เถลไถลมาพอดูแล้ว ไปดมน้ำขี้สีกคลองผดุงกรุงเกษมกันดีกว่า ไม่น่าเชื่อว่าริมคลองน้ำสีเหมือนโอเลี้ยงเนี่ยจะมีสิ่งงดงามสิ่งหนึ่งตั้ง ตระหง่านอยู่ " โรงเรียนเทพศิรินทร์" หลังจากฟันฝ่าข้อสอบเข้ามาได้ ในที่สุดเราก็ได้เข้ามาเป็นหนึ่งในลูกแม่รำเพย เริ่มเรียนชั้น ม.ศ.1 ในชุดกางเกงสีน้ำตาลอีกครั้ง หน้าอกซ้ายของเสื้อปักตัวหนังสือสีน้ำเงินว่า ท.ศ. ตอนเริ่มใหม่ ๆเรายังไม่ได้อินอะไรมากมายกับที่นี่เลยแม้แต่น้อย แค่รู้ว่าเป็นโรงเรียนชั้นนำแห่งหนึ่งเท่านั้นเอง แต่พอได้ฟังบรรยายในวันปฐมนิเทศน์ เรื่องราวประวัติความเป็นมา ความเก่าแก่ ( ก่อตั้งในปี พ.ศ.2428 ) และการเป็นสถานศึกษาของล้นเกล้ารัชกาลที่แปด รวมถึงอดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ( ตนกูอับดุลเลาะห์มาน ) คุณชายถนัดศรี สวัสดิวัฒน์ และนักการเมืองที่มีชื่อเสียงอีกหลายคน หลังจากนั้นจึงเกิดความภาคภูมิในสถาบันการศึกษาแห่งนี้มากขึ้นทีละเล็กละน้อย หลัง ๆ เนี่ยจะรู้สึกยืดทุกครั้งที่ได้เดินถือกระเป๋าไปตามท้องถนนและนั่งรถเมล์ไปกลับในชุดเครื่องแบบลูกเขียวเหลืองแม่รำเพย
ที่เราชอบอยู่อย่างคือตึกเรียนเก่าสองชั้นสีออกส้ม ๆ ด้าน ๆ แบบพาสเทล ดูโบร่ำโบราณดี หน้าต่างของตึกนี้ทำด้วยไม้สักบานใหญ่ ช่วยเสริมความขลังให้กับตัวอาคารและบรรยากาศการเรียนได้ดีทีเดียว ตึกนี้ชื่อ " แม้นนฤมิตร" หรือโชฎึกราชเศรษฐี" ตามชื่อและสมญาของเศรษฐีที่บริจาคเงินสร้าง ตอนหลังเราย้ายไปเรียนที่ตึกอีกฟากหนึ่ง คั่นด้วยสนามฟุตบอลตรงกลางที่นาน ๆ จะมีสีเขียวของหญ้าให้มองเย็นตาซักที ส่วนใหญ่แล้วจะออกแนวทะเลทรายซาฮาร่าซะมากกว่า ตึกที่ว่านี้เป็นตึกใหม่ที่สร้างขึ้นทีหลัง มีชื่อว่า " เยาวมาลย์อุทิศ" ที่มาที่ไปเป็นยังไงก็จำบ่ได้แล้วเน้อ ที่หน้าตึกบริเวณทางเข้าจะมีรูปปั้นของล้นเกล้ารัชกาลที่แปดประดิษฐานอยู่ด้วย
จำได้ว่าเรากับเพื่อน ๆ ชอบไปเตะบอลกับพวกรุ่นพี่ในช่วงพักเที่ยง และเนื่องจากสนามใหญ่มาก แถมเป็นสนามเดียวที่มี เด็กนักเรียนที่ชอบชีวิตกลางแจ้งจึงมักจะมาเล่นกีฬานานาชนิดกันที่นี่ เรียกว่าลูกโน่นลูกนี่กลิ้งไปกลิ้งมา ข้ามหัวไปข้ามหัวมาแทบจะทุกทิศทุกทางทีเดียว ใครเรียนที่นี่ แล้วไม่เคยโดนลูกอะไรซักอย่างกระแทกเข้าที่หัวหรือตัว ถือว่ายังไม่นับเป็นศิษย์เก่าได้เต็มภาคภูมิ
