บทความนี้เป็นบทความครั้งแรกของผม ซึ่งตัวผมเองนั้นไม่ค่อยได้ศัพท์เรื่องตัวกลไกปืนเท่าไหร่นัก(คือไม่ได้เลยแหละ)ก็ขอความกรุณาด้วยครับแหะๆ
หากพูดถึงปืนไรเฟิลที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามไปตลอดการหลายคนอาจนึกถึงเจ้า stg 44 แต่สำหรับผมมันคือเจ้า fg 42 โดยมันคือที่รวมอำนาจอัตราการยิงที่เยอะของปืนกลมือและปืนไรเฟิลเข้าด้วยกัน โดยมันออกแบบมาทดแทนข้อด้อยของปืนประจำกายทุกชนิดของทหารเยอรมันในสมัยนั้นเพราะปืนกลมืออัตราการยิงที่เยอะแต่ระยะหวังผลต่ำ กับปืนไรเฟิลที่มีอำนาจการยิงและระยะที่ดีกว่าวิศวกรผู้ออกแบบของเยอรมันในตอนนั้นจึงได้ออกแบบปืนชนิดนี้เพื่อลบข้อด้อยของปืนของทหารเยอรมันในตอนนั้น
ความต้องการ
ในปี 1941 หน่วยพลร่มของเยอรมันต้องการปืนชนิดใหม่ที่มีอำนาจการยิงที่เหนือกว่ามีน้ำหนักที่เบา สามารถพกพาสามารถแบกไปได้คนเดียวเพื่อมาทดแทนปืน k98 และ mp40 ในตอนนั้น
การพัฒนา
หลังจากทราบความต้องการของเหล่าพลร่มเยอรมันเหล่าบริษัทในเยอรมันทั้ง 6 บริษัทได้แก่ 1.Gustloff-Werke 2.Mauser 3.Johannes Großfuß Metall 4.Lackierwarenfabrik 5.C.G. Hänel, Rheinmetall-Borsig 6.Heinrich Krieghoff Waffenfabrik ได้ส่งแบบเข้าประกวดโดยทาง mauser ได้ส่งแบบปืน mg 81 เข้าประกวดแต่ก็ถูกปฏิเสธไปเนื่องมีน้ำหนักที่มากเกินไป
ปืน mg 81

แต่สุดท้ายแบบของ Rheinmetall-Borsig และ Krieghoff ได้รับการคัดเลือกโดยปืนที่ Rheinmetall-Borsig และ Krieghoff ส่งประกวดนั้นคือ Gerät 450 (ซึ่งต่อมาภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น lc 6)โดยตัวปืนนั้นออกแบบโดยเสืออากาศเก่าอย่าง Louis Stange
รูปของ Louis Stange

โดยตัวปืนต้นแบบนั้นได้ออกแบบในชื่อ lc 6 โดยตัวปืนนั้นมีน้ำหนักที่ถือว่าเบามากในตอนนั้นโดยมันมีน้ำหนักประมาณ k98k แต่กลับมีลำกล้องที่สั้นกว่า ผลิตขึ้นโดยใช้เหล็กแผ่นปั๊มขึ้นรูปโดยมันสามารถใส่แม็กาซีนได้ 2 แบบคือขนาด 20 นัดกับขนาด 10 นัด โดยตัวปืนนั้นใช้ระบบปฏิบัติการด้วยแก๊สลูกสูบยาว rotating bolt ระบายความร้อนด้วยอากาศ และมีระบบการยิง 2 ระบบคือยิงทีละนัดและแบบ full auto โดยตัวปืน lc 6 นั้นไม่ได้รับการผลิตแต่อย่างใดแต่ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็น lc 6/ll โดยตัวปืนนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยตัวกระโจมมือถูกเปลี่ยนไปใช้ไฟเบอร์ชุบยางแทนเหล็กแผ่น เพราะให้การจับที่แน่นกว่าตอนตัวปืนนั้นเปียกน้ำและเวลาตัวลำกล้องร้อนมันจะเป็นฉนวนความร้อนที่ดีกว่าเมื่อยิงไปนานๆ ต่อมาตัวปืน lc 6/ll ได้ถูกนำไปพัฒนา แก้ไขจุดข้อด้อยต่างๆจนกลายเป็น lc 6/lll ซึ่งต่อมาเจ้าปืน lc 6/lll ได้ถูกนำไปผลิต โดยใช้ชื่อ Fallschirmjager gevehr 42 (ภาษาอังกฤษ

