สมาธิกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์ ?

สมาธิกับการวิจัยทางวิทยาศาสตร์
ได้เริ่มมีขึ้นตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓ เป็นต้นมา

ต่อไปนี้จะเป็นรายงาน
การค้นคว้าทางวิทยาศาสตร์จากประเทศต่างๆ
ที่ได้พิมพ์ออกมาเป็นเอกสารทางวิชาการ เช่น
The American Journal of Philosophy
International Journal of Neuroscience
Phychosomatic medicine
American Pshchologist
India Journal of medical Research
ดังนี้

๑. สมาธิที่มีผลต่อระบบการหายใจ
ค.ศ. ๑๙๖๑ ศาสตราจารย์บี.เค.อนันต์
แห่งสถาบันวิทยาศาสตร์การแพทย์ออล อินเดีย
ได้ทำการทอลองกับโยคี ชื่อ ศรี รามนันท์

โดยได้ให้โยคีเข้าไปนั่งทำสมาธิ
อยู่ในหีบขนาด ๔ คูณ ๖ ฟุตและลึก ๔ ฟุต
ปิดทึบอากาศเข้าออกไม่ได้

ครั้งที่ ๑ นาน ๘ ช.ม และครั้งที่ ๒ นาน ๑๐ ช.ม
โดยไม่ปรากฏอันตรายอย่างใดแก่โยคี

ผลการวิจัยพบว่า
1. โยคีใช้ออกซิเจนน้อยกว่าธรรมดา
     ๓๓ ñ ๕๐ เปอร์เซ็นต์
2. อัตราชีพจรลดลงจาก ๘๕ ครั้งต่อนาที
     คงเหลือเพียง ๖๐ ñ ๗๐ ครั้งต่อนาที
3. การหายใจมีความเร็วเกือบคงที่
4. คลื่นสมองมีลักษณะคล้ายเวลานอนหลับๆตื่นๆ


๒. สมาธิที่มีผลต่อการเผาผลาญในร่างกาย
นักวิทยาศาสตร์ชาวญี่ปุ่น ๒ คณะ
ทำการศึกษาพุทธศาสนิกชนนิกายเซ็น คณะโชจิ
ในขณะทำสมาธิ คณะของนักวิทยาศาสตร์ ชื่อซูกิ
ศึกษาเกี่ยวกับการเผาผลาญในร่างกาย

ผลการวิจัยพบว่า
จากการใช้ออกซิเจนและคาร์บอนไดออกไซด์
ลดน้อยกว่าในเวลาปกติเฉลี่ยได้ ๒๐ %

อีกคณะหนึ่ง นักวิทยาศาสตร์ชื่อคาซามัสสุ
ได้ศึกษาคลื่นไฟฟ้าของสมองในผู้ปฏิบัติสมาธิ
ตามวิธีนิกายเซ็นเปรียบเทียบกับคนธรรมดา

ผลการวิจัยพบว่า
นักปฏิบัติที่ทำสมาธิแบบลืมตา
คลื่นไฟฟ้าสมองแตกต่าง
จากที่พบในคนนอนหลับอย่างธรรมดา
แสดงว่าสมาธิต่างจากการนอน

ลักษณะอยู่ระหว่างคลื่นสมอง
ของคนครึ่งหลับครึ่งตื่น แต่ไม่ใช่ง่วง
คือสงบ แต่ไม่เฉื่อย ไม่ตื่นเต้น
พร้อมที่จะปฏิบัติหน้าที่


๓. สมาธิที่มีผลต่อการเรียน
พ.ศ. ๒๕๑๓-๒๕๑๔ ในประเทศไทย
มีนักวิทยาศาสตร์ ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับเรื่องจิต
คือ ศาสตราจารย์นายแพทย์โรจน์ สุวรรณสุทธิ
และคณะทำงานคณะแพทย์ศาสตร์ศิริราชพยาบาล
ทำการทดลองนักศึกษาแพทย์ชายหญิง ๓๒ คน
อายุระหว่าง ๑๙-๒๓ ปี ฝึกแบบสมถกรรมฐาน
สัปดาห์ละ ๕ วันตลอดเวลา ๒๐ สัปดาห์

