วันนี้เป็นเช้าวันศุกร์สุดสัปดาห์ และเป็นศุกร์สุดท้ายของเดือนพฤษภาคม สายฝนนั้นตกหนักตั้งแต่เช้าตรู่ ทำให้ผมนั้นไม่อยากจะลุกขึ้นจากที่นอนเลย แต่วันนี้นั้นเป็นวันสำคัญเพราะผมนั้นมีสอบวิชาคณิตศาสตร์ ซึ่งเป็นวิชาที่ผมเรียนอ่อนที่สุด ผมจึงจำเป็นจะต้องรีบแต่งตัวออกไปที่มหาวิทยาลัยแต่เช้า เพื่อที่อย่างน้อยจะได้มีเวลาไม่มากก็น้อยที่จะทบทวนเนื้อหาที่ได้อ่านมา ก่อนเข้าห้องสอบ ผมอาบน้ำอาบแต่งตัวเสร็จ จากนั้นก็ไปหาอะไรทานที่ห้องครัว เพื่อเป็นอาหารเช้าของวันนี้ ซึ่งกับข้าวเช้าในวันนี้นั้น คือ ข้าวสวยร้อน ๆ กับไข่เจียว ฝีมือของผมเอง เนื่องจาก พ่อกับแม่ของผมนั้นต้องไปประชุมและอบรมที่ต่างจังหวัดสามวัน และวันนี้ก็เพิ่งจะเป็นวันที่สอง ปล่อยให้ผมหาอะไรกินเอง แต่ช่างเถอะ อย่างน้อยผมก็ทำไข่เจียวเป็นหล่ะ ระหว่างทานอาหารไปดูข่าวภาคเข้าไป จู่ ๆ ในหัวของผม ก็ผุดเรื่องที่ผมและเพื่อนโดนผีหลอกขึ้นมา ถึงแม้ว่ามันจะผ่านมาแล้วสองอาทิตย์ก็เถอะ แต่ก็ยังทำให้ผมขนลุกไม่หาย
ผมทานข้าวเสร็จ จากนั้นก็ปิดทีวี ปิดหน้าต่างบ้าน ในขณะที่กำลังจะปิดประตูบ้านอยู่นั้น “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขั้น ผมจึงรีบเดินไปรับ “สวัสดีครับ” ผมทักทาย “เอ่อ...เอก นี่พ่อนะ พอดีว่า พ่อกับแม่ มีประชุมด่วน ต่ออีก สามวัน คงจะยังไม่กลับบ้านนะ” ฟังน้ำเสียงพ่อของผมพูดด้วย น้ำเสียงเหมือนจะไม่เครียดเอาเสียเลย ผมจึงสงสัยว่าพวกท่านไปอบรมหรือไปเที่ยวกันแน่ “ครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมอยู่ได้ แต่ถ้าวันไหน พ่อกับแม่กลับมา อาจจะเห็นผมเปลี่ยนไปเล็กน้อยตรงที่หน้าของผมกำลังจะเป็นเป็นไข่เป็ดและไข่ไก่” ผมพูดตอบพ่อไปแล้วก็เริ่มรู้สึกเซ็ง ๆ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ผมก็ต้องเฝ้าบ้านไปเล่นที่ไหนไกลไม่ได้ เนื่องจากขโมยแถวนี้ชุกชุม บ้านไหนไม่มีคนอยู่ จะโดนขโมยพวกนี้ยกเค้าซะจนเกลี้ยง “นี่ เอก หยุดพูดประชดเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวกลับบ้านจะซื้อของไปฝาก แค่นี้ก่อนนะลูก” “ครับผม สวัสดีครับ” จากนั้นผมก็ว่างสายไป ผมเดินกลับไปที่ประตูบ้านอีกครั้ง และกำลังจะปิดล็อกประตู “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นอีก “อะไร ว่ะ ใครชอบโทรมาแต่เช้าจริง คน ยิ่งรีบไปอยู่” ตอนนี้ผมเริ่มชักจะหงุดหงิดแล้ว “สวัสดีค่ะ พี่เอก” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ดังเข้ามาในสาย แน่นอนผมจำเสียงได้ แอน ลูกพี่ลูกน้องของผมเอง “ไง แอนมีอะไรเหรอ นี่เธอ วันนี้ ฉันต้องรีบไปมหาวิทยาลัยนะ” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก “อย่าเพิ่งไป แวะมารับแอนก่อน ขอติดรถไปด้วยสิ นะ ๆ ทางเดียวกันไปด้วยกัน” “เฮ้อ...