คือผมทำงานผ่านมาได้ระยะนึงแล้วครับ คือประมาณ 5-6 ปี ได้ ผ่านมาประมาณ 3-4 บริษัท ตอนนี้ทำงานอยู่บริษัทที่ 4 ที่แรกๆ
ที่ทำงานก็ไม่ได้คิดอะไรครับ ที่สำคัญคือผมโสด

และยังไม่มีแฟน จนมา 2 ที่สุดท้ายนี่แหละที่รู้สึกถึงการสั่งงานหรือให้งานในจำนวน
ที่ไม่เท่ากันของหัวหน้ากับพนักงานแต่ละประเภทคือ โสด(ไม่มีแฟน) กับมีครอบครัว คืองานที่ส่งให้สำหรับคนที่โสดจะมากกว่าคนมีครอบครัวครับ
บางคนคงจะบอกผมว่า "คุณคิดไปเองหรือเปล่า" ผมจะยกตัวอย่าง 2 บริษัทที่ผมทำงานสุดท้าย(ปัจจุบัน) ให้ฟังคร่าวๆ นะครับ
บริษัทก่อนหน้า หัวหน้าผมเป็นคนมีครอบครัว แต่หย่าร้าง มีลูก 1 คน จะมาทำงานตั้งแต่ 8.30 กลับบ้านประมาณ 2-3 ทุ่ม ซึ่งมีผมเป็นผู้ช่วย
ช่วงแรก ก็กลับประมาณ 1-2 ทุ่ม ตอนแรกก็ทำงานกันปกติครับ งานเยอะเป็นเรื่องปกติ จนมาระยะหลัง หัวหน้าเริ่มกลับบ้านเร็วขึ้น(บางวันไปเล่นกีฬา
หลังเลิกงานและกลับบ้านเลย) ส่วนผมโดนงานเพิ่มจนเริ่มทำไม่ไหว กลับบ้าน 3-4 ทุ่ม จนเริ่มต้องมาทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ (บางทีต้องทำทั้งเสาร์และอาทิตย์) แต่หัวหน้ากลับบ้านเร็วขึ้น (บอกว่าต้องไปดูแลลูก) ..ผมทำจนเริ่มรู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว คุยกับหัวหน้าว่า งานเยอะทำไม่ทันไม่มีวันหยุด แต่หัวหน้ากลับบอกกลับบอกผมว่า "ก็มี OT ให้แล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะเยอะพอควรนะ โสดนี่ ไม่ต้องดูแลใคร แฟนก็ไม่มี"

ผมถึงกับอื้งไปพักนึง และทำงานต่อไปแบบไม่ค่อยได้หยุดเสาร์-อาทิตย์นะครับจนผ่านไป 2 เดือน จึงแจ้งหัวหน้าว่าขอลาออก เนื่องจากทำงานแบบไม่มีวันหยุด ซึ่งผมต้องการทำงานหยุดเสาร์-อาทิตย์จนไม่มีเวลาส่วนตัวซึ่งก่อนที่ผมจะออก หัวหน้าได้พูดกับผมว่า "ที่รับผมเข้ามาเนื่องจากผมโสด มีเวลาทำงานทุ่มเทให้กับบริษัทฯ มาก"
ซึ่งงานที่ให้ผมมาทำคืองานที่หัวหน้าเคยทำ แถมเพิ่มงานให้บางส่วนเพราะหัวหน้าผมต้องกลับไปดูแลลูกที่บ้าน ไม่สามารถทุ่มเทงานให้บริษัทฯ
ได้เต็มที่ ทำให้งานล่าช้า ซึ่งเมื่อผมเข้าไปทำงาน ส่วนที่หัวหน้าเคยทำสามารถส่งได้ตามปกติหลังจากที่ผมออกมาได้ 1 เดือน หัวหน้าโทรมาให้ผม
กลับไปช่วยทำงานหน่อยเนื่องจากงานล่าช้า ไม่สามารถส่งตรงตามกำหนด แต่ผมปฏิเสธไป เพราะว่าผมได้งานใหม่แล้ว
บริษัทที่ทำอยู่ปัจจุบัน และกำลังหางานใหม่
เริ่มเล่าเรื่องดังนี้ครับ