และประเมินผลเกี่ยวกับการศึกษาและความนึกคิด
โดยวิธีการต่างๆ ผลการวิจัยพบว่า
๑. นักศึกษามีความตั้งใจเรียนมาก ๖๒ %
๒. รักการเรียนมากขึ้น ๓๑ %
๓. มีความเห็นว่าการฝึกสมาธิ
    มีประโยชน์กับการเรียน ๖๕ %
๔. ทำให้ความจำดีขึ้นและการทำงานคล่องแคล่ว
๕. การบันทึกคลื่นสมองไฟฟ้า
    พบว่าในระหว่างการทำสมาธิคลื่นสมอง
     มีความราบเรียบมาก
     ต่างจากบุคคลธรรมดาทั่วไป


๔. สมาธิที่มีผลต่ออัตราการใช้ออกซิเจนในร่างกาย
พ.ศ. ๒๕๑๐ ดร.เฮอร์เบิร์ต เบนสัน
ผู้ก่อตั้งสถาบันรักษาใจและกาย
(Mind/Body Medical Institute)
ศาสตราจารย์สอนวิชาแพทย์
คณะแพทยศาสตร์มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
(Havard Medical School)
รัฐแมสซาชูเซ็ทส์ ได้ทำการทดลองกับ
นักปฏิบัติธรรมจำนวน ๓๖ คน

ผลการวิจัยพบว่า
๑. อัตราการใช้อ๊อกซิเย่น ลดลง ๑๗ %
หมายความว่า ถ้าร่างกายใช้ อ๊อกซิเย่นน้อยลง
อัตราการเผาผลาญในร่างกายก็จะลดลงไปด้วย
เมื่อเผาผลาญลดลงร่างกายก็เสื่อมน้อยลงเช่นกัน
เมื่อร่างกายเสื่อมน้อยลง หน้าตาจะอ่อนกว่าวัย
และอายุขัยก็จะยืนยาว
อัตราการเต้นของหัวใจลดลง
นาทีละ ๓ ครั้ง หมายความว่าหัวใจจะแข็งแรง
และไม่ต้องทำงานหนักเหมือนแต่ก่อน

๒. สามารถบันทึกคลื่นสมองของคนเราได้
ด้วยการเอาเครื่อง EEG
มาฉายแสดงเป็นเส้นกร๊าฟ
ผลการวิจัยของ มหาวิทยาลัยฮาร์วาร์ด
สรุปอย่างชัดเจนว่าสมาธิ
ก่อให้เกิด คลื่นสมองธีต้า(Theta wave)


๕. สมาธิที่มีผลต่อความดันโลหิตสูง
จากวารสารสมาคมโรคหัวใจ
(American Heart Association's journal
Hypertension) มีคณะผู้วิจัยกลุ่มหนึ่ง
ได้ทำการศึกษาชายหญิง
ชาวอเมริกันนิโกรกว่าร้อยคน
ที่มีความดันโลหิตสูง
แต่ไม่ได้ทำการรักษา

คณะผู้วิจัยได้แบ่งคนออกเป็น ๓ กลุ่ม
กลุ่มที่ ๑ รักษาความดันโลหิตสูง
           ด้วยวิธีการทำสมาธิ
กลุ่มที่ ๒ รักษาความดันโลหิตสูง
           ด้วยวิธีการผ่อนคลาย
           ความตึงเครียดของกล้ามเนื้อ
           และพักผ่อน
กลุ่มที่ ๓ รักษาความดันโลหิตสูง
           ด้วยวิธีการให้ออกกำลังกาย
           งดสูบบุหรี่ จำกัดแอลกอฮอล์
           และลดความอ้วน

หลังจากนั้น ๓ เดือน
เริ่มการตรวจวัดความดัน ปรากฏว่า
กลุ่ม ๑ ความดันเลือดเฉลี่ยลดลงถึงร้อยละ ๗
ลดการเป็นโรคหัวใจลงร้อยละ ๒๐-๔๕
ลดอาการหัวใจวายลงร้อยละ ๓๕-๔๐
กลุ่ม ๒ ลงลงได้เพียงร้อยละ ๓
กลุ่ม ๓ ไม่ลดลงเลย


