ประวัติศาสตร์แบบ
"ถอดรื้อโครงสร้าง" (Deconstruction) ที่ทำให้เห็นว่า "นิยามของความเป็นไทย" ในปัจจุบัน ถูกสร้างขึ้นผ่านกระบวนการทางการเมืองและการทูต ของผู้มีอำนาจ
1. การ "สวมรอย" คำว่า Tai Noi (ไทน้อย) จากเอกสารจีน
มุมมองจีน: ในพงศาวดารจีน (เช่น สมัยราชวงศ์หยวนและหมิง) จีนเรียกกลุ่มคน "เย่ว์" (Yue)หรือที่จีนใช้เรียกว่าคนป่าเถื่อน ทางใต้ว่า
"ต้าไป๋อี่" (Great Tai/Tai Yai) และ
"เสี่ยวไป๋อี่" (Little Tai/Tai Noi) ซึ่งเป็นการเรียกตาม "ระยะห่าง" และ "ขนาดของรัฐ" ในสายตาจีน ไม่ใช่ชื่อที่เจ้าของภาษาเรียกตัวเอง และเอกสารของลาลูแบร์ ที่ใช้อักษร ว่า Tai Noi และ Tai Yai ในเอกสาร ไม่ใช่ Thai (คำที่เกิดทีหลัง) ที่อ้างว่า อาณาจักรสยามคือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าไทน้อย(Tai Noi) และมีอีกกลุ่มเรียกว่า Tai Yai เป็นกลุ่มชนป่าเถื่อนทางเหนือ(ซึ่งตอนนั้นล้านนา รัฐชาน(ส่าน ออกเสียงแบบพม่า ฉาน ออกเสียงแบบสยามกลุ่มที่ไม่นิยมศัพท์แบบวรรณยุกต์มานิยมก็ยุคที่มีคำไทกะไดและจีนเข้ามาปะปน) เองก็ตกอยู่ในการปกครองของพม่าแล้ว การโยนขี้ป้ายสีเหมารวมนั้นคือนิสัยเด่นที่สยามก็ทำบ่อย ดูจากประชาชนของสยามถึงปัจจุบันก็ได้) ทั้งๆที่จริงๆแล้วเอกสารจีน เขาเรียกกลุ่มไป๋อี๋ ทั้งน้อยทั้งใหญ่คือคนป่าเถือนหมด
แต่สยามรับมาขุนนางทั้งจีนทั้งแขกร่วมกันสร้างเอกสารส่งต่อให้ฝรั่งเอาไปนำเสนอชาวโลกอีก ส่งต่อความเพี้ยนเป็นทอดๆ แปลงสารกันมันเลยทีเดียว
และความเป็นจริงในเอกสารของจีน มันคือกลุ่มคนที่ขอบเขตแค่อาณาจักรยูนนาน ที่พงศาวดารจีนกล่าวถึง ยุคนั้นพื้นที่ล่างลงมา ไม่ว่าจะเป็น ป่าไป๋สีฟู่ ป่าไป๋ต้าเตี้ยน ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขต เพราะมันเข้าขอบเขตของกลุ่มคน ถอโหลปอตี (ที่จะพัฒนามาเป็น เสียนหลัว(หลังอยุธยาตีสุโขทัยได้)) ที่เรียกกันว่าสยาม) แต่มันก็ไม่ยากที่ขุนนางจีนของสยามจะแปลงสาร ดังที่เห็นเพี้ยนเสียงคำต่างๆที่เขียนในเอกสารตำราเรียนของไทยในการเรียกชื่อเมืองต่างๆ )
การเคลมของสยาม: เมื่อขุนนางสยาม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกครึ่งจีนหรือพ่อค้าชาวจีนผู้ประสานงานจิ้มก้อง) ต้องทำรายงานส่งจีนหรืออธิบายตัวตนให้ฝรั่งอย่าง
ลาลูแบร์ ฟัง พวกเขาหยิบยืม "เลเบล" (Label) จากจีนมาใช้ เพื่อให้ดูว่าตนเองมีส่วนร่วมในกลุ่มชาติพันธุ์ทางตอนเหนือ ทั้งที่ในความเป็นจริง ประชากรพื้นฐานของอยุธยาคือ
"ชาวน้ำ" หรือกลุ่มคน
มอญ-เขมร-มลายู ที่อาศัยอยู่เดิม
2. DNA และ "หน้าออกแขกคล้ายคนพะโค"
โตเม ปิแรส (Tomé Pires) ปิแรสบันทึกไว้ชัดเจนว่าชาวสยามมีรูปร่างลักษณะและผิวพรรณคล้ายชาวพะโค (มอญ) และชาวเกาะ