aratrooper's rifle model 1942) หรือแปลตรงๆก็คือ "ปืนไรเฟิลของพลร่มโมเดล 1942" โดยตอนแรกมันถูกผลิตมาทั้งหมด 50 กระบอกในช่วงปี 1943 และได้มี 6 กระบอกถูกนำไปทดสอบที่โรงงาน GL/C E-6 โดยตัวปืนในขั้นตอนสุดท้ายได้เปลี่ยนพานท้ายที่ปกติทำจากไม้เป็นเหล็กแผ่นแทน และใส่ปลอกลดแสงเข้าไปเพิ่มเติม โดยผลการทดสอบมันไม่น่าพอใจเท่าไหร่นัก ปัญหาของมันพบว่าเมื่อยิงเครื่องยิงลูกระเบิดปากลำกล้องหลังจากยิงกระสุนไปประมาณ 2100 นัด จะมีอาการ pressed metal buttstock(ตรงนี้แปลแล้วงงมากรอผู้รู้มาตอบ)ทำให้คนยิงได้รับบาดเจ็บหรือพิการ
การผลิต
ด้วยตัวปืนนั้นในการผลิตจำเป็นต้องใช้ เหล็กโครเมี่ยม-นิกเกิลเป็นส่วนประกอบแต่ด้วยช่วงนั้นเกิดภาวะเหล็กชนิดนี้อย่างมาก ในช่วงนั้นเหล่ากองทัพอากาศเยอรมันต้องการปืนชนิดนี้ถึง 3000 กระบอก เพื่อแก้ปัญหาสภาวะขาดแคลนเหล็กโครเมี่ยมและนิกเกิ้ลอย่างมากและเพื่อให้ผลิตปืนตามตำนวนที่ต้องการ ทำให้จำเป็นต้องไปใช้เหล็ก-แมงกานีสแทน และเนื่องจากโรงงานของ Rheinmetall-Borsig นั้นผลิตไม่ทันตามความต้องการของกองทัพทำให้สุดท้ายจึงต้องแบ่งพิมพ์เขียวไปให้บริษัท Krieghoff ช่วยทำการผลิต
เปิดตัวครั้งแรก
ภาระกิจแรกของเจ้า fg 42 นั้นคือการไปช่วยเบลิโต้ มุโสลินิ ที่กำลังถูกทางการรัฐบาลใหม่ของอิตาลีจับกุม(ซึ่งสุดท้ายก็ช่วยไม่สำเร็จ)
โดยตัวปืนมีหลักๆอยู๋ 2 โมเดลคือ
fg 42 type e หรือเวอร์ชั่นแรกของเจ้า fg 42 นั่นเอง
fg 42 type e

ขนาดกระสุน 7.92x57 mm
ความยาวโดยรวมของปืน 940 mm
ความยาวลำกล้อง 508 mm
น้ำหนักเปล่า 4.38 kg
อัตราการยิง 900 นัด/นาที
fg 42 type g เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ของเจ้า type e โดยเปลี่ยนพานท้ายเป็นไม้เหมือนเดิมเพราะมันมีปัญหาพลปืนเอาแก้มแนบกับพานท้ายไม่ได้เพราะเหลํกมันร้อนเกิน เลยต้องเปลี่ยนเป็นไม้แทน จุดติดตั้งขาตั้งปืนถูกเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ตรงๆแถวปลอกลดแสงแทนตรงลำตัวของปืน โดยรุ่นนี้มีน้ำหนักและความยาวลำกล้องที่เพิ่มมากขึ้นแต่อัตราการยิงลดลง และได้รับการสั่งเข้าประจำการ 5000 กระบอก
