ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนตรง แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้



ฮีบรู 1:1-4
1:1 ในโบราณกาลพระเจ้าได้ตรัสด้วยวิธีต่าง ๆ มากมายแก่บรรพบุรุษทางพวกผู้พยากรณ์
1:2 แต่ในวันสุดท้ายเหล่านี้พระองค์ได้ตรัสแก่เราทั้งหลายทางพระบุตร ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร
1:3 พระบุตรทรงเป็นแสงสะท้อนสง่าราศีของพระเจ้า และทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระองค์ และทรงผดุงสรรพสิ่งไว้โดยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์ เมื่อพระบุตรได้ทรงชำระบาปของเราด้วยพระองค์เองแล้ว ก็ได้ทรงประทับนั่ง ณ เบื้องขวาพระหัตถ์ของผู้ทรงเดชานุภาพเบื้องบน
1:4 พระองค์ทรงเป็นผู้เยี่ยมกว่าเหล่าทูตสวรรค์มากนัก ด้วยว่าพระองค์ทรงรับพระนามที่ประเสริฐกว่านามของเหล่าทูตสวรรค์นั้นเป็นมรดก

ความเหนือกว่าของพระเยซู
พระเยซูทรงยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่ง   พระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าทุกสิ่งทุกอย่างจริงหรือ   พระเยซูเป็นใคร จึงยิ่งใหญ่กว่าทุกสิ่งทุกอย่างได้   ถ้าเรารู้จักพระเยซูตามความเป็นจริงแล้ว เราก็คงจะเห็นความเหนือกว่าของพระเยซูได้
    
1.   พระเยซูทรงเป็นทายาท (2 ข)   
    “... ผู้ซึ่งพระองค์ได้ทรงตั้งให้เป็นผู้รับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดก...”   ตามที่ผู้เขียนสดุดีได้บอกล่วงหน้าไว้ในสดุดี 2.8 “จงขอจากเราเถิด และเราจะมอบบรรดาประชาชาติให้เป็นมรดกของเจ้า ตลอดทั้งแผ่นดินโลกให้เป็นกรรมสิทธิ์ของเจ้า”   พระเยซูผู้ทรงเป็นพระบุตรที่พระเจ้าทรงรัก ได้รับการแต่งตั้งให้เป็นผู้รับมรดก   
    
คำว่า “สรรพสิ่งทั้งปวง” ไม่ได้หมายถึงโลกนี้เท่านั้น แต่รวมถึงโลกที่จะมีมาด้วย คือกัลปจักรวาลทั้งหมดเป็นมรดกของพระเยซู   พระเยซูไม่ใช่เพียงมนุษย์ธรรมดา แต่เป็นทายาทของพระเจ้าที่รับสิ่งทั้งปวงเหล่านี้เป็นมรดก  พระองค์จึงตรัสไว้ว่า “ทุกสิ่งที่พระบิดาทรงมีนั้นเป็นของเรา...” (ยอห์น16.15)
แท้จริง พระเจ้าทรงสร้างมนุษย์ให้เป็นทายาทที่จะรับสิ่งทั้งปวงที่ดีของโลก แต่เมื่อมนุษย์ทำบาปและเสื่อมจากพระสิริของพระเจ้าแล้ว ก็สูญเสียความเป็นทายาทด้วย  แต่พระเยซูได้เสด็จมาในโลกและทรงกระทำให้ทุกสิ่งที่สูญเสียไปได้กลับคืนมาให้แก่เรา  ขุมทรัพย์ทั้งหมดของจักรวาลเป็นของพระเยซู ดัง

นั้นถ้าแยกจากพระองค์แล้ว ชีวิตมนุษย์เป็นชีวิตที่น่าสงสาร แต่เมื่ออยู่ในพระองค์แล้ว เราจะสำราญในทุกสิ่งที่ดีของพระองค์  ยอห์น เทรปป์ นักตีความพระคัมภีร์ได้บอกว่า “จงแต่งงานกับผู้รับมรดกนี้ และจงมีทุกสิ่ง”  
    เมื่อเราเชื่อในพระเยซู เราก็เป็นบุตรของพระเจ้า “และถ้าเราทั้งหลายเป็นบุตรแล้ว เราก็เป็นทายาท คือเป็นทายาทของพระเจ้า และเป็นทายาทร่วมกับพระคริสต์ เมื่อเราทั้งหลายทนทุกข์ทรมานด้วยกันกับพระองค์นั้น ก็เพื่อเราทั้งหลายจะได้ศักดิ์ศรีด้วยกันกับพระองค์ด้วย”(โรม 8.17)

2.   พระเยซูทรงเป็นผู้สร้างโลก (2 ค)
    “... พระองค์ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลโดยพระบุตร”   พระเยซูไม่เพียงเป็นทายาทที่จะรับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดกในวันข้างหน้า แต่เป็นผู้ได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลด้วย  “ไม่มีสักสิ่งเดียวที่ได้เป็นมานอกเหนือพระวาทะ” (ยอห์น 1.3ข)  “เพราะว่าในพระองค์สรรพสิ่งได้ถูกสร้างขึ้น ทั้งในท้องฟ้าและที่แผ่นดินโลก สิ่งซึ่งประจักษ์แก่ตาและซึ่งไม่ประจักษ์แก่ตา... พระองค์ทรงดำรงอยู่ก่อนสรรพสิ่งทั้งปวง” (โคโลสี 1.16-17)
    