โอเค รอแป๊บ” จากนั้นผมก็วางสายแล้วก็เดินไปประตูบ้าน เพื่อที่จะได้ปิดล็อกประตูได้เสียที แต่แล้วจู่ ๆ “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกคราวนี้ผมรู้สึกหัวเสียมาก แต่ก็ยังพูดสุภาพออกไป “สวัสดีครับ จะเรียนสายกับใครครับ” “เอ้อ.. ไอ้เอก นี่ฉันเองนะ P ไง มารับฉันหน่อยสิ รถยนต์ของพ่อฉันเสีย แถมฝนยังตกหนัก ฉันไม่มีรถไป” เสียง P เพื่อนผม มันพูดเสียงดังทำเอาหูผมแทบแตก” แล้วผมก็ตอบกลับแบบไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ว่า “เฮ้ยแต่บ้านนายอยู่ห่างจากบ้านฉันตั้งสามกิโล จะให้ฉันตีรถย้อนกลับไปรับนายเหรอ” “เอ่อน่า เพื่อนกัน ช่วยกันหน่อยสิว้า ยังไงก็เคยโดยผีตัวเดียวกันหลอก” เพื่อของผมตอบด้วยน้ำเสียงขอร้อง “เอ่อ ๆ ไปรับก็ได้ รอสักพักล่ะกัน” จากนั้นผมก็วางสายและได้ล็อกประตูบ้าน ขับรถออกไปเสียที
สรุปแล้ววันนี้ ผมนั้นจะมีผู้โดยสารสองคน “ก็ยังดี อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง” ผมบ่นเบา ๆ ขณะขับรถออกไป รถของผมไปจอดที่หน้าบ้านของแอนก่อนอันดับแรก ซึ่งบ้านของเธอนั้นอยู่ห่างจากบ้านของผมไปแค่ห้าหลัง จากนั้นผมก็ต้องตีรถย้อนกลับไปทางเดิมอีกสองกิโลเมตร เพื่อที่จะไปรับ P เพื่อนของผม แล้วเราทั้งสามคนก็เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน ระหว่างทางเราก็คุยกันเรื่อย ๆ เปื่อย แล้วจู่ ๆ แอนก็พูดขึ้นว่า “เอกและ P เจอผีหลอกมาแล้ว แอนชักอยากเจอมั่งซะแล้วสิ จะเหมือนในหนังป่าว” “อย่าพูดเล่น ๆ นะแอน” ผมตอบ “ใช่ ฉันต้องเป็นไข้ไปสามวันเลยนะ” P พูดเสริม “แหมแอนพูดเล่นหน่ะ ก็จะได้รู้ยังไงว่าเขาต้องการอะไร” แอนพูดต่อ จากนั้นเราทั้งสามคนก็ไม่คุยอะไรกันอีก เมื่อผมขับรถยนต์ใกล้จะถึงหาวิทยาลัย ฝนก็หยุดตก ผมขับรถเข้าไปส่งแอนก่อนเพราะตึกเรียนของเธอนั้นอยู่ก่อนตึกเรียนของผมกับเพื่อน หลังจากนั้น ผมก็ขับรถไปที่ตึกเรียนของซึ่งอยู่ห่างจากตึกเรียนของแอนไปสามตึก ผมจอดรถที่ลานจอดรถหน้าอาคาร แล้วก็เดินขึ้นตึกไปพร้อมกับ p และขณะนั้นก็เหลือเวลาเข้าห้องสอบเพียงครึ่งชั่วโมง ผมกับพี่ใช้เวลาทบทวนความรู้พร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ สักพักพอเหลือเวลาอีกห้านาทีผมจึงเข้าห้องสอบ ข้อสอบวิขาคณิตศาสตร์ในวันนี้ยากมาก แต่โชคดีที่ผมนั้นอ่านมาถูกทาง จึงพอจะทำได้บ้าง หลังจากสอบเสร็จผมเดินออกจากห้องสอบด้วยความรู้สึกที่โล่งอก