อย่าว่าโง้นงี้เลย ขอย้อนกลับไปเล่าฉากสำคัญที่ริมคลองผดุงอีกนี้็ดส์เถอะ
ณ ห้องผู้บริหารสูงสุดบนตึกเยาวมาลย์ ราวเดือน เมษายน ปี พ.ศ. 2523 สตรีหน้าตาธรรมดา ๆ รูปร่างผอมเกร็งนางสาวหนึ่ง พลันไปปรากฏกายในห้องนั้น สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะทำงานขนาดเขื่องนั้นคือซองปูดโปนจำนวนหนึ่ง มิอาจรู้ชัดว่าภายในบรรจุด้วยวัตถุหรือวัสดุอันใด แต่คาดเดาได้ว่าไม่ว่าใครก็คงจะพอคะเนได้ว่ามันคืออันหยัง ฉากสนทนาของสตรีนางสาวหนึ่งกับชายวัยกลางคนผู้มียศศักดิ์ในวันนั้นจึงจบลง ด้วยความสิ้นหวังของทั้งเธอและขนิษฐาผู้หล่อเหลาเอาการเอางาน แว่วยินมาว่าในศกนั้นเอง ชั้นม.ศ.4 ถิ่นแดนรำเพยริมผดุงก็ได้ต้อนรับเด็กขาสั้นสีกากีผู้มาใหม่อีกห้าสิบนายที่หาได้ผ่านการคัดกรองด้วยข้อสอบใดใดไม่ เพียงอาศัยใบเบิกทางในซองปริศนาอันปูดโปนก็ผ่านเข้าประตูข้างต้นหูกวางอย่างแฉล้มฉลุยแล้ว มิห่วงใยคราบน้ำตาอีกห้าสิบผู้ถูกบีบคั้นให้จากจรอย่างอ่อนระทวยใจในเบื้องหลัง อืมมมม ปริศนานี้น่าขบนัก น่าขบนัก.....
เปิดเรียนวัดสังเวชวันแรกช่างแปลกปร่า เดินเข้ามาดูบอร์ดประกาศอย่างขลาดหวั่น ด้วยสายตาอนงค์นางสาวมากล้นจัง แถมยังนั่งทำปากมุบมิบซุบซิบกัน......... ( อันนี้เรียกว่า " กลอนสิบสุภาพยิ่งนัก" ถ้าไม่คุ้นจะจับจังหวะอ่านได้ยากนิดนึง ฝึกอ่านเรื่อย ๆก็จะคุ้นไปเอง ) ก็แหม เรามาจากโรงเรียนชายล้วนนี่นา แถมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีโอกาสไปเจ๊า๊ะแจ๊ะกับเด็กผู้หญิงที่ไหน เว้นแต่เด็กข้างบ้านรุ่นเดียวกัน ( ตอนหลังเค้ากลายเป็นบัณฑิตวาราสารศาสตร์ ม.ธ. ) พอมาเจอโรงเรียนที่มีสตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินยึดครองไปกว่าค่อน อาการตกประหม่ามือไม้สั่นทำอะไรเงอะ ๆงะ ๆจึงย่อมมีเป็นธรรมดา กว่าจะปรับตัวได้ก็นานสองนานทีเดียว ยังจำได้เลยว่า วันแรกมีเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนนึงมานั่งที่โต๊ะเรา เราไม่รู้จะพูดยังไงเลยบอกเธอไปว่า " นี่ แก แกมานั่งโต๊ะฉันทำไม" เล่นเอาเพื่อน ๆที่ได้ยินอึ้งไปตาม ๆกัน แล้วก็หัวเราะหยันกันยกใหญ่ทีเดียวเชียว " เฮ้ย ผู้ชายอะไรวะ พูดกับผู้หญิงว่า แก" อ้าว ไม่ยักกะรู้นี่ ( หว่า ) ว่าเค้าไม่พูดกันแบบนั้น แป่วววว