๖. สมาธิและความสัมพันธ์ของการรักษาโรค
คณะแพทย์ของมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
ได้ทำการวิจัยเกี่ยวกับสมาธิ
และความสัมพันธ์ของการรักษาโรค
ผลการวิจัย พบว่า
การทำสมาธิมีความสัมพันธ์กับสมองด้านซ้าย
และส่งผลให้เกิดสุขภาพที่ดี
คณะผู้วิจัยรับสมัครบุคคลจำนวน ๒๕ คน
จากที่ทำงานแวดล้อมด้วยพนักงานมีสุขภาพดี
ในระหว่าง ๘ สัปดาห์ของโปรแกรม
การฝึกอบรมเกี่ยวกับสมาธิ
บุคคลเหล่านั้นถูกให้วัคซีนป้องกันไข้หวัดใหญ่
และตรวจวัดการเปลี่ยนแปลงทางไฟฟ้าในสมอง
ตอนท้ายของการทดลอง

คณะผู้วิจัยสรุปว่า
สมาธิส่งผลในทางบวกต่อทั้งสมอง
และภูมิคุ้มกันของร่างกาย
แม้ว่าจะเป็นการทำสมาธิในระยะสั้น

การทำสมาธิ
แสดงให้เห็นว่าผู้เข้าร่วมการทดลอง
มีความกังวลน้อยลง
มีการเปลี่ยนแปลงที่สมองด้านซ้ายมากขึ้น
ตามทฤษฎีทางการแพทย์สมองด้านซ้าย
จะมีความสัมพันธ์กับความสามารถ
ในการต่อต้านความคิดเป็นลบ
หรือความเครียด


๗. สมาธิที่มีผลต่อการทำงานของคลื่นสมอง
ดร.เกรก จาคอบส์
ศาสตราจารย์สอนวิชารักษาโรคทางจิต
สถาบันแพทย์แห่งฮาร์วาร์ด
ร่วมกับดร. เบนสัน
บันทึกคลื่นสมองด้วยเครื่อง EEG
ของคนกลุ่มหนึ่งที่เรียนวิชาสมาธิ
และอีกกลุ่มหนึ่งเรียนวิธีผ่อนคลาย
จากการฟังเท้ป

๒-๓ เดือนต่อมา
คนที่นั่งสมาธิมีคลื่นสมองธีต้า
มากกว่าคนที่ฟังเท้ป

สมองส่วนหน้าซึ่งทำหน้าที่รับและย่อยข้อมูล
ทำงานน้อยลง ใกล้ๆระดับตอนบนของศีรษะ
มีสมองส่วนกลางที่บอกเวลาและสถานที่
สมาธิทำให้สมองส่วนนี้ทำงานน้อยลง

การที่สมองส่วนกลางปิด
ทำให้เรารู้สึกว่าขอบเขตหายไป
และ ìเป็นหนึ่งî (Oneness )กับจักรวาล


๘. สมาธิที่มีผลต่อระบบเลือดในสมอง
ดร.เบนสัน ทำการวิจัยสมาธิ
กับระบบเลือดในสมอง
โดยการนำเอาชาวซิกห์มาทดสอบ
ชาวซิกห์กลุ่มนี้มีสมาธิจิตสูงมาก
ถึงขนาดว่าเครื่อง fMRI กระทบกันดังแคล้ง
ก็ยังนั่งสมาธิต่อไปได้
(เครื่องมีพลังแม่เหล็กสูงกว่าโลก ๕๐,๐๐๐ เท่า)

เมื่อวัดเลือดในสมอง ผลการวิจัยพบว่า
เลือดในสมองไหลลงมาหมด
บางส่วนรวมทั้งระบบ"ลิมบิค"ไหลขึ้น
ระบบนี้แสดงอารมณ์ ความจำ
ควบคุมการเต้นของหัวใจ
และลมหายใจให้เป็นปกติ
รวมทั้งการเผาผลาญของร่างกายด้วย


๙. สมาธิที่มีผลต่อสมองทั้งสองซีก
ริชาร์ด เดวิดสัน นักวิจัย
แห่งมหาวิทยาลัยวิสคอนซิน
ตั้งอยู่ในเมืองเมดิสัน
สร้างรูป (image)ในสมอง
แสดงให้เห็นว่าสมาธิเปลี่ยนการทำงาน
ในคอร์เท็กซ์บริเวณก่อนถึงสมองส่วนหน้า
(หลังหน้าผาก) จากซีกขวามาซีกซ้าย