ยีนหลัก: ผลการศึกษาประชากรศาสตร์ในปัจจุบันยืนยันว่า ยีนของคนไทยภาคกลางมีความใกล้ชิดกับกลุ่ม
Austroasiatic (มอญ-เขมร)
การ "กลายเป็นไท" (Thaification): สยามไม่ใช่ "สายเลือดไท" มาตั้งแต่ต้น แต่เป็น
"รัฐทางวัฒนธรรม" ที่รับเอา
ภาษาไท มาใช้เป็นภาษาการค้าและการเมือง (Lingua Franca) ผสมเข้ากับภาษาเขมรมอญโบราณของตน เพราะความคล่องตัวของระบบเครือข่ายเมืองไททางเหนือที่เชื่อมโยงไปถึงยูนนานและอัสสัม ภาษาไทยจึงกลายเป็น "Soft Power" ของยุคนั้นที่สยามหยิบมาสวมทับอัตลักษณ์เดิม (ภาษาก็เต็มไปด้วยคำเขมร-สันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาหลักของกลุ่มทราวดีและวรมันเดิมอยู่แล้ว)
3. ขุนนางจีนกับการสร้าง "ประวัติศาสตร์ฉบับทางการ"
ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขุนนางตระกูลใหญ่ (เช่น สายเฉกอะหมัดพ่อค้าเปอร์เซียต้นตระกูลบุคนาค หรือตระกูลคหบดีจีน) มีบทบาทสูงในการบันทึกพงศาวดาร
การลบภาพจำเดิม: พวกเขาจำเป็นต้องสร้างเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกษัตริย์สยามกับเทวดาหรืออาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่(หนานจ้าวแต่ยังคงอยู่ใต้อาณัติจีน) เพื่อความชอบธรรมในการปกครองเหนือกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์แบบที่เอกสารจีนเคยบันทึกเรื่องราวของหนานจ้าวแต่ยกกลุ่มไทขึ้นเป็นแกน(หนานจ้าวประกอบด้วยหลายเผ่า แต่เด่นๆคือเผ่าอี๋(ออกทิเบต) และเผ่าไป๋(ไตกะได แต่พูดภาษาผสมแบบทิเบต-ไตกะได ต้นทางพวกกลุ่มไตโหลง-ต้าไป่อี๋) แตกแขนกแต่ละเผ่าในยูนนาน)
ผลกระทบ: การทำเช่นนี้ทำให้
"ประวัติศาสตร์ของกลุ่มไท-กะไดตัวจริง" (เช่น, ไทใหญ่,ไทลื้อยองเขิน, ไทดำ ฯลฯ) ถูกลดทอนลง กลายเป็นแค่ "คนป่าเถื่อนภูเขา" หรือ "ชนกลุ่มน้อย" ทั้งที่กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้กุม "พิมพ์เขียว" (Blueprint) ของวัฒนธรรมไทที่แท้จริงเอาไว้
4. การลดทอนศักยภาพของคนไท (Dai/Tai)
การดึงศูนย์กลางอำนาจ: สยามพยายามทำตัวเป็น "พี่ใหญ่" ของกลุ่มคนไททั้งหมด (Pan-Thaiism) โดยการสร้างภาพว่าสยามคือจุดสูงสุดของอารยธรรมไท ทั้งที่สยามรับเอาโครงสร้างเขมรมาเกือบทั้งหมด (ระบอบกษัตริย์, ศัพท์ราชาศัพท์, พิธีกรรม)
การโดดเดี่ยวกลุ่มไทอื่น: การทำให้ชาวไทกลุ่มอื่น กลายเป็น "คนอื่น" ทำให้ความรู้ความสามารถในระบบ "เมือง" และ "เทคโนโลยีการจัดการน้ำ/นา/การสงคราม" ของชาวไทดั้งเดิมถูกมองข้ามไป
บทสรุป สยามคือ
"รัฐผสม" ที่ประสบความสำเร็จในการ