ห้องเรามีนักเรียน 39 คน แบ่งเป็นพวกยืนฉี่ 9 ยอง ๆฉี่ 30 และไม่ปรากฏเพศคลุมเครือแม้แต่คนเดียวจวบจนบัดเดี๋ยวนี้ ในจำนวนทั้งหมดนี้ เป็นพวกเด็กเก่าที่ผ่านจากชั้น ม.ศ.3 ขึ้นมาราว 35 คน ที่เหลือเป็นพวกที่สอบเข้าใหม่ รวม ม.ศ. 4 สี่ห้องก็มีเด็กใหม่ไม่ถึงยี่สิบคน สองในนั้นมาจากเทพศิรินทร์ จึงเกิดการเม้าท์แหลกแจกน้ำลายไปทั่วแว่นแคว้นว่า " มีเด็กเทพฯเข้ามาด้วย" " คนไหน ๆวะ" " มันจะมาเข้าโรงเรียนเราทำไมวะ " " มันต้องโดนไล่ออกมาแหงมเลย" และแล้วจึงเกิดปรากฏการณ์ดูตัวอะแซหวุ่นกี้ขึ้น จะมีเพื่อน ๆจากอีกสามห้องแวะเวียนกันมาชี้ตัวดูตัวเรากันให้ควั่กทีเดียว ประเภท " อ๋อ ไอ้แว่นนี่เอง ท่าทางมันจะเด็กเรียนว่ะ ตรูว่ามันไม่น่าจะโดนไล่ออกนะ" ตอนหลัง พอทุกคนล่วงรู้คำเฉลยแห่งปริศนาตอนต้นแล้ว ก็ถึงบางอ้อว่า เหตุไฉนใยเราจึ่งอพยพโยกย้ายจากถิ่นนามอุโฆษโดดมาย่ำถิ่นบางลำพูนี้
พอปรับตัวและเปลี่ยนมาพูด " ฉันๆเธอ ๆ แทนฉัน ๆแก ๆ" ได้เนียนปากแล้ว เรื่องหนุก ๆหนาน ๆบานใจก็ตามมาอีกเพียบทีเดียวเชียวแหละ แต่ก่อนอื่น ขอเล่าถึงพวกเพื่อนผู้ชายกันหน่อย มีเด็กเก่าอยู่คนชื่อไอ้พฏ ( จุมพฏ ) มันกวนโอ๊ยเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่าพวกเราจะจับกลุ่มกันคุยอะไรกัน มันจะต้องแถเข้ามาพูดจากวนฝ่าเท้าคอยเบรกคอยดักอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายพวกเราอีกแปดคนที่เหลือเลยประชุมลับเพื่อดัดหลังมัน และแล้วปฏิบัติการ " แบ๊ะ ๆ" จึงเริ่มขึ้น ทีนี้พอมันแหลมเข้ามาในวงแล้วพูดอะไรกับใคร ทุกคนก็จะหันไปหามันแล้วพูดว่า " แบ๊ะ ๆ แบ๊ะ ๆ" มันเจอแบบนี้เข้าไปแค่สองวัน ช็อตนึงถึงขีดสุด มันก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมากลางวงว่า " แบ๊ะพ่อแบ๊ะะแม่

เหรอ" พวกเรางี้ขำกันน้ำหูน้ำตาเล็ด แล้วบอกมันถึงที่มาที่ไป หลังจากนั้นอาการกวนวัยสะออน ( Teen ) ของมันก็หายเป็นปลิดทิ้งไปเลย
เพื่อนซี้ที่สุดและนั่งคู่กับเราเป็นเด็กหาดใหญ่ชื่อไอ้เกียรติ ( เกียรติศักดิ์ ) ความที่เป็นเด็กใต้ มันเลยมีสำเนียงเหน่อ ๆแต่ไม่ถึงกับทองแดง และที่แน่ ๆมันมักจะมีศัพท์แปลก ๆมาให้พวกเราอมยิ้มกันตลอดทีเดียว วันนึง ครูเรียกหาการบ้านจากมัน มันลุกขึ้นตอบด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า " ผมลืม " พา" มาครับ" เล่นเอาคริ ๆกันทั้งห้องไปเลย ไม่เว้นกระทั่งอาจารย์ หลังจากวันนั้น พวกเราก็มักจะพูดล้อเลียนมันตลอด เช่น เวลาใครจะคุยกันว่า " วันนี้ฉันเอาหนังสือการ์ตูนมาด้วยนะ " ก็จะบอกว่า " วันนี้ฉัน " พา" หนังสือการ์ตูน...."