สิ่งที่ผมเขียนเกิดขึ้นผมเขียนหลังจากที่ได้เจอเหตุการณ์นั้นๆ เลยเลยทำให้หลายเรื่องความคิดอาจจะดูเป็นแง่ลบไปหน่อย และเป็นการเดินทางที่ผมถ่ายรูปน้อยที่สุดแล้วถ่ายไปไม่ถึงร้อยภาพแถมภาพส่วนใหญ่ยังหลุดโฟกัสอีก
เริ่ม.
07/05/15
วันนี้ผมจะออกเดินทางแบบ Backpack ไปที่ปากเซประเทศลาว ผมยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลยด้วยซ้ำไม่ใช่ว่ามั่นใจอะไรหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากทำให้ตัวเองตื่นเต้นเกินเหตุ ผมจะเดินทางไปกับเพื่อนหนึ่งคนพวกเรามีเงินที่จำกัดและเวลาที่จำกัดยิ่งกว่าทำให้พวกเราไปปากเซได้แค่วันที่ 7-8 เท่านั้นแล้วต้องกลับอุบลในวันที่ 9 ตอนเช้า แผนการเดินทางไม่มีอะไรที่ตายตัวเราคุยกันว่าจะไปนอนจำปาสัก 1 คืนนอนปากเซ 1 คืน คนที่จะคอยช่วยเหลือที่ปากเซไม่มี แถมไม่มีชั่วโมง Internet ในโทรศัพท์ด้วย ผมก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอปัญหามากมายอะไรนักนะ
เวลาประมาณ 08.30 น ผมกับเพื่อนจองตั๋วรถเรียบร้อยแล้วรถออก 09.30 น ทั้งผมและเพื่อนยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยเราเลยเดินออกไปนอกสถานีขนส่งอุบลเพื่อไปหาอาหารเช้าทานที่ซอยข้างๆสถานีขนส่งอุบล เราเดินตากแดดไปเรื่อยๆเดินไกลเลยทีเดียวเกือบๆ 500 เมตร ก็ได้เจอร้านขายก๋วยจั๊บเราสั่งก๋วยจั๊บทานแล้วก็เริ่มคุยเรื่องแผนกันเล็กน้อยจนเราทานก๋วยจั๊บเสร็จก็เวลาประมาณ 09.10 น เราเลยต้องรีบเดินไปที่สถานีขนส่งกัน เราขึ้นรถประมาณ 09.25 น ผมลืมบอกไปค่าตั๋วรถจาก อุบล-ปากเซ ราคาคนละ 200 บาท
ระหว่างรอก๋วยจั๊บ
รถออกตรงเวลา 09.30 น เป็นรถปรับอากาศค่อนข้างจะสบายเลยทีเดียว ระหว่างทางไม่ค่อยเห็นอะไรซักเท่าไหร่เพราะปิดม่านกันหมดเลยก็แดดมันร้อนจะทำไงได้ล่ะ พอคิดว่าจะได้ไปปากเซความคิดแรกคืออยากทำหนังสั้น แต่พอมาเจอสถานการณ์จริงแล้วคงยากที่จะได้หนังสั้นกลับไปเป็นผลงานคงต้องหาอะไรให้ได้มีผลงานกลับบ้านบ้างแล้ว
เริ่มออกเดินทางแล้ว
เรามาถึงที่ด่านเวลาประมาณ 11.10 น เราต้องลงจากรถไปถ่ายรูปที่ด่านแล้วก็ปั้มตราประทับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้งาน Passport หลังจากทำมาไว้ตั้งแต่ 3 ปีก่อน พอเดินข้ามแดนไปฝั่งประเทศลาวผมกับเพื่อนดันหลงไปของ VISA เลยทำให้เสียเวลานานเพราะคนไทยไม่ต้องขอ VISA แต่ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมไป 100 บาท พอทุกอย่างเรียบร้อยผมกับเพื่อนเราเลยเดินไปแลกเงินที่ธนาคารพนักงานธนาคารท่าทางยิ้มแย้มเขาถามเราว่ามากันกี่คน