หัวหน้าจะส่งงานที่พนักงานท่านอื่นไม่อยากทำมาให้ผม โดยส่วนใหญ่งานที่สั่งเป็นงานต้องใช้เวลาทำเยอะ(แต่ไม่ให้เวลาในการทำ)
และต้องมีความสามารถมากพอควร โดยผมพลาดตรงที่ผมเปลี่ยนตำแหน่งงาน และรูปแบบของงานใหม่ทำให้ผมไม่ทราบฐานเงินเดือนของตำแหน่งดังกล่าว (มาสอบถามเพื่อนทีหลังถึงได้รู้ว่าที่อื่นเค้าให้เงินเดือนมากกว่าที่นี่ 20-30%)

แต่ก็ทนทำเพราะได้ประสบการณ์ครับ ซึ่งบริษัทฯนี้ก็เช่นกัน แจ้งตอนสัมภาษณ์ว่า
ไม่ทำวันเสาร์-อาทิตย์ 
แต่ถ้ามีงานก็ต้องเข้า .. ผมเข้าวันเสาร์ซะส่วนใหญ่ แต่พนักงานในระดับเดียวกัน ไม่มีใครเข้ามาทำงาน ซึ่งมารู้ภายหลังว่าที่ไม่เข้าเนื่องจาก ไม่สามารถนำมาชดเชยเป็นวันหยุดได้ (ปกตินโยบายบริษัท แจ้งว่าให้เป็นหยุดชดเชย แต่พอจะขอใบลามักจะไม่อนมัติครับ) OT ไม่มี ซึ่งผมก็ไม่มีปัญหาครับ เนื่องจากเป็นงานที่ชอบ และเข้าใจว่างานมีมาก และซึ่งตอนแรกเข้าใจว่าพนักงานคนอื่นคงมีความสามารถในการทำงานมากเลยไม่ต้องมาทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ มีปีหลังมานี่เริ่มรู้ว่าที่งานที่ผมได้มากกว่าพนักงานอื่นถึง 20-30% (รู้เนื่องจากทางหัวหน้าจะมีการประชุมแจ้งงานของแต่ละคนทุกสัปดาห์) ทำให้รู้ว่างานที่ผมได้รับคืองานที่ พนักงานท่านอื่นไม่อยากทำ พนักงานท่านอื่นไม่สะดวก (จากการทำงานไประยะหนึ่ง จึงพบว่าพนังงานท่านอื่นแต่งงานแล้ว บางคนมีครอบครัวต้องดูแล)
จึงรู้ว่าหัวหน้าจะให้งานกับผมมากกว่าเพราะผมโสดและไม่มีแฟนนี่เอง 
เพราะหลังๆการแบ่งงาน ตามพนักงานที่สะดวกครับบางคนไม่ขอไปต่างจังหวัด บางคนไม่ขอกลับบ้านดึก บางคนไม่ขอทำวันเสาร์-อาทิตย์ เนื่องจากเหตุผลเดียวครับคือ
"มีครอบครัวต้องดูแล" ผมถึงบางอ้อเลยทันทีครับ เพราะมีหลายครั้ง หัวหน้าโทรหาผมวันเสาร์-อาทิตย์ (วันหยุด) สอบถามเกี่ยวกับงาน ซึ่งพนักงานท่านอื่นมีส่วนร่วมงาน และผมไม่ได้ทำงานส่วนนั้นหัวหน้าผมจะให้ผมโทรไปหา...และเอ่ยกับผมว่า "อย่ารบกวนพนักงานคนนั้นนานเนื่องจากต้องเค้าเลี้ยงลูกบ้าง อยู่กับครอบครัวบ้าง..." แต่กับโทรหาผมไม่เคยเอ่ยเรื่องรบกวน สงสัยเพราะผมโสด
จากข้อความข้างต้นผมจึงได้ความคิดเห็นจากเพื่อนๆ ในพันทิปครับ ว่า
ถ้าผมสมัครงานที่ใหม่ ควรใส่สถานะในใบสมัครอย่างไรดีครับ ระหว่าง
1. โสด แต่ใส่ที่ต้องเงินเดือนมากๆ
2. แต่งงานแล้ว แต่ใส่เงินเดือนตามที่ควร
