ข้าบดินทร์ พี่เราเผาเรือน

สัปดาห์นี้หลากรส รักระหว่างรบ รบระหว่างรัก เสร็จศึกนอกต่อศึกใน ชะรำมลทิน

พระเอกไสช้างเข้ารบ ตามหลักคชยุทธ


คชยุทธ
ในการคชยุทธบนหลังช้างและยุทธหัตถี ช้างเป็นพาหนะสำคัญในการรณรงค์สงครามมาแต่อินเดียโบราณ
เมื่อเกิดสงคราม เหล่าช้างศึกพร้อมควาญจำนวนมากจะถูกเกณฑ์เข้ามาร่วมกองทัพ โดยมีกรมพระคชบาลเป็นแม่กองใหญ่
เหล่าขุนศึกผู้ควบคุมช้าง จะจัดกระบวนทัพช้างเป็นแถวตามหลัก พิชัยสงคราม
โดยมีพระมหากษัตริย์ที่ประทับบนคอช้างศึก เป็นผู้นำออกคำสั่งผ่านการโบกเครื่องหมายธงบนสัปคับหลังช้าง

ช้างศึก
ช้างที่จะถูกจัดให้เป็นช้างศึกนั้น ต้องเป็นช้างพลาย(ช้างเพศผู้) มีลักษณะตรงตามตำราคชลักษณ์ คือ
รูปร่างใหญ่โตกำยำ
หัวกะโหลกหนาและใหญ่ แก้มเต็มสมบูรณ์
หน้าเชิดหลังต่ำ
งายาวใหญ่มีความโค้ง และแหลมคมได้ที่

โดยที่ช้างเชือกที่ฝึกซ้อมมาเป็นอย่างดี และสามารถสู้เอาชนะช้างเชือกอื่นได้ เรียกว่า ช้างชนะงา

ในสงครามครั้งหนึ่ง จะมีช้างร่วมศึกด้วยข้างละประมาณ ๒๐๐-๓๐๐ เชือก ช้างจะผ่านพิธีกรรม

ลงยันต์ตามตัวเพื่อให้หนังเหนียว และศักดิ์สิทธิ์
พร้อมแต่งช้างให้พร้อมในการรบ ด้วยการใส่เกราะขาด้วยโซ่พัน หรือเกราะมีหนาม
ใส่เกราะงวงที่มีหนามแหลม ใส่เกราะงา
แล้วกระตุ้นให้ช้างให้ตกน้ำมัน ดุร้าย ก่อนออกทำสงคราม
หรือกรอกเหล้าเพื่อให้ช้างเมา
ให้ดมฝิ่นหรือควันศักดิ์สิทธิ์ จนเกิดความฮึกเหิม
ใช้ผ้าสีแดงผืนใหญ่ปิดตาช้าง ให้เห็นแต่เฉพาะด้านหน้า เพื่อไม่ให้ช้างตกใจ และเสียสมาธิ
ในการพุ่งไปข้างหน้า เรียกว่า ผ้าหน้าราหู

ในสงครามประจัญบาน ช้างศึกอาจมีคนนั่งเพียง ๑-๒ คน โดยไม่มีสัปคับช้างอยู่บนหลัง ช้างศึกประเภทนี้มีมากในกองทัพ
เคลื่อนที่เร็วตามฝีเท้าช้าง และสามารถเข้าตีทัพไพร่ราบฝ่ายศัตรูให้แตกกระจาย ได้ง่ายกว่าธนูและหอกซัด

ส่วนช้างศึกหลวง มีตำแหน่งของหลังช้าง ๓ คน คือ

ตำแหน่งบนคอช้าง พระมหากษัตริย์ เชื้อพระวงศ์ มหาเสนาระดับแม่ทัพ จะเป็นผู้ควบคุมช้างเข้าทำการต่อสู้เอง
โดยอาวุธประเภทต่างๆ ทั้งธนูและหอกซัดในระยะใกล้ และใช้ง้าวเมื่อประชิดตัว

ตำแหน่งกลางช้าง จะเป็นตำแหน่งที่จะให้สัญญาณการปรับรูปทัพ และส่งอาวุธที่อยู่บนสัปคับให้แก่คอช้าง
โดยอาวุธได้แก่ ง้าว, หอก, โตมร, หอกซัด และเครื่องป้องกันต่างๆ เช่น โล่ เขนเป็นต้น