เราเลยตอบไปว่า”มากัน2คนครับ” พนักงานธนาคารบอก”มาหาเอาข้างหน้าเนาะ” เรายิ้มแล้วผมก็แลกเงินไป 1500 บาท ผมถามว่า”แลกเงินคืนได้ใช่มั้ยครับ” พนักงานก็บอกว่า”แลกที่นี่ได้” แล้วเราก็เดินออกมาจากธนาคารด้วยความยิ้มแย้ม เพื่อนผมพูดหลังจากเปิดประตูธนาคารออกมาว่า”อัธยาศัยดีหวะ” แล้วเราก็กลับขึ้นรถแล้วก็เดินทางเข้าปากเซซักที
พอมาถึงสถานีขนส่งที่ปากเซเราก็ต้องเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้คือรถที่ออกจากปากเซไปจำปาสักหมดแล้ว เราเลยนั่งรถรับจ้างเพื่อที่จะไปหาที่พักในตัวเมืองปากเซ แต่เราก็โดนพี่คนขับรถพ่อลูกอ่อนที่เลี้ยงลูกบนรถกล่อมจนเรายอมเหมารถไปจำปาสักก็โทษเขาไม่ได้เราเลือกไปเอง จากที่จะเสียเงินค่ารถไม่เกิน 100 บาท กลายเป็นโดนไป 1000 บาท เรานั่งรถไม่นานก็ถึงจำปาสักเราเลือกพักที่เรือนพักสายทองค่าที่พักราคา 200 บาทต่อคืน วิวที่พักสวยใช้ได้เลยด้านหนึ่งเป็นภูเขาส่วนอีกด้านก็เป็นแม่น้ำโขง เราเอาข้าวของไปเก็บเข้าห้องแล้วก็มาสั่งอาหารกลางวันทานพร้อมนั่งชมวิวแม่น้ำโขงซักพักก็ไปเช่าจักรยานเพื่อปั่นไปวัดพู ตอนเราไปเช่าเราบอกเขาว่าจะปั่นไปวัดพูเขาก็ไม่ได้เตือนว่ามันไกลหรืออะไรเลยเขามีแค่รอยยิ้มให้เท่านั้น 10 กิโลเมตร เราคิดว่าน่าจะไม่นานแต่ก็ต้องลองเสี่ยงดูไม่งั้นคงไม่รู้หรอก ผมคิดว่าจะแวะถ่ายภาพวิวระหว่างทางเพราะตลอดทางคงเป็นทิวเขาสวยๆแน่นอน
ทำงานไปด้วยเลี้ยงลูกไปด้วย
ระหว่างทางก็สวยดี
ระหว่างทางก็สวยดี 2
บรรยากาศเรือนพักสายทอง มองไปทางขวา
บรรยากาศเรือนพักสายทอง มองไปทางซ้าย
วัดพูมรดกโลกที่จะไม่มาอีกแล้วถ้ามีเงินไม่ถึง 1 ล้านกีบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็น Walter Mitty ในตอนที่ปั่นจักรยานไปภูเขาไปจริงๆ ผมกับเพื่อนเราปั่นไปจนยางหน้าคันผมรั่วทำให้ผมต้องบดรถไปหลายกิโลจนถึงวัดพู แล้วพอถึงวัดพูเรื่องเงินๆทองก็เกิดขึ้นกับเราอีกครั้งก่อนมาเคยเปิดอ่านว่าค่าเข้าวัดพู 120 บาท แต่พอมาจริงๆเราโดนเก็บคนละ 210 บาท สำหรับการเข้าชม พอมาถึงตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจในเงินที่เหลือในกระเป๋าแล้วล่ะซิผมเริ่มบ่นเรื่องเงินมากขึ้น เราเริ่มเดินขึ้นไปที่เนินเขาได้เจอกับคนที่หลากหลายและได้ใช้เวลานานกว่าที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวัดพู เราใช้เวลาอยู่ที่วัดพูเกือบๆ 1 ชั่วโมง ก็ต้องรีบกลับลงมาจากยอดเพราะขากลับเรายังเหลืออีก 10 กม กับจักรยานที่ยางหน้ารั่วรอให้แก้ปัญหาอยู่ ในตอนแรกผมตัดสินใจจะบดยางแฟบๆกลับที่พักแต่พอปั่นไปได้ประมาณ 