ให้ได้คริ ๆหึ ๆกันแทน คำติดปากคำนึงของมันคือ " พรือโช้ว" ถามมัน มันบอกว่าความหมายมีกว้างมาก ทำนองว่า " โหลยโท่ย ไร้สาระ ไม่มีอะไรร้อก อย่าซีเครียด...." สรุปคือ ใช้ได้หลากหลายเต็มที แล้วแต่บริบทที่คุยกันอยู่ในตอนนั้น ที่แน่ ๆมันจะมีคำลงท้ายว่า " หล่าว" แบบว่าแทนฟูลสต๊อปนั่นแหละ เดี๋ยวก็ " ไปมั้ยหล่าว " " เดี๋ยวหล่าว" " ยากชิบหล่าว" แล้วเวลาที่มันจะเน้นอารมณ์ตื่นเต้น มันก็มักจะขึ้นต้นประโยคว่า " ไอ้ย่ะ มัน...." ที่มันซี้กะเราและเราซี้กะมัน น่าจะเพราะความห้าวและแสบได้ที่ระดับใกล้เคียงกันนี่แหละ เรียกว่าเฮไหนเฮนั่น ลุยไหนลุยกันเลือดสกลหาดใหญ่เอ๋ย...ขอพักเรื่องเรากะมันไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะย้อนความหลังกันอีกที
สองปีที่เรียนที่นี่มีเรื่องราวโลดโผนโจนทะยานมากมายเหลือเกิ๊น จนไม่รู้จะเล่าปะติดปะต่อกันยังไงดี เลยจะขอเล่าเป็นช็อต ๆช่วง ๆซีน ๆฉาก ๆก็แล้วกันเนาะ
จีบสาวบ่เป็น เป็นแต่โดนสาวจีบ ด้วยความที่ไม่เคยต้องมือสาว หรือมีสาวตกถึงท้องเลยเงอะ ๆ เงิ่น ๆ เป็นปกติสุข แต่แล้ววันนึง ขณะเรียนแล็บเคมี ก็มีเพื่อนสาวไทยคมคายร่วมชั้นมายืนล้างหลอดแก้วที่ซิงค์เดียวกัน พร้อมกับแสดงอาการขวยอายหน้าแดงใส่ และแถมมาด้วยรอยยิ้มหวานบาดใจ วินาทีนั้น หัวใจเราพองโตแทบจะระเบิดออกมาจากอกโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีใดใด หรือนี่ที่เค้าเรียกว่า " รัก" รักแบบลูกหมา " Puppy Love "
และสไตล์ขาลุยอย่างเรา ไม่มีอยู่แล้นที่จะกระมิดกระเมี้ยนทีละคืบทีละวา โน่นเราไปทีเดียวสิบกิโลขีดเลย นั่งรถเมล์ไปส่งเธอถึงบุคคโลฝั่งธนโน่นแน่ะ บ้านเธอเป็นบ้านสวนโบราณ ลึกเข้าไปในซอยสุด ๆ ต้องเดินไปบนกระดานไม้พอดีตัว สองข้างทางเป็นพื้นที่ปลูกพืชสวนนานาพันธุ์ มีต้นมะพร้าวแซมโดยตลอด โอ บรรยากาศช่างโรมานซ์หวานฉ่ำช่ำอุราเหลือเกิ๊นนนนนน ทว่าสาวเจ้าคงจะไม่ชินกับขาลุยถึงที่แบบมนุษย์ดาวตูดอย่างเรา มิช้านาน เธอเลยตีกรรเชียงหนี หันไปควงเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นหัวหน้าห้องให้เห็นตำตาในวันหนึ่ง โลกจึงถล่มทลายในบัดดล หัวใจกระดาษที่แสนจะเปราะและบางจึ่งขาดวิ่นปลิดปลิวอย่างไม่มีชิ้นดี