"ใช้ชื่อไท(ย)" เพื่อสร้างแบรนด์ทางการเมือง แต่ในกระบวนการนั้นกลับทำร้ายรากเหง้าของชาวไท ด้วยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ให้สอดรับกับการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับกลุ่มตนเพื่อยกฐานะในการนำเสนอการทูตกับตะวันตกและจีน
"การกลายเป็นไท" (Thaification) ของสยามผ่านเลนส์ขุนนางจีนและการบิดเบือนอัตลักษณ์ชาติพันธุ์
1. การ "สวมรอย" คำว่า Tai Noi (ไทน้อย) จากเอกสารจีน
มุมมองจีน: ในพงศาวดารจีน (เช่น สมัยราชวงศ์หยวนและหมิง) จีนเรียกกลุ่มคน "เย่ว์" (Yue)หรือที่จีนใช้เรียกว่าคนป่าเถื่อน ทางใต้ว่า "ต้าไป๋อี่" (Great Tai/Tai Yai) และ "เสี่ยวไป๋อี่" (Little Tai/Tai Noi) ซึ่งเป็นการเรียกตาม "ระยะห่าง" และ "ขนาดของรัฐ" ในสายตาจีน ไม่ใช่ชื่อที่เจ้าของภาษาเรียกตัวเอง และเอกสารของลาลูแบร์ ที่ใช้อักษร ว่า Tai Noi และ Tai Yai ในเอกสาร ไม่ใช่ Thai (คำที่เกิดทีหลัง) ที่อ้างว่า อาณาจักรสยามคือกลุ่มคนที่เรียกตัวเองว่าไทน้อย(Tai Noi) และมีอีกกลุ่มเรียกว่า Tai Yai เป็นกลุ่มชนป่าเถื่อนทางเหนือ(ซึ่งตอนนั้นล้านนา รัฐชาน(ส่าน ออกเสียงแบบพม่า ฉาน ออกเสียงแบบสยามกลุ่มที่ไม่นิยมศัพท์แบบวรรณยุกต์มานิยมก็ยุคที่มีคำไทกะไดและจีนเข้ามาปะปน) เองก็ตกอยู่ในการปกครองของพม่าแล้ว การโยนขี้ป้ายสีเหมารวมนั้นคือนิสัยเด่นที่สยามก็ทำบ่อย ดูจากประชาชนของสยามถึงปัจจุบันก็ได้) ทั้งๆที่จริงๆแล้วเอกสารจีน เขาเรียกกลุ่มไป๋อี๋ ทั้งน้อยทั้งใหญ่คือคนป่าเถือนหมด
แต่สยามรับมาขุนนางทั้งจีนทั้งแขกร่วมกันสร้างเอกสารส่งต่อให้ฝรั่งเอาไปนำเสนอชาวโลกอีก ส่งต่อความเพี้ยนเป็นทอดๆ แปลงสารกันมันเลยทีเดียว
และความเป็นจริงในเอกสารของจีน มันคือกลุ่มคนที่ขอบเขตแค่อาณาจักรยูนนาน ที่พงศาวดารจีนกล่าวถึง ยุคนั้นพื้นที่ล่างลงมา ไม่ว่าจะเป็น ป่าไป๋สีฟู่ ป่าไป๋ต้าเตี้ยน ก็ไม่ได้อยู่ในขอบเขต เพราะมันเข้าขอบเขตของกลุ่มคน ถอโหลปอตี (ที่จะพัฒนามาเป็น เสียนหลัว(หลังอยุธยาตีสุโขทัยได้)) ที่เรียกกันว่าสยาม) แต่มันก็ไม่ยากที่ขุนนางจีนของสยามจะแปลงสาร ดังที่เห็นเพี้ยนเสียงคำต่างๆที่เขียนในเอกสารตำราเรียนของไทยในการเรียกชื่อเมืองต่างๆ )
การเคลมของสยาม: เมื่อขุนนางสยาม (ซึ่งส่วนใหญ่เป็นลูกครึ่งจีนหรือพ่อค้าชาวจีนผู้ประสานงานจิ้มก้อง) ต้องทำรายงานส่งจีนหรืออธิบายตัวตนให้ฝรั่งอย่าง ลาลูแบร์ ฟัง พวกเขาหยิบยืม "เลเบล" (Label) จากจีนมาใช้ เพื่อให้ดูว่าตนเองมีส่วนร่วมในกลุ่มชาติพันธุ์ทางตอนเหนือ ทั้งที่ในความเป็นจริง ประชากรพื้นฐานของอยุธยาคือ "ชาวน้ำ" หรือกลุ่มคน มอญ-เขมร-มลายู ที่อาศัยอยู่เดิม
2. DNA และ "หน้าออกแขกคล้ายคนพะโค"