1 กม ก็รู้แล้วว่าควรปะยางแล้วล่ะ เราหาร้านปะยางข้างทางช่างงัดยางในออกมาแล้วช่างเติมลมเข้าไปเพื่อเช็คแผลรั่วตรงไหน พอช่างเติมลมเข้าไปเท่านั้นแหละฝุ่นที่อยู่ในยางในก็กระจายออกมาเป็นวงเลย ผมเดินไปถามช่างว่า”แผลเยอะมากมั้ยครับ” ช่างหัวเราะแล้วก็ชูยางขึ้นแล้วบอกว่า”เปลี่ยนจะถูกกว่า” แล้วผมก็ต้องเสียเงินไปอีก 100 บาท เพื่อเปลี่ยนยางให้ได้ปั่นได้สบายขึ้น แล้วพอเปลี่ยนยางเสร็จเราก็ปั่นกันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่พัก





จักรยานคู่ใจยางแบนซะงั้น
ต้นเหตุ
ขณะที่รอเปลี่ยนยางถนนเริ่มโล่งเริ่มไม่มีรถผ่านแล้ว
พอถึงที่พักเราก็นั่งพักอยู่พักหนึ่งแล้วก็สั่งอาหารเย็นมาทาน ผมสั่งออมเล็ตมันฝรั่งกับหอมหัวใหญ่ หรือเป็นภาษาลาวก็คือ ไข่เจียวมันกับหัวผักบัว ผมอ่านเมนูเครื่องดื่มไปเจอเมนู Wat Phu Cocktail ผมยังมีความรู้สึกคาใจกับวัดพูเลยสั่งมาลองดื่ม ผมได้แต่บ่นกับเพื่อนว่าวันนี้ไม่มีอะไรเข้าข้างเราเลยทุกอย่างผิดแผนไปหมดแต่ยังไงผมก็ได้เรื่องราวในวันนี้มาเขียนเล่าในตอนนี้จะเสียก็ตรงที่ไม่ได้ทำหนังสั้นนี้แหละ
ไข่เจียวมันกับหัวผักบัว กับ Wat Phu Cocktail
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จรู้สึกว่า Wat Phu Cocktail เริ่มออกฤทธิ์แล้วเพราะเรามีอาการขาดน้ำเพราะค่าน้ำแพงไปหน่อยเลยต้องดื่มเท่าที่ยังมีอยู่
สรุปของวันนี้การเดินทางมาครั้งนี้ผมแทบจะไม่รู้สึกว่าไปไกลบ้านเลยเพราะทุกอย่างยังคุ้นเคย เพลงที่ได้ยินระหว่างทางก็มีทั้งเพลงของ musketeers และตู่ ภพธร ด้วยทุกอย่างยังเหมือนกับว่าจะมาจากที่ไทยหมดเลย จะต่างกันก็ตรงที่เรื่องเงินที่ต้องจ่ายไปมันแพงเหลือเกินมันเกินงบที่ตั้งไว้ในโซนปลอดภัยไปเยอะเลยและดูท่างบจะบานปลายด้วย แต่พวกเราก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ถ้าเราไม่ได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองเราก็จะอยากมาอยู่นั้นแหละแต่พอมาแล้วมันจะทำให้เรารู้เหลี่ยมของเมืองท่องเที่ยวที่เป็นอย่างนี้แทบจะทุกที่ เจอกับตัวก็เริ่มรู้สึกแล้วว่านักท่องเที่ยวต้องมาเจอแบบนี้จะรู้สึกยังไง ตอนนี้ Wat Phu Cocktail เริ่มทำให้ผมเขียนไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วบวกกับการปั่นจักรยาน 20 กม ทำให้เหนื่อยกายและเหนื่อยใจกับการสูญเงินไปกับเรื่องยิบย่อยเยอะแยะ จะต้องรอดูพรุ่งนี้ว่าผมจะเจออะไรที่เป็นไฮไลท์อีกมั้ย สำหรับวันแรกอธิบายได้เท่านี้แหละ
[CR] 3 วัน 2 คืน กับปากเซที่ยังคงไม่ชัดเจน
เริ่ม.