เพราะพระองค์ทรงเป็นผู้สร้างกัลปจักรวาล พระองค์เท่านั้นทรงสามารถที่จะช่วยมนุษย์ให้รอดได้   เมื่อไฮยัตกำลังสิ้นชีวิต มีคนหนึ่งถามเขาว่า “คุณสามารถมอบวิญญาณของคุณแด่พระคริสต์ได้ไหม”  เขาตอบว่า “ถ้าผมมีวิญญาณล้านๆวิญญาณ ผมก็มอบวิญญาณเหล่านั้นแด่พระองค์ได้”  

3.  พระเยซูทรงเป็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้า (3ก)
    แสงสว่างของดวงอาทิตย์มายังโลกนี้ฉันใด แสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้ามาถึงจิตใจมนุษย์ในพระคริสต์ฉันนั้น   เราจึงได้เห็นแสงสะท้อนพระสิริของพระเจ้าได้ในพระองค์
  ยอห์น 1.14 กล่าวว่า “...เราทั้งหลายเห็นพระสิริของพระองค์ คือพระสิริอันสมกับพระบุตรองค์เดียวของพระบิดา”  
    คนยิวเข้าใจว่า พระสิริของพระเจ้า คือการทรงปรากฏของพระเจ้า   เพราะฉะนั้น พระเยซูทรงเป็นการทรงปรากฏและทรงสถิตของพระเจ้า

4.   พระเยซูทรงมีสภาวะเป็นพิมพ์เดียวกันกับพระเจ้า (3ข)  
พระเยซูทรงเป็นเหมือนตราของพระเจ้าที่ประทับไว้  สภาพของพระเจ้าดำรงอยู่อย่างบริบูรณ์ในพระเยซู   พระเยซูตรัสว่า “ถ้าท่านทั้งหลายรู้จักเราแล้ว ท่าน

ก็จะรู้จักพระบิดาของเราด้วย...” (ยอห์น 14.7)  และพระองค์ตรัสอีกกับฟีลิป เมื่อ
ฟีลิปขอให้เห็นพระบิดา “ผู้ที่ได้เห็นเรา ก็ได้เห็นพระบิดา” (ยอห์น 14.9)    ดังนั้นเมื่อเรามองเห็นพระองค์แล้ว เรารู้ได้ว่า พระเจ้าทรงเป็นผู้ใด



5.   พระเยซูทรงเป็นผู้ผดุงโลกไว้ (3ค)
    “...และทรงผดุงโลกไว้ด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์...”    พระเยซูได้ทรงสร้างกัลปจักรวาลในอดีต และทรงเป็นทายาทที่จะรับสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นมรดกในอนาคต และทรงผดุงโลกไว้ในปัจจุบัน   ดังนั้นสรรพสิ่งทั้งปวงเป็นระเบียบอยู่โดยพระเยซู  
    
เมื่อพระองค์ทรงผดุงโลก ก็ผดุงโลกด้วยพระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์   พระดำรัสอันทรงฤทธิ์ของพระองค์นั้น คือ พระดำรัสที่มีพลัง หรือที่มี ฤทธิอำนาจ  พระเยซูทรงเป็นพระวาทะ  เป็นผู้ทรงตรัสในวาระสุดท้าย   เป็นผู้เผยพระวจนะในยุคสุดท้าย   ถ้อยคำที่พระองค์ตรัสนั้นมีฤทธิอำนาจ  สามารถ

รักษาคนป่วยได้ สามารถห้ามพายุได้ สามารถขับไล่ผีให้ออกได้ และสามารถทรงชุบคนตายให้เป็นขึ้นมาได้   
    ดังนั้น ผู้ที่ฟังและทำตามพระดำรัสของพระองค์ก็เป็นสุข   พระเยซูตรัสว่า “ทุกคนที่มาหาเรา และฟังคำของเรา และกระทำตามคำนั้น เราจะแจ้งให้ท่านทั้งหลายรู้ว่า เขาเปรียบเหมือนผู้ใด  เขาเปรียบเหมือนคนหนึ่งที่สร้างตึก  เขาขุดลึกลงไปแล้ว ตั้งรากบนศิลา และเมื่อน้ำมาท่วม กระแสน้ำไหลเชี่ยวกระทบทระทั่ง  แต่ทำให้หวั่นไหวไม่ได้ เพราะได้สร้างไว้มั่นคง..” (ลูกา 6.46-48)   