ตำแหน่งควาญช้างท้าย ซึ่งจะเป็นผู้บังคับช้างจะนั่งอยู่หลังสุด คอยปัดอาวุธไม่ให้ศัตรูเข้ามาทำร้ายจากทางด้านหลัง

ช้างทรงของพระมหากษัตริย์และเชื้อพระวงศ์ จะมีขุนทหารฝีมือดี ๔ คน ประจำตำแหน่งเท้าช้างทั้ง ๔ ข้างด้วย
เรียกว่า จตุรงคบาท ไม่ว่าช้างทรงจะไปทางไหน จาตุรงคบาทต้องตามไปคุ้มกันเสมอ
และจะมีจาตุรงคบาทกลางช้าง และท้ายช้างสำรอง ตามเสด็จช้างทรงอย่างคล่องแคล่ว เพื่อสลับผลัดเปลี่ยนหากตำแหน่งนั้นตายลง

การจัดกระบวนทัพช้างไทยสมัยโบราณ
พลช้างนับเป็นกำลังสำคัญของกองทัพบกในการรบ เพราะใช้เป็นหน่วยประจัญบาน มีการจัดกระบวนแบ่งเป็นหมวด ดังนี้
                
๑.ช้างดั้ง เป็นช้างที่นั่งละคอ มีหมอนั่งคอ ควาญนั่งท้าย ควาญกลางหลังนั่งถือหอ เดินอยู่กลางแนวริ้วขบวนหน้า
โดยคัดช้างที่ร่างใหญ่กำยำ งาโต
๒.ช้างกัน  มีลักษณะอย่างเดียวกับช้างดั้ง เดินอยู่ริ้วขบวนหลัง
                
๓.ช้างแทรก คล้าย ๒ ชนิดแรกแต่ไม่มีควาญหลังช้าง ทำหน้าที่ตรวจตราริ้วนอกทั้ง 2 ข้าง เป็นสารวัตรช้าง คัดช้างที่วิ่งเร็ว
๔.ช้างแซง เหมือนช้างแทรก เดินเป็นริ้วเรียงกันทั้ง ๒ ข้างตลอดแนว
                
๕.ช้างล้อมวัง มีหน้าที่ล้อมพระคชาธาร ผูกสัปคับโถง มีแม่ทัพนายกองฝีมือดีควบคุม โดยมีพลราบ ทัพม้ารายล้อม
๖.ช้างค้ำและช้างค่าย หรือเรียกว่า ช้างต้น เดินอยู่วงในของช้างล้อมวัง คอยอารักขาพระคชาธาร
                
๗.พระคชาธาร ช้างประธาน เป็นช้างทรงพระมหากษัตริย์ อุปราช  โดยคัดช้างชนะงา ที่กร้าวแกร่งที่สุด            
๘.ช้างพระไชย เป็นช้างผูกจำลอง ตั้งสัปคับหลังคากันยา สำหรับประดิษฐานพระพุทธรูป นำหน้าพระคชาธาร เป็นขวัญทัพ
                
๙.ช้างพังคา ช้างสำหรับเจ้าพระยาเสนาบดี และเจ้าประเทศราชเป็นช้างผูกเครื่องมั่น เป็นช้างพังทั้งหมด
อยู่ห่างจากทัพหลวงราว ๑ เสียงสังข์
              
๑๐.พระที่นั่งกระโจมทอง ช้างผูกสัปคับ กูบรูปเรือนวิมาน เป็นพระที่นั่งรอง คราประทับแรม
              
๑๑.ช้างโคตรแล่น เป็นช้างสัปคับเดินอยู่ท้ายกระบวนช้าง เป็นช้างซับมัน เดินอยู่ท้ายขบวน
เว้นช่วงเสียงสังข์แตร กันมิให้อาละวาด ในเวลาสงครามช้างโคตรแล่นจะเป็นช้างประจัญบาน
คัดเฉพาะช้างพลายที่ตกมันเต็มที่ ซึ่งเป็นช้างที่ดุร้ายที่สุด ควาญต้องชำนาญ
มีหน้าที่อาละวาดสร้างความปั่นป่วนทัพข้าศึก ทำลายเครื่องกั้นค่าย หอรบข้าศึก เปรียบเสมือนรถถังบุกตะลุยกรุยทาง