07/05/15
วันนี้ผมจะออกเดินทางแบบ Backpack ไปที่ปากเซประเทศลาว ผมยังไม่ได้จัดกระเป๋าเลยด้วยซ้ำไม่ใช่ว่ามั่นใจอะไรหรอกนะ แต่แค่ไม่อยากทำให้ตัวเองตื่นเต้นเกินเหตุ ผมจะเดินทางไปกับเพื่อนหนึ่งคนพวกเรามีเงินที่จำกัดและเวลาที่จำกัดยิ่งกว่าทำให้พวกเราไปปากเซได้แค่วันที่ 7-8 เท่านั้นแล้วต้องกลับอุบลในวันที่ 9 ตอนเช้า แผนการเดินทางไม่มีอะไรที่ตายตัวเราคุยกันว่าจะไปนอนจำปาสัก 1 คืนนอนปากเซ 1 คืน คนที่จะคอยช่วยเหลือที่ปากเซไม่มี แถมไม่มีชั่วโมง Internet ในโทรศัพท์ด้วย ผมก็ได้แต่หวังว่าจะไม่เจอปัญหามากมายอะไรนักนะ
เวลาประมาณ 08.30 น ผมกับเพื่อนจองตั๋วรถเรียบร้อยแล้วรถออก 09.30 น ทั้งผมและเพื่อนยังไม่ได้ทานอาหารเช้าเลยเราเลยเดินออกไปนอกสถานีขนส่งอุบลเพื่อไปหาอาหารเช้าทานที่ซอยข้างๆสถานีขนส่งอุบล เราเดินตากแดดไปเรื่อยๆเดินไกลเลยทีเดียวเกือบๆ 500 เมตร ก็ได้เจอร้านขายก๋วยจั๊บเราสั่งก๋วยจั๊บทานแล้วก็เริ่มคุยเรื่องแผนกันเล็กน้อยจนเราทานก๋วยจั๊บเสร็จก็เวลาประมาณ 09.10 น เราเลยต้องรีบเดินไปที่สถานีขนส่งกัน เราขึ้นรถประมาณ 09.25 น ผมลืมบอกไปค่าตั๋วรถจาก อุบล-ปากเซ ราคาคนละ 200 บาท
รถออกตรงเวลา 09.30 น เป็นรถปรับอากาศค่อนข้างจะสบายเลยทีเดียว ระหว่างทางไม่ค่อยเห็นอะไรซักเท่าไหร่เพราะปิดม่านกันหมดเลยก็แดดมันร้อนจะทำไงได้ล่ะ พอคิดว่าจะได้ไปปากเซความคิดแรกคืออยากทำหนังสั้น แต่พอมาเจอสถานการณ์จริงแล้วคงยากที่จะได้หนังสั้นกลับไปเป็นผลงานคงต้องหาอะไรให้ได้มีผลงานกลับบ้านบ้างแล้ว
เรามาถึงที่ด่านเวลาประมาณ 11.10 น เราต้องลงจากรถไปถ่ายรูปที่ด่านแล้วก็ปั้มตราประทับเป็นครั้งแรกที่ได้ใช้งาน Passport หลังจากทำมาไว้ตั้งแต่ 3 ปีก่อน พอเดินข้ามแดนไปฝั่งประเทศลาวผมกับเพื่อนดันหลงไปของ VISA เลยทำให้เสียเวลานานเพราะคนไทยไม่ต้องขอ VISA แต่ก็ต้องเสียค่าธรรมเนียมไป 100 บาท พอทุกอย่างเรียบร้อยผมกับเพื่อนเราเลยเดินไปแลกเงินที่ธนาคารพนักงานธนาคารท่าทางยิ้มแย้มเขาถามเราว่ามากันกี่คน เราเลยตอบไปว่า”มากัน2คนครับ” พนักงานธนาคารบอก”มาหาเอาข้างหน้าเนาะ” เรายิ้มแล้วผมก็แลกเงินไป 1500 บาท ผมถามว่า”แลกเงินคืนได้ใช่มั้ยครับ” พนักงานก็บอกว่า”แลกที่นี่ได้” แล้วเราก็เดินออกมาจากธนาคารด้วยความยิ้มแย้ม เพื่อนผมพูดหลังจากเปิดประตูธนาคารออกมาว่า”อัธยาศัยดีหวะ” แล้วเราก็กลับขึ้นรถแล้วก็เดินทางเข้าปากเซซักที