และพบว่าคนที่นั่งสมาธิเป็นประจำ
สมองจะเปลี่ยนจากความคิดที่ว่าจะสู้ดีหรือหนีดี
มาเป็นยอมรับสถานการณ์
เป็นการเปลี่ยนแปลงที่ทำให้ตนพอใจมากขึ้น

คนที่อารมณ์ไม่ดี จะใช้สมองทางซีกขวา
ระดับก่อนถึงหน้าผาก
คนที่ใช้ซีกซ้าย จะใช้ซีกกระตือรือร้นมากกว่า
มีความสนใจสิ่งต่างๆมากกว่า
รู้สึกผ่อนคลายและมีความสุขมากกว่า

ต่อมาจอน กะบาต-ซินน์
ผู้เคยได้ศึกษาพระพุทธศาสนา
มาตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๐๓
ได้ตั้งคลินิคคลายความเครียด
ในศูนย์แพทย์ยูแมส

และพ.ศ. ๒๕๒๒
พยายามเอาพลังงานของสมาธิ
มารักษาโรคด้วยวิธีการที่เป็นวิทยาศาสตร์

ริชาร์ด เดวิดสัน ศึกษาเรื่องใหม่
คือ ฉีดยาแก้ไข้ให้ผู้ป่วยที่นั่งสมาธิ
และที่ไม่ได้นั่งสมาธิ
จากการตรวจระดับภูมิคุ้มกันโรคในเลือด
วัดการทำงานของสมอง พบว่าสมอง
ย้ายที่ทำงานจากซีกขวามาทางซีกซ้าย
คนไข้ที่นั่งสมาธิมีภูมิคุ้มกันโรค
ภายใน ๔ และ ๘ สัปดาห์หลังฉีดยา

แต่คนไข้ที่สมองย้ายที่ทำงานมากที่สุด
จะมีภูมิคุ้มกันมากที่สุด
ยิ่งถ้านั่งสมาธิด้วยวิธีการที่ดีกว่า
ร่างกายจะสร้างภูมิคุ้มกันโรคมากกว่า


๑๐. การทำงานของสมองในขณะนั่งสมาธิ
พ.ศ. ๒๕๔๐ นักประสาทวิทยาคนหนึ่ง
ชื่อ แอนดรู นิวเบิร์ก
จากมหาวิทยาลัยเพนซิลเวเนีย
ได้ทำการทดสอบชาวพุทธที่นั่งสมาธิกลุ่มหนึ่ง
โดยใช้เครื่อง LVS มีสีย้อมกัมมันตรังสี
เกิดแสงในสมองที่ส่องให้เห็นทิศทาง
การไหลของเลือดในสมองและเห็นส่วนต่างๆ
ที่สมองทำงานมากที่สุด

แอนดรูสามารถจับจุดสูงสุดของสมาธิได้
คือ ตอนย้ายกลุ่มทดลองไปนั่งสมาธิห้องข้างๆ
เขาใช้เชือกพันรอบนิ้ว ปลายเชือกอีกข้างหนึ่ง
สอดใต้ประตู วางไว้ใกล้ๆคนนั่งสมาธิ
เมื่อนั่งจนใจเป็นสมาธิแล้ว คนนั่งก็จะดึงเชือก
แอนดรูจะปล่อยสีย้อมเข้าไปในแขนของคนนั่ง

ผลการวิจัยพบว่า สมองไม่ได้ปิด
แต่กั้นไม่ให้เรื่องราวต่างๆ
เข้ามาในสมองส่วนกลางขณะนั่งสมาธิ

สมาธินำทางไปสู่ปัญญา
แนวทางแห่งพุทธศาสนาที่ถ่ายทอดสืบต่อกันมา
มากกว่า ๒๐๐๐ ปี ของชาวตะวันออก

ได้ผ่านการพิสูจน์
จากผลการวิจัย และผลการทดลอง
โดยความเป็นวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยี
ที่เจริญล้ำหน้าของชาวตะวันตก

แสดงให้เห็นว่า
วิธีการทางพระพุทธศาสนา
สามารถแก้ทุกข์ได้จริง
แก้ปัญหาทั้งทางร่างกายและจิตใจได้จริง
และสามารถพิสูจน์ได้จริง
ด้วยวิธีการทางวิทยาศาสตร์

และไม่ใช่สิ่งที่เกินความสามารถ
ที่มนุษย์ธรรมดาในยุคปัจจุบันจะปฏิบัติได้

ขอให้โชคดี
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่