หากเป็นช้างยุทธหัตถี อาวุธที่เพิ่มขึ้นมา คือ
หอกผูกผ้าแดง ๒ เล่ม
ปืนใหญ่หันปลายออก ข้างขวา ๑ กระบอก ข้างซ้าย ๑ กระบอก
มีนายทหารและพลทหารสวมเกราะโพกผ้า
ตัวช้างที่เข้ากระบวทัพจะสวมเกราะตลอดกาย
ใส่เกือกหรือรองเท้าเหล็กสำหรับกันขวากหนาม
โดยใส่ทั้งสี่เท้า สวมหน้าราห์งาสองข้าง มีปลอกเหล็กสวม
และเกราะโซ่ฟันงวงช้าง เพื่อการงัด ชน โคนค่ายประตูหอรบโดยไม่เจ็บปวด
              
ลักษณะการใช้อาวุธบนหลังช้างแบบดังกล่าวนี้ ยังคงใช้สืบเนื่องจนถึงสมัยรัตนโกสินทร์
ก่อนการเปลี่ยนแปลงแบบแผนการจัดกองทัพอย่างตะวันตก ในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว


กองทัพสมเด็จพระเจ้าตากสิน วรราชาธิราช ยกเข้าตีเมืองจันทบูร(จันทบุรี) เวลา ๓.๐๐น. พ.ศ.๒๓๑๐
ให้ยิงปืนสัญญาณ ให้ทหารเข้าตีเมืองพร้อมกัน

สมเด็จพระศรีสรรเพชญ์ฯ วรราชาธิราช หรือ พระบาทสมเด็จพระเอกาทศรุทอิศวร องค์ที่๖(พระสุบรรณบัฏ)
ทรงช้างพังคีรีบัญชร หรือช้างพังคีรีกุญชรฉัททันต์(ชูสิริ จามรมาน , 2527 : 92)
สามารถพังประตูเมืองเข้าไปได้

ขบวนช้างม้า ปรากฏในเสภาขุนช้างขุนแผน(ฉบับหอสมุดวชิรญาณ)
ตอนที่ ๒ พ่อขุนช้างขุนแผน ความว่า