ที่ได้สอบเสร็จ ๆ ไปซะที ถึงแม้ว่าผลสอบของผมจะสอบผ่านหรือไม่ก็ตาม หลังสอบเสร็จ P ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากมีเพื่อนอีกคนของผมเอารถยนต์มา P จึงจะขอติดรถกลับไปกับเขา เพราะไม่อยากจะให้ผมตีรถย้อนกลับไปกลับมา ส่วนผมนั้นแวะไปที่โรงอาหาร ซื้อข้าวผัดปลาหมึกจานใหญ่หนึ่งจานมาทาน เป็นอาหารเที่ยง เพราะรู้สึกเบื่อไข่เจียวฝีมือตนเองแล้ว หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ซื้อผัดไทยอีกสองห่อกลับไปด้วย ห่อหนึ่งไว้ให้ตนเอง ส่วนอีกห่อไว้ฝากแอน เผื่อเธอจะหิวด้วย หรือต่อให้เธอไม่หิว ผมก็เก็บไส้ตู้เย็นไว้อุ่นทานพรุ่งนี้เช้าได้ ผมนั่งรอที่โต๊ะอาหาหารของโรงอาหารสักพัก จากนั้นสายตาของผมก็มองไปเห็นหญิงสาวใส่ชุดนักศึกษาคนหนึ่งเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารด้านหน้าผมตามลำพัง เธอนั่งหันหลังให้ผม ผมจึงไม่เห็นหน้าเธอ แต่ผมก็สังเกตว่าหญิงสาวคนนี้ไว้ผมตรงสีดำยาวมากจนถึงเอว และแล้วจู่ ๆ หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามาหาผม แต่ว่าหันมาแต่หน้าตัวไม่หันด้วย แถมยังยิ้มให้ผมด้วย แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้มาแบบเละเทะ หรือเน่าเฟะ แต่มาในรูปแบบเหมือนคนทั่วไป ผมสังเกตว่าเธอเป็นคนที่หน้าตาสวยมาก แต่ถึงจะอย่างนั้น ผีก็คือผีครับ “เฮ้ย.....ผีหลอก” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมกับกระโดดออกจากโต๊ะอาหาร เอก “เอกเป็นอะไร” แอนรีบวิ่งฝ่าผู้คนเข้ามาในโรงอาหาร ผมจึงรีบหันหน้าวิ่งไปหาเธอ “แอน ผู้หญิงคนนั้น...” ผมพูดพร้อมกับหันกลับไปมองที่โต๊ะอาหารที่อยู่ข้างหน้าโต๊ะอาหารที่ผมนั่ง แต่สิ่งที่ผมพบคือ “ว่างเปล่า” ไม่มีใครนั่งที่โต๊ะตัวนั้น ผมรู้สึกงงมาก แต่แอนก็รีบดึงแขนของผมวิ่งแหวกผู้คนออกมากจากโรงอาหารท่ามกลางสายตาของผู้คนแถวนั้นที่จ้องมายังผม “นายบ้าไปแล้วเหรอไง เสียงตะโกนของนายดังไปจนถึงหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยเลย” แอนพูดพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อน ซึ่งอยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ตนหนึ่ง พร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อ แล้วผมก็นั่งลงข้าง ๆ แอน “นี่นาย.. ตะโกนเสียงดัง บอกว่าเจอผีกลางวันแสก ๆ นี่น่ะ” แอนพูดพร้อมกับเช็ดหน้าไปพลาง “ใช่เห็นหน้าชัดเลยด้วย” ผมตอบ “ถ้าอย่างนั้นเธอจะมาหลอกนายตอนกลางวันแสก ๆ ทำไม” แอนถามต่อ “อ้าว...