมา และแน่นอนครับกฏหมายล้มละลายก็ออกมาช่วงนี้
แต่การล้มละลายของมองโกลนั้น ไม่ได้ดูเป็นปกติเหมือนของอเมริกา ที่ถ้าบริษัทใดล้มละลายก็ไปลงทะเบียน chapter 7 chapter 11 ก็ว่ากันไป เพราะมองโกลนั้น ถ้าล้มละลาย 3 ครั้ง โทษถึงประหารครับ
นอกจากนี้รัฐบาลกุบไลข่านนั้นก็มีวิธีการจัดการคนจนด้วย โดยจัดคนจนเป็น 50 ครอบครัว (ไม่รู้เรียกว่าลงทะเบียนคนจนหรือเปล่า) แต่ละ 50 ครอบครัวนี้จะมีผู้นำหนึ่งคนครับ โดยที่ผู้นำนั้นจะทำการวางแผน แบ่งหน้าที่ให้แต่ละครอบครัวนั้น ไปทำอะไร เช่นปลูกผัก ทำนา ทำไร่ จัดการเรื่องน้ำ เรื่องอาหาร รวมทั้งเสริมสร้างความรู้ภูมิต้านทานความจนด้วย โดยบังคับให้เด็กๆต้องไปเรียนในฤดูหนาว ว่ากันว่าสมัยนั้นมีโรงเรียนรัฐบาลถึง 20,166 โรงเลยทีเดียว