จึ่งแล้ววันนึง เราก็เดินออกไปเขียนข้อความบนกระดานหน้าห้องตอนช่วงพักว่า " เมื่อเป็นคนดีไม่ได้ ก็จะขอเป็นคนเลวที่บริสุทธิ์" โห เขียนได้ไงเนี่ย ....ที่แน่ ๆ เพื่อน ๆที่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้กลายเป็นไก่ตาแตกไปตาม ๆ กัน หลังจากวันนั้น เราก็ทำตัวเลวประชดชีวิตและสาวเจ้าด้วยการเกเรียนมั่ง แอบหลับในชั้นมั่ง ไม่ส่งการบ้านมั่ง แต่ทำได้ไม่นานก็แพ้ภัยตัวเอง กลับมาเยียวยาเลียแผลใจจนหายสนิท แล้วหันมาตั้งใจเรียนเหมือนเดิม
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-21/49 ปริศนาซองจดหมายที่ไม่ไร้คำตอบ ( ซะทีเดียว )
ณ ห้องผู้บริหารสูงสุดบนตึกเยาวมาลย์ ราวเดือน เมษายน ปี พ.ศ. 2523 สตรีหน้าตาธรรมดา ๆ รูปร่างผอมเกร็งนางสาวหนึ่ง พลันไปปรากฏกายในห้องนั้น สิ่งที่เธอเห็นอยู่ตรงหน้าบนโต๊ะทำงานขนาดเขื่องนั้นคือซองปูดโปนจำนวนหนึ่ง มิอาจรู้ชัดว่าภายในบรรจุด้วยวัตถุหรือวัสดุอันใด แต่คาดเดาได้ว่าไม่ว่าใครก็คงจะพอคะเนได้ว่ามันคืออันหยัง ฉากสนทนาของสตรีนางสาวหนึ่งกับชายวัยกลางคนผู้มียศศักดิ์ในวันนั้นจึงจบลง ด้วยความสิ้นหวังของทั้งเธอและขนิษฐาผู้หล่อเหลาเอาการเอางาน แว่วยินมาว่าในศกนั้นเอง ชั้นม.ศ.4 ถิ่นแดนรำเพยริมผดุงก็ได้ต้อนรับเด็กขาสั้นสีกากีผู้มาใหม่อีกห้าสิบนายที่หาได้ผ่านการคัดกรองด้วยข้อสอบใดใดไม่ เพียงอาศัยใบเบิกทางในซองปริศนาอันปูดโปนก็ผ่านเข้าประตูข้างต้นหูกวางอย่างแฉล้มฉลุยแล้ว มิห่วงใยคราบน้ำตาอีกห้าสิบผู้ถูกบีบคั้นให้จากจรอย่างอ่อนระทวยใจในเบื้องหลัง อืมมมม ปริศนานี้น่าขบนัก น่าขบนัก.....
เปิดเรียนวัดสังเวชวันแรกช่างแปลกปร่า เดินเข้ามาดูบอร์ดประกาศอย่างขลาดหวั่น ด้วยสายตาอนงค์นางสาวมากล้นจัง แถมยังนั่งทำปากมุบมิบซุบซิบกัน......... ( อันนี้เรียกว่า " กลอนสิบสุภาพยิ่งนัก" ถ้าไม่คุ้นจะจับจังหวะอ่านได้ยากนิดนึง ฝึกอ่านเรื่อย ๆก็จะคุ้นไปเอง ) ก็แหม เรามาจากโรงเรียนชายล้วนนี่นา แถมที่ผ่านมาก็ไม่ได้มีโอกาสไปเจ๊า๊ะแจ๊ะกับเด็กผู้หญิงที่ไหน เว้นแต่เด็กข้างบ้านรุ่นเดียวกัน ( ตอนหลังเค้ากลายเป็นบัณฑิตวาราสารศาสตร์ ม.ธ. ) พอมาเจอโรงเรียนที่มีสตรีในชุดกระโปรงสีน้ำเงินยึดครองไปกว่าค่อน อาการตกประหม่ามือไม้สั่นทำอะไรเงอะ ๆงะ ๆจึงย่อมมีเป็นธรรมดา กว่าจะปรับตัวได้ก็นานสองนานทีเดียว ยังจำได้เลยว่า วันแรกมีเพื่อนผู้หญิงในชั้นคนนึงมานั่งที่โต๊ะเรา เราไม่รู้จะพูดยังไงเลยบอกเธอไปว่า " นี่ แก แกมานั่งโต๊ะฉันทำไม" เล่นเอาเพื่อน ๆที่ได้ยินอึ้งไปตาม ๆกัน แล้วก็หัวเราะหยันกันยกใหญ่ทีเดียวเชียว " เฮ้ย ผู้ชายอะไรวะ พูดกับผู้หญิงว่า แก" อ้าว ไม่ยักกะรู้นี่ ( หว่า ) ว่าเค้าไม่พูดกันแบบนั้น แป่วววว