fg 42 type g

ขนาดกระสุน 7.92x57 mm
ความยาวโดยรวมของปืน 1060 mm
ความยาวลำกล้อง 525 mm
น้ำหนักเปล่า 5.05 kg
อัตราการยิง 600 นัด/นาที
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/FG_42
http://world.guns.ru/rifle/autoloading-rifles/de/fg-42-e.html
http://www.fallschirmjager.net/Weapons/FG42/fg42.html
http://specialoperations.com/28827/fg42-ahead-time-forgotten/
FG42 ปืนไรเฟิลจู่โจมแห่งกองทัพเยอรมัน
หากพูดถึงปืนไรเฟิลที่เปลี่ยนโฉมหน้าสงครามไปตลอดการหลายคนอาจนึกถึงเจ้า stg 44 แต่สำหรับผมมันคือเจ้า fg 42 โดยมันคือที่รวมอำนาจอัตราการยิงที่เยอะของปืนกลมือและปืนไรเฟิลเข้าด้วยกัน โดยมันออกแบบมาทดแทนข้อด้อยของปืนประจำกายทุกชนิดของทหารเยอรมันในสมัยนั้นเพราะปืนกลมืออัตราการยิงที่เยอะแต่ระยะหวังผลต่ำ กับปืนไรเฟิลที่มีอำนาจการยิงและระยะที่ดีกว่าวิศวกรผู้ออกแบบของเยอรมันในตอนนั้นจึงได้ออกแบบปืนชนิดนี้เพื่อลบข้อด้อยของปืนของทหารเยอรมันในตอนนั้น
ความต้องการ
ในปี 1941 หน่วยพลร่มของเยอรมันต้องการปืนชนิดใหม่ที่มีอำนาจการยิงที่เหนือกว่ามีน้ำหนักที่เบา สามารถพกพาสามารถแบกไปได้คนเดียวเพื่อมาทดแทนปืน k98 และ mp40 ในตอนนั้น
การพัฒนา
หลังจากทราบความต้องการของเหล่าพลร่มเยอรมันเหล่าบริษัทในเยอรมันทั้ง 6 บริษัทได้แก่ 1.Gustloff-Werke 2.Mauser 3.Johannes Großfuß Metall 4.Lackierwarenfabrik 5.C.G. Hänel, Rheinmetall-Borsig 6.Heinrich Krieghoff Waffenfabrik ได้ส่งแบบเข้าประกวดโดยทาง mauser ได้ส่งแบบปืน mg 81 เข้าประกวดแต่ก็ถูกปฏิเสธไปเนื่องมีน้ำหนักที่มากเกินไป
ปืน mg 81
แต่สุดท้ายแบบของ Rheinmetall-Borsig และ Krieghoff ได้รับการคัดเลือกโดยปืนที่ Rheinmetall-Borsig และ Krieghoff ส่งประกวดนั้นคือ Gerät 450 (ซึ่งต่อมาภายหลังถูกเปลี่ยนชื่อเป็น lc 6)โดยตัวปืนนั้นออกแบบโดยเสืออากาศเก่าอย่าง Louis Stange
รูปของ Louis Stange
โดยตัวปืนต้นแบบนั้นได้ออกแบบในชื่อ lc 6 โดยตัวปืนนั้นมีน้ำหนักที่ถือว่าเบามากในตอนนั้นโดยมันมีน้ำหนักประมาณ k98k แต่กลับมีลำกล้องที่สั้นกว่า ผลิตขึ้นโดยใช้เหล็กแผ่นปั๊มขึ้นรูปโดยมันสามารถใส่แม็กาซีนได้ 2 แบบคือขนาด 20 นัดกับขนาด 10 นัด โดยตัวปืนนั้นใช้ระบบปฏิบัติการด้วยแก๊สลูกสูบยาว rotating bolt ระบายความร้อนด้วยอากาศ และมีระบบการยิง 2 