พอมาถึงสถานีขนส่งที่ปากเซเราก็ต้องเจอกับเรื่องที่ไม่เป็นไปตามที่คิดไว้คือรถที่ออกจากปากเซไปจำปาสักหมดแล้ว เราเลยนั่งรถรับจ้างเพื่อที่จะไปหาที่พักในตัวเมืองปากเซ แต่เราก็โดนพี่คนขับรถพ่อลูกอ่อนที่เลี้ยงลูกบนรถกล่อมจนเรายอมเหมารถไปจำปาสักก็โทษเขาไม่ได้เราเลือกไปเอง จากที่จะเสียเงินค่ารถไม่เกิน 100 บาท กลายเป็นโดนไป 1000 บาท เรานั่งรถไม่นานก็ถึงจำปาสักเราเลือกพักที่เรือนพักสายทองค่าที่พักราคา 200 บาทต่อคืน วิวที่พักสวยใช้ได้เลยด้านหนึ่งเป็นภูเขาส่วนอีกด้านก็เป็นแม่น้ำโขง เราเอาข้าวของไปเก็บเข้าห้องแล้วก็มาสั่งอาหารกลางวันทานพร้อมนั่งชมวิวแม่น้ำโขงซักพักก็ไปเช่าจักรยานเพื่อปั่นไปวัดพู ตอนเราไปเช่าเราบอกเขาว่าจะปั่นไปวัดพูเขาก็ไม่ได้เตือนว่ามันไกลหรืออะไรเลยเขามีแค่รอยยิ้มให้เท่านั้น 10 กิโลเมตร เราคิดว่าน่าจะไม่นานแต่ก็ต้องลองเสี่ยงดูไม่งั้นคงไม่รู้หรอก ผมคิดว่าจะแวะถ่ายภาพวิวระหว่างทางเพราะตลอดทางคงเป็นทิวเขาสวยๆแน่นอน
วัดพูมรดกโลกที่จะไม่มาอีกแล้วถ้ามีเงินไม่ถึง 1 ล้านกีบ ความรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็น Walter Mitty ในตอนที่ปั่นจักรยานไปภูเขาไปจริงๆ ผมกับเพื่อนเราปั่นไปจนยางหน้าคันผมรั่วทำให้ผมต้องบดรถไปหลายกิโลจนถึงวัดพู แล้วพอถึงวัดพูเรื่องเงินๆทองก็เกิดขึ้นกับเราอีกครั้งก่อนมาเคยเปิดอ่านว่าค่าเข้าวัดพู 120 บาท แต่พอมาจริงๆเราโดนเก็บคนละ 210 บาท สำหรับการเข้าชม พอมาถึงตอนนี้ผมชักไม่มั่นใจในเงินที่เหลือในกระเป๋าแล้วล่ะซิผมเริ่มบ่นเรื่องเงินมากขึ้น เราเริ่มเดินขึ้นไปที่เนินเขาได้เจอกับคนที่หลากหลายและได้ใช้เวลานานกว่าที่จะขึ้นไปถึงจุดสูงสุดของวัดพู เราใช้เวลาอยู่ที่วัดพูเกือบๆ 1 ชั่วโมง ก็ต้องรีบกลับลงมาจากยอดเพราะขากลับเรายังเหลืออีก 10 กม กับจักรยานที่ยางหน้ารั่วรอให้แก้ปัญหาอยู่ ในตอนแรกผมตัดสินใจจะบดยางแฟบๆกลับที่พักแต่พอปั่นไปได้ประมาณ 