ห้องเรามีนักเรียน 39 คน แบ่งเป็นพวกยืนฉี่ 9 ยอง ๆฉี่ 30 และไม่ปรากฏเพศคลุมเครือแม้แต่คนเดียวจวบจนบัดเดี๋ยวนี้ ในจำนวนทั้งหมดนี้ เป็นพวกเด็กเก่าที่ผ่านจากชั้น ม.ศ.3 ขึ้นมาราว 35 คน ที่เหลือเป็นพวกที่สอบเข้าใหม่ รวม ม.ศ. 4 สี่ห้องก็มีเด็กใหม่ไม่ถึงยี่สิบคน สองในนั้นมาจากเทพศิรินทร์ จึงเกิดการเม้าท์แหลกแจกน้ำลายไปทั่วแว่นแคว้นว่า " มีเด็กเทพฯเข้ามาด้วย" " คนไหน ๆวะ" " มันจะมาเข้าโรงเรียนเราทำไมวะ " " มันต้องโดนไล่ออกมาแหงมเลย" และแล้วจึงเกิดปรากฏการณ์ดูตัวอะแซหวุ่นกี้ขึ้น จะมีเพื่อน ๆจากอีกสามห้องแวะเวียนกันมาชี้ตัวดูตัวเรากันให้ควั่กทีเดียว ประเภท " อ๋อ ไอ้แว่นนี่เอง ท่าทางมันจะเด็กเรียนว่ะ ตรูว่ามันไม่น่าจะโดนไล่ออกนะ" ตอนหลัง พอทุกคนล่วงรู้คำเฉลยแห่งปริศนาตอนต้นแล้ว ก็ถึงบางอ้อว่า เหตุไฉนใยเราจึ่งอพยพโยกย้ายจากถิ่นนามอุโฆษโดดมาย่ำถิ่นบางลำพูนี้
พอปรับตัวและเปลี่ยนมาพูด " ฉันๆเธอ ๆ แทนฉัน ๆแก ๆ" ได้เนียนปากแล้ว เรื่องหนุก ๆหนาน ๆบานใจก็ตามมาอีกเพียบทีเดียวเชียวแหละ แต่ก่อนอื่น ขอเล่าถึงพวกเพื่อนผู้ชายกันหน่อย มีเด็กเก่าอยู่คนชื่อไอ้พฏ ( จุมพฏ ) มันกวนโอ๊ยเป็นที่ยิ่ง ไม่ว่าพวกเราจะจับกลุ่มกันคุยอะไรกัน มันจะต้องแถเข้ามาพูดจากวนฝ่าเท้าคอยเบรกคอยดักอยู่ตลอดเวลา สุดท้ายพวกเราอีกแปดคนที่เหลือเลยประชุมลับเพื่อดัดหลังมัน และแล้วปฏิบัติการ " แบ๊ะ ๆ" จึงเริ่มขึ้น ทีนี้พอมันแหลมเข้ามาในวงแล้วพูดอะไรกับใคร ทุกคนก็จะหันไปหามันแล้วพูดว่า " แบ๊ะ ๆ แบ๊ะ ๆ" มันเจอแบบนี้เข้าไปแค่สองวัน ช็อตนึงถึงขีดสุด มันก็ระเบิดอารมณ์ขึ้นมากลางวงว่า " แบ๊ะพ่อแบ๊ะะแม่
เพื่อนซี้ที่สุดและนั่งคู่กับเราเป็นเด็กหาดใหญ่ชื่อไอ้เกียรติ ( เกียรติศักดิ์ ) ความที่เป็นเด็กใต้ มันเลยมีสำเนียงเหน่อ ๆแต่ไม่ถึงกับทองแดง และที่แน่ ๆมันมักจะมีศัพท์แปลก ๆมาให้พวกเราอมยิ้มกันตลอดทีเดียว วันนึง ครูเรียกหาการบ้านจากมัน มันลุกขึ้นตอบด้วยเสียงอันดังฟังชัดว่า " ผมลืม " พา" มาครับ" เล่นเอาคริ ๆกันทั้งห้องไปเลย ไม่เว้นกระทั่งอาจารย์ หลังจากวันนั้น พวกเราก็มักจะพูดล้อเลียนมันตลอด เช่น เวลาใครจะคุยกันว่า " วันนี้ฉันเอาหนังสือการ์ตูนมาด้วยนะ " ก็จะบอกว่า " วันนี้ฉัน " พา" หนังสือการ์ตูน...."