แล้วใครจะรู้หล่ะว่าผีมีเหตุผลอะไร” ผมตอบแอนพร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้าของตนเองจากระเป๋าเสื้อมาเช็ดหน้าตนเองบ้าง แล้วจู่ ๆ แอนก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับพูดกับผมว่า “จริงสิ ถ้าสิ่งที่นายพูดเป็นจริง....นายบอกว่าเห็นหน้าหญิงสาวคนนี้ใช่ไหม” แอนถามผม “ใช่ แล้วไง” ผมคิดว่าแอน คงจะมีความคิดอะไรบางอย่างอีกแน่ ๆ “ที่ห้องสมุดไง มีแฟ้มบันทึกประวัติของนักศึกษาที่เข้าใหม่ทุกรุ่น รวมถึงรุ่นของพวกเราที่เพิ่งจะบันทึกไว้ล่าสุดเมื่อตอนวันรับน้องจำได้หรือเปล่า พวกรุ่นพี่บอกว่าพวกเขาจะเอาไปเก็บไว้ที่นั่นเผื่อมีนักศึกษาคนไหนอยากจะดู” คำพูดของแอนทำให้ผมนึกขึ้นมาได้เช่นกัน “เออ จริงสิ ถ้าอย่างนั้นไปกัน” ผมกับแอนจึงพากันรีบไปยังห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทันที ซึ่งก็อยู่ห่างจากโต๊ะหินอ่อนที่เรานั่งไม่ไกลนัก
(ต่อตอนต่อไป)
เธอ คือใคร 3
ผมทานข้าวเสร็จ จากนั้นก็ปิดทีวี ปิดหน้าต่างบ้าน ในขณะที่กำลังจะปิดประตูบ้านอยู่นั้น “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขั้น ผมจึงรีบเดินไปรับ “สวัสดีครับ” ผมทักทาย “เอ่อ...เอก นี่พ่อนะ พอดีว่า พ่อกับแม่ มีประชุมด่วน ต่ออีก สามวัน คงจะยังไม่กลับบ้านนะ” ฟังน้ำเสียงพ่อของผมพูดด้วย น้ำเสียงเหมือนจะไม่เครียดเอาเสียเลย ผมจึงสงสัยว่าพวกท่านไปอบรมหรือไปเที่ยวกันแน่ “ครับ ไม่ต้องห่วงผมหรอก ผมอยู่ได้ แต่ถ้าวันไหน พ่อกับแม่กลับมา อาจจะเห็นผมเปลี่ยนไปเล็กน้อยตรงที่หน้าของผมกำลังจะเป็นเป็นไข่เป็ดและไข่ไก่” ผมพูดตอบพ่อไปแล้วก็เริ่มรู้สึกเซ็ง ๆ เพราะถ้าพ่อแม่ไม่อยู่ผมก็ต้องเฝ้าบ้านไปเล่นที่ไหนไกลไม่ได้ เนื่องจากขโมยแถวนี้ชุกชุม บ้านไหนไม่มีคนอยู่ จะโดนขโมยพวกนี้ยกเค้าซะจนเกลี้ยง “นี่ เอก หยุดพูดประชดเดี๋ยวนี้เลย เดี๋ยวกลับบ้านจะซื้อของไปฝาก แค่นี้ก่อนนะลูก” “ครับผม สวัสดีครับ” จากนั้นผมก็ว่างสายไป ผมเดินกลับไปที่ประตูบ้านอีกครั้ง และกำลังจะปิดล็อกประตู “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์บ้านก็ดังขึ้นอีก “อะไร ว่ะ ใครชอบโทรมาแต่เช้าจริง คน ยิ่งรีบไปอยู่” ตอนนี้ผมเริ่มชักจะหงุดหงิดแล้ว “สวัสดีค่ะ พี่เอก” เสียงของหญิงสาวคนหนึ่ง ดังเข้ามาในสาย แน่นอนผมจำเสียงได้ แอน ลูกพี่ลูกน้องของผมเอง “ไง แอนมีอะไรเหรอ นี่เธอ วันนี้ ฉันต้องรีบไปมหาวิทยาลัยนะ” ผมตอบแบบน้ำเสียงไม่ค่อยพอใจนัก “อย่าเพิ่งไป แวะมารับแอนก่อน ขอติดรถไปด้วยสิ นะ ๆ ทางเดียวกันไปด้วยกัน” “เฮ้อ...