ระบบคือยิงทีละนัดและแบบ full auto โดยตัวปืน lc 6 นั้นไม่ได้รับการผลิตแต่อย่างใดแต่ถูกนำไปพัฒนาต่อเป็น lc 6/ll โดยตัวปืนนั้นได้ถูกเปลี่ยนแปลงโดยตัวกระโจมมือถูกเปลี่ยนไปใช้ไฟเบอร์ชุบยางแทนเหล็กแผ่น เพราะให้การจับที่แน่นกว่าตอนตัวปืนนั้นเปียกน้ำและเวลาตัวลำกล้องร้อนมันจะเป็นฉนวนความร้อนที่ดีกว่าเมื่อยิงไปนานๆ ต่อมาตัวปืน lc 6/ll ได้ถูกนำไปพัฒนา แก้ไขจุดข้อด้อยต่างๆจนกลายเป็น lc 6/lll ซึ่งต่อมาเจ้าปืน lc 6/lll ได้ถูกนำไปผลิต โดยใช้ชื่อ Fallschirmjager gevehr 42 (ภาษาอังกฤษ
การผลิต
ด้วยตัวปืนนั้นในการผลิตจำเป็นต้องใช้ เหล็กโครเมี่ยม-นิกเกิลเป็นส่วนประกอบแต่ด้วยช่วงนั้นเกิดภาวะเหล็กชนิดนี้อย่างมาก ในช่วงนั้นเหล่ากองทัพอากาศเยอรมันต้องการปืนชนิดนี้ถึง 3000 กระบอก เพื่อแก้ปัญหาสภาวะขาดแคลนเหล็กโครเมี่ยมและนิกเกิ้ลอย่างมากและเพื่อให้ผลิตปืนตามตำนวนที่ต้องการ ทำให้จำเป็นต้องไปใช้เหล็ก-แมงกานีสแทน และเนื่องจากโรงงานของ Rheinmetall-Borsig นั้นผลิตไม่ทันตามความต้องการของกองทัพทำให้สุดท้ายจึงต้องแบ่งพิมพ์เขียวไปให้บริษัท Krieghoff ช่วยทำการผลิต
เปิดตัวครั้งแรก
ภาระกิจแรกของเจ้า fg 42 นั้นคือการไปช่วยเบลิโต้ มุโสลินิ ที่กำลังถูกทางการรัฐบาลใหม่ของอิตาลีจับกุม(ซึ่งสุดท้ายก็ช่วยไม่สำเร็จ)
โดยตัวปืนมีหลักๆอยู๋ 2 โมเดลคือ
fg 42 type e หรือเวอร์ชั่นแรกของเจ้า fg 42 นั่นเอง
fg 42 type e
ขนาดกระสุน 7.92x57 mm
ความยาวโดยรวมของปืน 940 mm
ความยาวลำกล้อง 508 mm
น้ำหนักเปล่า 4.38 kg
อัตราการยิง 900 นัด/นาที
fg 42 type g เป็นการปรับปรุงครั้งใหญ่ของเจ้า type e โดยเปลี่ยนพานท้ายเป็นไม้เหมือนเดิมเพราะมันมีปัญหาพลปืนเอาแก้มแนบกับพานท้ายไม่ได้เพราะเหลํกมันร้อนเกิน เลยต้องเปลี่ยนเป็นไม้แทน จุดติดตั้งขาตั้งปืนถูกเปลี่ยนตำแหน่งไปอยู่ตรงๆแถวปลอกลดแสงแทนตรงลำตัวของปืน โดยรุ่นนี้มีน้ำหนักและความยาวลำกล้องที่เพิ่มมากขึ้นแต่อัตราการยิงลดลง และได้รับการสั่งเข้าประจำการ 5000 กระบอก
fg 42 type g
ขนาดกระสุน 7.92x57 mm
ความยาวโดยรวมของปืน 1060 mm
ความยาวลำกล้อง 525 mm
น้ำหนักเปล่า 5.05 kg
อัตราการยิง 600 นัด/นาที
อ้างอิง
https://en.wikipedia.org/wiki/FG_42
http://world.guns.ru/rifle/autoloading-rifles/de/fg-42-e.html
http://www.fallschirmjager.net/Weapons/FG42/fg42.html
http://specialoperations.com/28827/fg42-ahead-time-forgotten/