1 กม ก็รู้แล้วว่าควรปะยางแล้วล่ะ เราหาร้านปะยางข้างทางช่างงัดยางในออกมาแล้วช่างเติมลมเข้าไปเพื่อเช็คแผลรั่วตรงไหน พอช่างเติมลมเข้าไปเท่านั้นแหละฝุ่นที่อยู่ในยางในก็กระจายออกมาเป็นวงเลย ผมเดินไปถามช่างว่า”แผลเยอะมากมั้ยครับ” ช่างหัวเราะแล้วก็ชูยางขึ้นแล้วบอกว่า”เปลี่ยนจะถูกกว่า” แล้วผมก็ต้องเสียเงินไปอีก 100 บาท เพื่อเปลี่ยนยางให้ได้ปั่นได้สบายขึ้น แล้วพอเปลี่ยนยางเสร็จเราก็ปั่นกันต่อไปอีกครึ่งชั่วโมงก็ถึงที่พัก
พอถึงที่พักเราก็นั่งพักอยู่พักหนึ่งแล้วก็สั่งอาหารเย็นมาทาน ผมสั่งออมเล็ตมันฝรั่งกับหอมหัวใหญ่ หรือเป็นภาษาลาวก็คือ ไข่เจียวมันกับหัวผักบัว ผมอ่านเมนูเครื่องดื่มไปเจอเมนู Wat Phu Cocktail ผมยังมีความรู้สึกคาใจกับวัดพูเลยสั่งมาลองดื่ม ผมได้แต่บ่นกับเพื่อนว่าวันนี้ไม่มีอะไรเข้าข้างเราเลยทุกอย่างผิดแผนไปหมดแต่ยังไงผมก็ได้เรื่องราวในวันนี้มาเขียนเล่าในตอนนี้จะเสียก็ตรงที่ไม่ได้ทำหนังสั้นนี้แหละ
หลังจากทานอาหารเย็นเสร็จรู้สึกว่า Wat Phu Cocktail เริ่มออกฤทธิ์แล้วเพราะเรามีอาการขาดน้ำเพราะค่าน้ำแพงไปหน่อยเลยต้องดื่มเท่าที่ยังมีอยู่
สรุปของวันนี้การเดินทางมาครั้งนี้ผมแทบจะไม่รู้สึกว่าไปไกลบ้านเลยเพราะทุกอย่างยังคุ้นเคย เพลงที่ได้ยินระหว่างทางก็มีทั้งเพลงของ musketeers และตู่ ภพธร ด้วยทุกอย่างยังเหมือนกับว่าจะมาจากที่ไทยหมดเลย จะต่างกันก็ตรงที่เรื่องเงินที่ต้องจ่ายไปมันแพงเหลือเกินมันเกินงบที่ตั้งไว้ในโซนปลอดภัยไปเยอะเลยและดูท่างบจะบานปลายด้วย แต่พวกเราก็พยายามมองโลกในแง่ดีว่า ถ้าเราไม่ได้มาพิสูจน์ด้วยตัวเองเราก็จะอยากมาอยู่นั้นแหละแต่พอมาแล้วมันจะทำให้เรารู้เหลี่ยมของเมืองท่องเที่ยวที่เป็นอย่างนี้แทบจะทุกที่ เจอกับตัวก็เริ่มรู้สึกแล้วว่านักท่องเที่ยวต้องมาเจอแบบนี้จะรู้สึกยังไง ตอนนี้ Wat Phu Cocktail เริ่มทำให้ผมเขียนไม่รู้เรื่องแล้ว แล้วบวกกับการปั่นจักรยาน 20 กม ทำให้เหนื่อยกายและเหนื่อยใจกับการสูญเงินไปกับเรื่องยิบย่อยเยอะแยะ จะต้องรอดูพรุ่งนี้ว่าผมจะเจออะไรที่เป็นไฮไลท์อีกมั้ย สำหรับวันแรกอธิบายได้เท่านี้แหละ