6.   พระเยซูทรงเป็นผู้ชำระล้างความผิดบาป (3 ง)
    พระเยซูเสด็จเข้ามาในโลกเพื่อจะประทานชีวิตของพระองค์เป็นค่าไถ่บาปของคนเป็นอันมาก   พระองค์ทรงถวายพระองค์เองเป็นเครื่องบูชาเพียงครั้งเดียว แต่สามารถลบล้างความผิดบาปของมนุษย์ทั้งสิ้นได้ ดังนั้น พระโลหิตของพระเยซูประเสริฐกว่าเลือดสัตว์ที่พวกปุโรหิตถวายแด่พระเจ้าอย่างต่อเนื่อง   
    พระเยซูทรงเป็นมหาปุโรหิต ผู้กอปรด้วยความเมตตาและความสัตย์ซื่อในการกระทำ
กิจกับพระเจ้าเพื่อลบล้างบาปของประชาชน  ดังนั้น เหนือกว่าอาโรนผู้ริเริ่มทำหน้าที่ปุโรหิต

7.   พระเยซูทรงเป็นผู้ประทับ ณ เบื้องขวาของพระเจ้า (3 จ)  
    เมื่อพระเยซูเสด็จขึ้นไปสู่สวรรค์แล้ว พระองค์ทรงนั่งเบื้องขวาของพระเจ้า  การนั่ง ณ เบื้องขวาของพระเจ้า หมายถึงฤทธิ์อำนาจ   จากที่นั่น พระเยซูกำลังปกครองโลกในฐานะกษัตริย์    ตามที่ผู้เขียนสดุดีได้กล่าวไว้ พระเยซูนั่งที่ข้างขวาของพระเจ้าจนกว่าศัตรูของพระองค์เป็นแท่นรองเท้าของพระองค์  พระองค์ทรงกำลังครอบครองศัตรูของพระองค์อยู่

พระเยซูไม่ใช่เพียงมนุษย์เท่านั้น แต่ทรงเป็นพระเจ้า มีความเท่าเทียมกับพระเจ้า ดังนั้นพระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหนือกว่าบุคคลต่างๆ ซึ่งคนยิวเห็นว่า ผู้ยิ่งใหญ่    ถึงแม้เราเผชิญหน้ากับความยากลำบากมากเพียงไร หรือทนทุกข์ทรมานและถูกข่มเหงมากน้อยแค่ไหน  เรายังชื่นชมยินดี และมั่นคงอยู่โดยไม่หวั่นไหวได้ เพราะพระเยซูทรงยิ่งใหญ่เหนือทุกสิ่งทุกอย่าง  ทรงมีคุณค่าสูงสุดสำหรับชีวิตของเรา      



เปรียเทียบระหว่างพระเยซูและผู้เผยพระวจนะ (ที่ไม่ได้อยู่ในพระคัมภีร์ไบเบิล) ของบางนิกายที่อ้างตนว่าเทียบเท่ากับพระเยซู

                                    พระเยซู                                                                          ผู้เผย Non-Christain    
พระองค์ตายแล้วฟื้นคืนพระชนน์                                                                       ตายแล้วตายเลย ปัจจุบันก็ยังคงตายอยู่ ไม่ฟื้น
ไม่เคยการทำสงคราม ใครไม่เชื่อพระองค์ก็อธิษฐานเผื่อเขา ยังรักเขา                        ทำสงครามนับครั้งไม่ถ้วน ใครไม่เชื่อไม่เห็นด้วยอาจถึงตาย
พระเยซูเป็นพระเจ้า 100 % และเป็นมนุษย์ 100%                                                อ้างตนเป็นแค่มนุษย์ธรรมดา
พระเยซูไม่เคยฆ่าใคร                                                                                     ฆ่าคนนับไม่ถ้วน
พระเยซูรักศัตรู                                                                                             ใครเป็นศัตรูต้องจัดการ
พระเยซูไม่เคยแต่งงาน                                                                                   มีภรรยามากกว่า 20 คน
พระเยซูทำพระราชกิจรับโดยตรงจากพระบิดา (Matt. 3:17).                                    อ้างรับจากฑูตสวรรค์
พระเยซูรับใช้ 3 ปี ครึ่ง                                                                                    ทำงานรับใช้มากกว่า 20 ปี
ก่อนพระองค์ลงมาบังเกิด มีคำพยากรณ์ล่วงหน้าและได้สำเร็จตามคำพยากรณ์              ไม่เคยมีคำพยากรณ์ใดๆกล่าวถึง หรือมีแหล่งอ้างอิงใดๆเลย
พระเยซูไม่เคยทำบาปเลย                                                                               ทำบาปนับครั้งไม่ถ้วน
พระเยซูยอมตายเพื่อคนทั้งปวง เพื่อให้คนทั้งปวงได้ชีวิต                                         ไม่เคยยอมตายเพื่อใครนอกจากให้คนอื่นมาตายเพื่อตนเอง
                                                                           





โรม5:6 ขณะเมื่อเรายังขาดกำลัง พระคริสต์ก็ได้ทรงสิ้นพระชนม์เพื่อช่วยคนอธรรมในเวลาที่เหมาะสม
โรม5:7 ไม่ใคร่จะมีใครตายเพื่อคนชอบธรรม แต่บางทีจะมีคนอาจตายเพื่อคนดีก็ได้



แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่