ความลำเอียงของหัวหน้าในการแบ่งงาน ระหว่างคนโสด(ไม่มีแฟน) กับคนมีครอบครัวแล้ว และการใส่สถานะ (Status)โสด หรือมีครอบครัว
ที่ทำงานก็ไม่ได้คิดอะไรครับ ที่สำคัญคือผมโสด
ที่ไม่เท่ากันของหัวหน้ากับพนักงานแต่ละประเภทคือ โสด(ไม่มีแฟน) กับมีครอบครัว คืองานที่ส่งให้สำหรับคนที่โสดจะมากกว่าคนมีครอบครัวครับ
บางคนคงจะบอกผมว่า "คุณคิดไปเองหรือเปล่า" ผมจะยกตัวอย่าง 2 บริษัทที่ผมทำงานสุดท้าย(ปัจจุบัน) ให้ฟังคร่าวๆ นะครับ
บริษัทก่อนหน้า หัวหน้าผมเป็นคนมีครอบครัว แต่หย่าร้าง มีลูก 1 คน จะมาทำงานตั้งแต่ 8.30 กลับบ้านประมาณ 2-3 ทุ่ม ซึ่งมีผมเป็นผู้ช่วย
ช่วงแรก ก็กลับประมาณ 1-2 ทุ่ม ตอนแรกก็ทำงานกันปกติครับ งานเยอะเป็นเรื่องปกติ จนมาระยะหลัง หัวหน้าเริ่มกลับบ้านเร็วขึ้น(บางวันไปเล่นกีฬา
หลังเลิกงานและกลับบ้านเลย) ส่วนผมโดนงานเพิ่มจนเริ่มทำไม่ไหว กลับบ้าน 3-4 ทุ่ม จนเริ่มต้องมาทำงานวันเสาร์-อาทิตย์ (บางทีต้องทำทั้งเสาร์และอาทิตย์) แต่หัวหน้ากลับบ้านเร็วขึ้น (บอกว่าต้องไปดูแลลูก) ..ผมทำจนเริ่มรู้สึกว่าร่างกายไม่ไหว คุยกับหัวหน้าว่า งานเยอะทำไม่ทันไม่มีวันหยุด แต่หัวหน้ากลับบอกกลับบอกผมว่า "ก็มี OT ให้แล้วไม่ใช่เหรอ น่าจะเยอะพอควรนะ โสดนี่ ไม่ต้องดูแลใคร แฟนก็ไม่มี"
ซึ่งงานที่ให้ผมมาทำคืองานที่หัวหน้าเคยทำ แถมเพิ่มงานให้บางส่วนเพราะหัวหน้าผมต้องกลับไปดูแลลูกที่บ้าน ไม่สามารถทุ่มเทงานให้บริษัทฯ
ได้เต็มที่ ทำให้งานล่าช้า ซึ่งเมื่อผมเข้าไปทำงาน ส่วนที่หัวหน้าเคยทำสามารถส่งได้ตามปกติหลังจากที่ผมออกมาได้ 1 เดือน หัวหน้าโทรมาให้ผม
กลับไปช่วยทำงานหน่อยเนื่องจากงานล่าช้า ไม่สามารถส่งตรงตามกำหนด แต่ผมปฏิเสธไป เพราะว่าผมได้งานใหม่แล้ว
บริษัทที่ทำอยู่ปัจจุบัน และกำลังหางานใหม่
เริ่มเล่าเรื่องดังนี้ครับ
หัวหน้าจะส่งงานที่พนักงานท่านอื่นไม่อยากทำมาให้ผม โดยส่วนใหญ่งานที่สั่งเป็นงานต้องใช้เวลาทำเยอะ(แต่ไม่ให้เวลาในการทำ)
และต้องมีความสามารถมากพอควร โดยผมพลาดตรงที่ผมเปลี่ยนตำแหน่งงาน และรูปแบบของงานใหม่ทำให้ผมไม่ทราบฐานเงินเดือนของตำแหน่งดังกล่าว (มาสอบถามเพื่อนทีหลังถึงได้รู้ว่าที่อื่นเค้าให้เงินเดือนมากกว่าที่นี่ 20-30%)
จากข้อความข้างต้นผมจึงได้ความคิดเห็นจากเพื่อนๆ ในพันทิปครับ ว่า
ถ้าผมสมัครงานที่ใหม่ ควรใส่สถานะในใบสมัครอย่างไรดีครับ ระหว่าง
1. โสด แต่ใส่ที่ต้องเงินเดือนมากๆ
2. แต่งงานแล้ว แต่ใส่เงินเดือนตามที่ควร