โอเค รอแป๊บ” จากนั้นผมก็วางสายแล้วก็เดินไปประตูบ้าน เพื่อที่จะได้ปิดล็อกประตูได้เสียที แต่แล้วจู่ ๆ “กริ๊ง ๆ ๆ ๆ “ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้นอีกคราวนี้ผมรู้สึกหัวเสียมาก แต่ก็ยังพูดสุภาพออกไป “สวัสดีครับ จะเรียนสายกับใครครับ” “เอ้อ.. ไอ้เอก นี่ฉันเองนะ P ไง มารับฉันหน่อยสิ รถยนต์ของพ่อฉันเสีย แถมฝนยังตกหนัก ฉันไม่มีรถไป” เสียง P เพื่อนผม มันพูดเสียงดังทำเอาหูผมแทบแตก” แล้วผมก็ตอบกลับแบบไม่ค่อยสบอารมณ์เท่าไหร่ว่า “เฮ้ยแต่บ้านนายอยู่ห่างจากบ้านฉันตั้งสามกิโล จะให้ฉันตีรถย้อนกลับไปรับนายเหรอ” “เอ่อน่า เพื่อนกัน ช่วยกันหน่อยสิว้า ยังไงก็เคยโดยผีตัวเดียวกันหลอก” เพื่อของผมตอบด้วยน้ำเสียงขอร้อง “เอ่อ ๆ ไปรับก็ได้ รอสักพักล่ะกัน” จากนั้นผมก็วางสายและได้ล็อกประตูบ้าน ขับรถออกไปเสียที
สรุปแล้ววันนี้ ผมนั้นจะมีผู้โดยสารสองคน “ก็ยังดี อย่างน้อยก็มีเพื่อนร่วมทาง” ผมบ่นเบา ๆ ขณะขับรถออกไป รถของผมไปจอดที่หน้าบ้านของแอนก่อนอันดับแรก ซึ่งบ้านของเธอนั้นอยู่ห่างจากบ้านของผมไปแค่ห้าหลัง จากนั้นผมก็ต้องตีรถย้อนกลับไปทางเดิมอีกสองกิโลเมตร เพื่อที่จะไปรับ P เพื่อนของผม แล้วเราทั้งสามคนก็เดินทางไปที่มหาวิทยาลัยด้วยกัน ระหว่างทางเราก็คุยกันเรื่อย ๆ เปื่อย แล้วจู่ ๆ แอนก็พูดขึ้นว่า “เอกและ P เจอผีหลอกมาแล้ว แอนชักอยากเจอมั่งซะแล้วสิ จะเหมือนในหนังป่าว” “อย่าพูดเล่น ๆ นะแอน” ผมตอบ “ใช่ ฉันต้องเป็นไข้ไปสามวันเลยนะ” P พูดเสริม “แหมแอนพูดเล่นหน่ะ ก็จะได้รู้ยังไงว่าเขาต้องการอะไร” แอนพูดต่อ จากนั้นเราทั้งสามคนก็ไม่คุยอะไรกันอีก เมื่อผมขับรถยนต์ใกล้จะถึงหาวิทยาลัย ฝนก็หยุดตก ผมขับรถเข้าไปส่งแอนก่อนเพราะตึกเรียนของเธอนั้นอยู่ก่อนตึกเรียนของผมกับเพื่อน หลังจากนั้น ผมก็ขับรถไปที่ตึกเรียนของซึ่งอยู่ห่างจากตึกเรียนของแอนไปสามตึก ผมจอดรถที่ลานจอดรถหน้าอาคาร แล้วก็เดินขึ้นตึกไปพร้อมกับ p และขณะนั้นก็เหลือเวลาเข้าห้องสอบเพียงครึ่งชั่วโมง ผมกับพี่ใช้เวลาทบทวนความรู้พร้อมกับเพื่อนคนอื่น ๆ สักพักพอเหลือเวลาอีกห้านาทีผมจึงเข้าห้องสอบ ข้อสอบวิขาคณิตศาสตร์ในวันนี้ยากมาก แต่โชคดีที่ผมนั้นอ่านมาถูกทาง จึงพอจะทำได้บ้าง หลังจากสอบเสร็จผมเดินออกจากห้องสอบด้วยความรู้สึกที่โล่งอก ที่ได้สอบเสร็จ ๆ ไปซะที ถึงแม้ว่าผลสอบของผมจะสอบผ่านหรือไม่ก็ตาม หลังสอบเสร็จ P ขอตัวกลับก่อน เนื่องจากมีเพื่อนอีกคนของผมเอารถยนต์มา P จึงจะขอติดรถกลับไปกับเขา เพราะไม่อยากจะให้ผมตีรถย้อนกลับไปกลับมา ส่วนผมนั้นแวะไปที่โรงอาหาร ซื้อข้าวผัดปลาหมึกจานใหญ่หนึ่งจานมาทาน เป็นอาหารเที่ยง เพราะรู้สึกเบื่อไข่เจียวฝีมือตนเองแล้ว