โตเม ปิแรส (Tomé Pires) ปิแรสบันทึกไว้ชัดเจนว่าชาวสยามมีรูปร่างลักษณะและผิวพรรณคล้ายชาวพะโค (มอญ) และชาวเกาะ
ยีนหลัก: ผลการศึกษาประชากรศาสตร์ในปัจจุบันยืนยันว่า ยีนของคนไทยภาคกลางมีความใกล้ชิดกับกลุ่ม Austroasiatic (มอญ-เขมร)
การ "กลายเป็นไท" (Thaification): สยามไม่ใช่ "สายเลือดไท" มาตั้งแต่ต้น แต่เป็น "รัฐทางวัฒนธรรม" ที่รับเอา ภาษาไท มาใช้เป็นภาษาการค้าและการเมือง (Lingua Franca) ผสมเข้ากับภาษาเขมรมอญโบราณของตน เพราะความคล่องตัวของระบบเครือข่ายเมืองไททางเหนือที่เชื่อมโยงไปถึงยูนนานและอัสสัม ภาษาไทยจึงกลายเป็น "Soft Power" ของยุคนั้นที่สยามหยิบมาสวมทับอัตลักษณ์เดิม (ภาษาก็เต็มไปด้วยคำเขมร-สันสกฤต ซึ่งเป็นภาษาหลักของกลุ่มทราวดีและวรมันเดิมอยู่แล้ว)
3. ขุนนางจีนกับการสร้าง "ประวัติศาสตร์ฉบับทางการ"
ในสมัยอยุธยาและรัตนโกสินทร์ตอนต้น ขุนนางตระกูลใหญ่ (เช่น สายเฉกอะหมัดพ่อค้าเปอร์เซียต้นตระกูลบุคนาค หรือตระกูลคหบดีจีน) มีบทบาทสูงในการบันทึกพงศาวดาร
การลบภาพจำเดิม: พวกเขาจำเป็นต้องสร้างเรื่องเล่าที่เชื่อมโยงกษัตริย์สยามกับเทวดาหรืออาณาจักรโบราณที่ยิ่งใหญ่(หนานจ้าวแต่ยังคงอยู่ใต้อาณัติจีน) เพื่อความชอบธรรมในการปกครองเหนือกลุ่มคนหลากหลายชาติพันธุ์แบบที่เอกสารจีนเคยบันทึกเรื่องราวของหนานจ้าวแต่ยกกลุ่มไทขึ้นเป็นแกน(หนานจ้าวประกอบด้วยหลายเผ่า แต่เด่นๆคือเผ่าอี๋(ออกทิเบต) และเผ่าไป๋(ไตกะได แต่พูดภาษาผสมแบบทิเบต-ไตกะได ต้นทางพวกกลุ่มไตโหลง-ต้าไป่อี๋) แตกแขนกแต่ละเผ่าในยูนนาน)
ผลกระทบ: การทำเช่นนี้ทำให้ "ประวัติศาสตร์ของกลุ่มไท-กะไดตัวจริง" (เช่น, ไทใหญ่,ไทลื้อยองเขิน, ไทดำ ฯลฯ) ถูกลดทอนลง กลายเป็นแค่ "คนป่าเถื่อนภูเขา" หรือ "ชนกลุ่มน้อย" ทั้งที่กลุ่มคนเหล่านี้คือผู้กุม "พิมพ์เขียว" (Blueprint) ของวัฒนธรรมไทที่แท้จริงเอาไว้
4. การลดทอนศักยภาพของคนไท (Dai/Tai)
การดึงศูนย์กลางอำนาจ: สยามพยายามทำตัวเป็น "พี่ใหญ่" ของกลุ่มคนไททั้งหมด (Pan-Thaiism) โดยการสร้างภาพว่าสยามคือจุดสูงสุดของอารยธรรมไท ทั้งที่สยามรับเอาโครงสร้างเขมรมาเกือบทั้งหมด (ระบอบกษัตริย์, ศัพท์ราชาศัพท์, พิธีกรรม)
การโดดเดี่ยวกลุ่มไทอื่น: การทำให้ชาวไทกลุ่มอื่น กลายเป็น "คนอื่น" ทำให้ความรู้ความสามารถในระบบ "เมือง" และ "เทคโนโลยีการจัดการน้ำ/นา/การสงคราม" ของชาวไทดั้งเดิมถูกมองข้ามไป
บทสรุป สยามคือ "รัฐผสม" ที่ประสบความสำเร็จในการ "ใช้ชื่อไท(ย)" เพื่อสร้างแบรนด์ทางการเมือง แต่ในกระบวนการนั้นกลับทำร้ายรากเหง้าของชาวไท ด้วยการบิดเบือนประวัติศาสตร์ให้สอดรับกับการสร้างความยิ่งใหญ่ให้กับกลุ่มตนเพื่อยกฐานะในการนำเสนอการทูตกับตะวันตกและจีน