ให้ได้คริ ๆหึ ๆกันแทน คำติดปากคำนึงของมันคือ " พรือโช้ว" ถามมัน มันบอกว่าความหมายมีกว้างมาก ทำนองว่า " โหลยโท่ย ไร้สาระ ไม่มีอะไรร้อก อย่าซีเครียด...." สรุปคือ ใช้ได้หลากหลายเต็มที แล้วแต่บริบทที่คุยกันอยู่ในตอนนั้น ที่แน่ ๆมันจะมีคำลงท้ายว่า " หล่าว" แบบว่าแทนฟูลสต๊อปนั่นแหละ เดี๋ยวก็ " ไปมั้ยหล่าว " " เดี๋ยวหล่าว" " ยากชิบหล่าว" แล้วเวลาที่มันจะเน้นอารมณ์ตื่นเต้น มันก็มักจะขึ้นต้นประโยคว่า " ไอ้ย่ะ มัน...." ที่มันซี้กะเราและเราซี้กะมัน น่าจะเพราะความห้าวและแสบได้ที่ระดับใกล้เคียงกันนี่แหละ เรียกว่าเฮไหนเฮนั่น ลุยไหนลุยกันเลือดสกลหาดใหญ่เอ๋ย...ขอพักเรื่องเรากะมันไว้ตรงนี้ก่อน เดี๋ยวจะย้อนความหลังกันอีกที
สองปีที่เรียนที่นี่มีเรื่องราวโลดโผนโจนทะยานมากมายเหลือเกิ๊น จนไม่รู้จะเล่าปะติดปะต่อกันยังไงดี เลยจะขอเล่าเป็นช็อต ๆช่วง ๆซีน ๆฉาก ๆก็แล้วกันเนาะ
จีบสาวบ่เป็น เป็นแต่โดนสาวจีบ ด้วยความที่ไม่เคยต้องมือสาว หรือมีสาวตกถึงท้องเลยเงอะ ๆ เงิ่น ๆ เป็นปกติสุข แต่แล้ววันนึง ขณะเรียนแล็บเคมี ก็มีเพื่อนสาวไทยคมคายร่วมชั้นมายืนล้างหลอดแก้วที่ซิงค์เดียวกัน พร้อมกับแสดงอาการขวยอายหน้าแดงใส่ และแถมมาด้วยรอยยิ้มหวานบาดใจ วินาทีนั้น หัวใจเราพองโตแทบจะระเบิดออกมาจากอกโดยไม่ต้องพึ่งสารเคมีใดใด หรือนี่ที่เค้าเรียกว่า " รัก" รักแบบลูกหมา " Puppy Love "
และสไตล์ขาลุยอย่างเรา ไม่มีอยู่แล้นที่จะกระมิดกระเมี้ยนทีละคืบทีละวา โน่นเราไปทีเดียวสิบกิโลขีดเลย นั่งรถเมล์ไปส่งเธอถึงบุคคโลฝั่งธนโน่นแน่ะ บ้านเธอเป็นบ้านสวนโบราณ ลึกเข้าไปในซอยสุด ๆ ต้องเดินไปบนกระดานไม้พอดีตัว สองข้างทางเป็นพื้นที่ปลูกพืชสวนนานาพันธุ์ มีต้นมะพร้าวแซมโดยตลอด โอ บรรยากาศช่างโรมานซ์หวานฉ่ำช่ำอุราเหลือเกิ๊นนนนนน ทว่าสาวเจ้าคงจะไม่ชินกับขาลุยถึงที่แบบมนุษย์ดาวตูดอย่างเรา มิช้านาน เธอเลยตีกรรเชียงหนี หันไปควงเพื่อนร่วมชั้นที่เป็นหัวหน้าห้องให้เห็นตำตาในวันหนึ่ง โลกจึงถล่มทลายในบัดดล หัวใจกระดาษที่แสนจะเปราะและบางจึ่งขาดวิ่นปลิดปลิวอย่างไม่มีชิ้นดี
จึ่งแล้ววันนึง เราก็เดินออกไปเขียนข้อความบนกระดานหน้าห้องตอนช่วงพักว่า " เมื่อเป็นคนดีไม่ได้ ก็จะขอเป็นคนเลวที่บริสุทธิ์" โห เขียนได้ไงเนี่ย ....ที่แน่ ๆ เพื่อน ๆที่ไม่รู้ทิศเหนือทิศใต้กลายเป็นไก่ตาแตกไปตาม ๆ กัน หลังจากวันนั้น เราก็ทำตัวเลวประชดชีวิตและสาวเจ้าด้วยการเกเรียนมั่ง แอบหลับในชั้นมั่ง ไม่ส่งการบ้านมั่ง แต่ทำได้ไม่นานก็แพ้ภัยตัวเอง กลับมาเยียวยาเลียแผลใจจนหายสนิท แล้วหันมาตั้งใจเรียนเหมือนเดิม