หลังจากทานข้าวเสร็จผมก็ซื้อผัดไทยอีกสองห่อกลับไปด้วย ห่อหนึ่งไว้ให้ตนเอง ส่วนอีกห่อไว้ฝากแอน เผื่อเธอจะหิวด้วย หรือต่อให้เธอไม่หิว ผมก็เก็บไส้ตู้เย็นไว้อุ่นทานพรุ่งนี้เช้าได้ ผมนั่งรอที่โต๊ะอาหาหารของโรงอาหารสักพัก จากนั้นสายตาของผมก็มองไปเห็นหญิงสาวใส่ชุดนักศึกษาคนหนึ่งเดินมานั่งลงที่โต๊ะอาหารด้านหน้าผมตามลำพัง เธอนั่งหันหลังให้ผม ผมจึงไม่เห็นหน้าเธอ แต่ผมก็สังเกตว่าหญิงสาวคนนี้ไว้ผมตรงสีดำยาวมากจนถึงเอว และแล้วจู่ ๆ หญิงสาวคนนั้นก็หันหน้ามาหาผม แต่ว่าหันมาแต่หน้าตัวไม่หันด้วย แถมยังยิ้มให้ผมด้วย แต่ใบหน้าของเธอก็ไม่ได้มาแบบเละเทะ หรือเน่าเฟะ แต่มาในรูปแบบเหมือนคนทั่วไป ผมสังเกตว่าเธอเป็นคนที่หน้าตาสวยมาก แต่ถึงจะอย่างนั้น ผีก็คือผีครับ “เฮ้ย.....ผีหลอก” ผมตะโกนเสียงดังพร้อมกับกระโดดออกจากโต๊ะอาหาร เอก “เอกเป็นอะไร” แอนรีบวิ่งฝ่าผู้คนเข้ามาในโรงอาหาร ผมจึงรีบหันหน้าวิ่งไปหาเธอ “แอน ผู้หญิงคนนั้น...” ผมพูดพร้อมกับหันกลับไปมองที่โต๊ะอาหารที่อยู่ข้างหน้าโต๊ะอาหารที่ผมนั่ง แต่สิ่งที่ผมพบคือ “ว่างเปล่า” ไม่มีใครนั่งที่โต๊ะตัวนั้น ผมรู้สึกงงมาก แต่แอนก็รีบดึงแขนของผมวิ่งแหวกผู้คนออกมากจากโรงอาหารท่ามกลางสายตาของผู้คนแถวนั้นที่จ้องมายังผม “นายบ้าไปแล้วเหรอไง เสียงตะโกนของนายดังไปจนถึงหน้าทางเข้ามหาวิทยาลัยเลย” แอนพูดพร้อมกับนั่งลงที่เก้าอี้หินอ่อน ซึ่งอยู่ใต้ต้นก้ามปูใหญ่ตนหนึ่ง พร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้ามาเช็ดเหงื่อ แล้วผมก็นั่งลงข้าง ๆ แอน “นี่นาย.. ตะโกนเสียงดัง บอกว่าเจอผีกลางวันแสก ๆ นี่น่ะ” แอนพูดพร้อมกับเช็ดหน้าไปพลาง “ใช่เห็นหน้าชัดเลยด้วย” ผมตอบ “ถ้าอย่างนั้นเธอจะมาหลอกนายตอนกลางวันแสก ๆ ทำไม” แอนถามต่อ “อ้าว...แล้วใครจะรู้หล่ะว่าผีมีเหตุผลอะไร” ผมตอบแอนพร้อมกับนำผ้าเช็ดหน้าของตนเองจากระเป๋าเสื้อมาเช็ดหน้าตนเองบ้าง แล้วจู่ ๆ แอนก็ลุกพรวดขึ้นพร้อมกับพูดกับผมว่า “จริงสิ ถ้าสิ่งที่นายพูดเป็นจริง....นายบอกว่าเห็นหน้าหญิงสาวคนนี้ใช่ไหม” แอนถามผม “ใช่ แล้วไง” ผมคิดว่าแอน คงจะมีความคิดอะไรบางอย่างอีกแน่ ๆ “ที่ห้องสมุดไง มีแฟ้มบันทึกประวัติของนักศึกษาที่เข้าใหม่ทุกรุ่น รวมถึงรุ่นของพวกเราที่เพิ่งจะบันทึกไว้ล่าสุดเมื่อตอนวันรับน้องจำได้หรือเปล่า พวกรุ่นพี่บอกว่าพวกเขาจะเอาไปเก็บไว้ที่นั่นเผื่อมีนักศึกษาคนไหนอยากจะดู” คำพูดของแอนทำให้ผมนึกขึ้นมาได้เช่นกัน “เออ จริงสิ ถ้าอย่างนั้นไปกัน” ผมกับแอนจึงพากันรีบไปยังห้องสมุดของมหาวิทยาลัยทันที ซึ่งก็อยู่ห่างจากโต๊ะหินอ่อนที่เรานั่งไม่ไกลนัก
(ต่อตอนต่อไป)