คำถามที่ว่า ตายแล้วเป็นอย่างไร? วิทยาศาสตร์ให้คำตอบได้

มีคนชอบถามกันว่า ตายแล้วไปไหน? หรือ ตายแล้วเป็นอย่างไร?  ซึ่งคนที่ตอบก็จะตอบไปตามความเชื่อของศาสนาที่เขานับถือยู่ และแน่นอนว่าศาสนานั้นมีหลายศาสนา และแต่ละศาสนาก็มีคำตอบของเรื่องภายหลังความตายแตกต่างกัน จึงทำให้คนที่ไม่มีนับถือศาสนาใดๆเกิดความสงสัยว่า ถ้าไม่นับถือศาสนาใดใดๆ เมื่อตายแล้วจะเป็นอย่างไร? ขึ้นมา

ศาสนาเป็นแค่ความเชื่อเพื่อให้คนที่นับถืออุ่นใจ สบายใจว่า ตายแล้วจะมีความสุขไม่มีความมีทุกข์เท่านั้นเอง (แต่คนฉลาดแกมโกงเราก็เอาเรื่องความเชื่อนี้มาหากินกับศรัทธาชนที่ไร้ปัญญาจนร่ำรวย)

ส่วนเรื่องที่ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไรนั้น เราสามารถที่จะใช้หลักวิทยาศาสตร์ (คือมีเหตุผล พิสูจน์ได้) มาวิเคราะห์ได้ โดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดๆเลย ซึ่งการวิเคราะห์นี้ก็สามารถทำให้เราค้นพบความจริงได้ว่าตายแล้วจะเป็นอย่างไร? โดยไม่ต้องอาศัยความเชื่อใดๆเลย

หลักการวิเคราะห์นั้นก็สรุปง่ายๆคือ ให้ดูจากความจริงของธรรมชาติว่า ชีวิต (คือร่างกายกับจิตใจ) ทั้งหลาย รวมทั้งสิ่งทั้งหลายนั้น มันไม่ได้มีตัวตนของมันเองจริงๆเลย (สุญญตา-ว่างเปล่าจากตัวตน) เพราะมันต้องอาศัยสิ่งอื่นมาเป็นเหตุและปัจจัย (ปัจจัย-เหตุย่อยๆที่มาสนับสนุนเหตุใหญ่) มาปรุงแต่ง (หรือสร้างหรือประกอบหรือทำ) ให้เกิดขึ้นมาทั้งสิ้น  ดังนั้นจึงสรุปได้ว่า ทุกสิ่งเกิดขึ้นมาจากความว่างเปล่า หรือความไม่มีตัวตน หรือจากการปรุงแต่ง ดังนั้นการตายก็คือการกลับคืนไปสู่ความว่าง หรือความไม่มีอะไร หรือหยุดการปรุงแต่ง เท่านั้นเอง

สรุปว่าทั้งร่างกายและจิตใจของเรามันเกิดมาจากความว่างเปล่า (จากความไม่มีตัวตน)  การตายก็คือการกลับคืนสู่ความว่างดังเดิม ส่วนเรื่องความเชื่อที่ว่าคนเราตายแล้วยังต้องมีตัวตนไปรับผลจากการกระทำของตนเองก่อนตายนั้น มันเป็นแค่ความเชื่อเท่านั้น (ขอย้ำเป็นแค่ความเชื่อ ไม่ใช่ความจริง) ส่วนเรื่องการทำดีนั้นก็แค่มีผลทำให้สุขใจ-สบายใจ ส่วนการทำชั่วก็มีผลแค่ทำให้ร้อนใจ-ไม่สบายใจอยู่แล้วในชีวิตปัจจุบันนี่เอง ความเชื่อใดๆไม่ได้ทำให้ "มี" หรือ "เป็น" ไปตามที่เชื่อกันเลย

ทั้งหมดนี้คือการคิดวิเคราะห์ด้วยเหตุด้วยผลตามความเป็นจริง ที่ทำให้เกิดเป็นปัญญาขั้นเข้าใจ (จินตามยปัญญา) สำหรับนำมาใช้ปฏิบัติคู่กับสมาธิ (โดยมีศีลเป็นพื้นฐานอยู่ก่อนแล้ว) เพื่อดับทุกข์ของจิตใจในปัจจุบันตามหลักอริยสัจ ๔ ของพระพุทธเจ้า

ส่วนผู้ที่จะเข้าใจและเห็นแจ้งความจริงนี้ได้ ก็คงจะมีเฉพาะคนที่ไม่ยึดติดในความเชื่อจากศาสนาใดๆเท่านั้น ซึ่งคนที่ไม่ยึดติดในความเชื่อจากศาสนาใดๆนั้นก็คงจะมีแต่คนที่มีใจ (จิตวิญญาณหรือสติปัญญา) เป็นนักวิทยาศาสตร์ที่แท้จริง (คือไม่งมงาย มีเหตุผล ยอมรับความจริง) เท่านั้น ซึ่งคนที่มีใจเป็นนักวิทยาศาสตร์นี่เองที่จะสามารถรับ (เข้าใจและเห็นแจ้ง) คำสอนที่แท้จริงของพระพุทธเจ้าได้ เพราะพระพุทธเจ้าตรัสรู้โดยใช้หลักวิทยาศาสตร์ และทรงสอนให้ผู้ที่นับถือใช้ปัญญานำหน้าความเชื่อ ไม่ใช่สอนให้เชื่ออย่างงมงาย อย่างเช่นในปัจจุบัน
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่