ฯครั้นรุ่งเช้าฝ่ายเจ้าพนักงาน      เตรียมการโดยกระบวนถ้วนถี่
กรมช้างจัดช้างที่ตัวดี              คนขี่ครบทั่วตัวคชา
จ่าดาบขวาซ้ายก็จ่ายเครื่อง      ขนเนื่องมาวางไว้ข้างหน้า
กรมช้างพลางผูกมิทันช้า      เบาะอานผ่านหน้าดาราราย
สองหูพู่จามรีกรอง              ปกตระพองทองพร้อยห้อยตาข่าย
แต่ล้วนช้างพระที่นั่งทั้งพังพลาย     หลากหลายเข้ากระบวนส่วนคชา
พระที่นั่งพุดตานสำหรับเสด็จ             ผูกเสร็จทอดพระแสงแสนสง่า
นายทรงบาศเป็นควาญชำนาญมา     ใส่ครุยกรองนุ่งผ้าสมปักลาย
ผูกทั้งพระที่นั่งกระโจมทอง             วงพระสูตรรูดคล้องเป็นสองสาย
เบาะปักหักทองขวางสล้างลาย       เขนยอิงพิงฝ่ายประปฤษฎางค์
ผูกทั้งพระที่นั่งเถลิงศอ                     พระยี่ภู่ปูคอกันกระด้าง
พระที่นั่งประพาสโถงแรมทาง        ต่างต่างแลล้วนละกลกัน
หมอควาญนุ่งลายใส่เสื้อ              ประจุเจือเวทมนตร์ดลขยัน
เจียระบาดคาดกับปั้นเหน่งพลัน     จัดสรรเลือกล้วนแต่ตัวดี
ถัดมาช้างที่นั่งต่างกรม                     ข้าไทเกณฑ์ระดมอยู่อึงมี่
ทั้งช้างดั้งช้างกันนั้นมากมี             หมอควาญขับขี่อยู่ครบครัน
หน้าช้างสล้างล้วนเหล่าทหาร        เพียงจะราญรอนรบภพสวรรค์
กระบวนช้างพร้อมสรรพฉับพลัน     จึงจัดสรรอัสดรที่ตัวดี
พระยาศีเสาวพ่าห์จัดม้าต้น             หลวงทรงพลเตรียมกระบวนเป็นถ้วนถี่
ให้นายม้าผูกม้าพาชี                     ล้วนขับขี่แคล่วคล่องว่องไว
ม้าต้นพระที่นั่งตัวประเสริฐ             ลํ้าเลิศทั้งสองผ่องใส
ผ่านดำขำเหลืองเรืองวิไล             สูงได้สามศอกโดยประมาณ
ผูกเครื่องกุดั่นฝรั่งเศส                     อย่างเทศพรรณรายฉายฉาน
พระแสงปืนซ้ายขวาอาชาชาญ      เบาะอานปักเอี่ยมอุไรมี
โกลนทองคล้องห้อยพลอยประดับ     วาบวับจับคลุมกำมะหยี่
ไหมทองถักบังเหียนแนบเนียนดี     งามสมพาชีที่โสภา
ม้าหนึ่งชื่อว่าพลาหก                     ม้าหนึ่งชื่อกระหนกภูษา
นายม้าจูงประคองทั้งสองม้า             ขุนหมื่นขี่อาชามาในกระบวน
ขุนนางขี่ช้างตามเสด็จ                     เตรียมเสร็จตามที่ถี่ถ้วน
หัวพันเที่ยวสำรวจตรวจจำนวน      เวลาจวนก็พร้อมพลนิกร ฯ



เสร็จศึกญวน พระเอกได้เป็นหมื่นสุรบดินทร์ ก็เริ่มรุ่มร่ามกับนางเอก
นางเอกบางฉาก หน้าขาวกว่าคอ แป้งผัดหน้าสมัยนี้ ขาวผ่องจริงๆ

ฉากเรือนนางเอกที่โคราช มีต้นชวนชมประดับฉากที่บนเรือน และท่าน้ำ
เป็นสายพันธุ์ที่นำเข้ามาจากต่างประเทศ ยังไม่ปรากฏช่วงเวลาที่แน่ชัด

พระเอกมีวิชาคงกระพัน หนังเหนียวฟันแทงไม่เข้า แต่งูฉกได้แปลกดี
ตอนตกหลุม ก็ไม่เป็นไร ขาดแต่วิชาตัวเบา จึงต้องปีนขึ้นมา

คุณหญิงชม ทำงานเกี่ยวหญ้าเลี้ยงช้าง ทำขนมส่งขาย ได้เงินมาโข จนปลูกเรือนใหญ่โต
อยู่ฝั่งตรงข้าม วัดไชยวัฒนาราม เรือนที่ได้ก็ถูก แม่บัวก็หาคนมารื้อ ถอด ขนย้ายให้เพื่อคิดการใหญ่
ราบนี้ใครหมดประโยชน์ทิ้งทันที มีประโยชน์มารยาสาไถยล่อหลอกให้ตายใจ

พระเอกพอล้างมลทินได้แม่บัวก็หมายจะหวนคืน วางแผนกับหมื่นหื่น แต่ไม่สำเร็จ
เพราะดันไปขอฤกษ์กับพุ่ม ศิษย์พี่ร่วมสำนัก จึงถูกซ้อนแผนโดยละม่อม

แม่บัวก็แผนสูง คิดส่งนางเอกเข้าวัง คงต้องติดตามกันต่อไป

ส่วนพระเอก ย้ายสังกัดมาอยู่กับคุณชายช่วง ได้ยลเรือเหล็กลอยน้ำ ก็คิดได้ว่า
ขนาดเรือนายหันแตรนำมาขาย ยังดีถึงเพียงนี้ แล้วเรือรบของทัพเรือวิลาศจะขนาดไหน

ท้ายนี้ผิดพลาดประการใด ผู้เขียนต้องขออภัยมา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ



อ้างอิง
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่