เราเองโดนไม่ต่ำกว่าสามครั้งได้มั้ง ครั้งนึงโดนลูกบอลเตะอัดเข้าที่หัวจังเบอร์ ถึงกับจำเบอร์บ้านเลขที่ไม่ได้ไปชั่วขณะทีเดียวเชียว บางทีพวกเราก็ลงขันกันซื้อลูกบอลหนังอย่างดียี่ห้อ "มิกาซ่า" ของญี่ปุ่น สมัยสามสิบปีก่อนยังลูกละตั้งสามร้อยกว่าบาทเลยแหละ ครั้งนึง ซื้อมาเตะกันได้แค่สองสามวัน ใครก็ไม่รู้เกิดแม่นจัดขึ้นมาซัดเข้าไปเสียบกับเหล็กรั้วปลายแหลมแบบหัวธนู ชัวะเข้าไป นาทีนั้น เหมือนมันทิ่มเข้ามาที่หัวใจพวกเราพร้อมกันไปด้วยเลย เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ ขันลงเงินถึงจะเต็มพอที่จะไปจัดหาลูกใหม่ดี ๆมาเล่นกันได้อีก บางทีลูกบอลก็จะตกลงไปบนถนนหน้าโรงเรียนให้รถได้เบรคได้หลบกันเอี๊ยดอ๊าดเล่นซะงั้น ที่จริงก็อันตรายเหมือนกันนะนั่น บางวันมันก็จะลอยละลิ่วลงไปในคลองผดุงกรุงเกษมที่เลียบผ่านหน้าโรงเรียน ซึ่งกว่าจะกู้ขึ้นมาได้ ก็เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งเหม็นไปตาม ๆ กันนั่นเลย
ช่วงเรียนที่นี่ปีแรก เราติดปิงปองชนิดงอมแงมทีเดียว ทุกพักทุกว่างจะต้องแจ้นไปที่โต๊ะทันที แต่เพราะพื้นที่จำกัด จึงมีโต๊ะอยู่ราวห้าโต๊ะเห็นจะได้ ใครฝีเท้าไวกว่าก็มาจับจองได้ก่อน พวกมาทีหลังก็ต้องอาศัยท้าชิงโตีะเอา ถ้าฝ่ายท้าชนะก็ได้โต๊ะไป แต่ถ้าแพ้ นอกจากจะไม่ได้โต๊ะแล้วยังต้องเสียลูกปิงปองให้กับฝ่ายเจ้าโต๊ะอีกตะหาก แล้วแต่ละโต๊ะเนี่ยก็ใช่ว่าจะเล่นกันสองสามคนด้วยนะ ประเภทว่ายกกันมาครึ่งค่อนห้องนั่นแหละ ใครฝีมือดีก็ได้ตีไปเรื่อย ๆ พวกกลางดีกลางร้ายอย่างเรา ก็ได้ตีครั้งนึงมั่ง สองครั้งมั่งสามครั้งมั่ง แล้วแต่จังหวะจะพาไป พอพลาดทีนึงเนี่ย ต้องรอไปอีกหลายคิวเชียวแหละ ถึงจะวนกลับมาถึงเราอีกที
ทว่าทุกอย่างย่อมมีทางออกสิน่า และทางออกที่ว่านี้ก็คือ " ปิงปองภาคดึก" เพราะใช่ว่าทุกคนจะอยู่ดึกได้ซะเมื่อไหร่ ทีนี้พวกที่บ้านไม่ค่อยรักหรือไม่เป็นที่เรียกร้องหาอย่างเรากับเพื่อน ๆ บางคนก็เลยสุขเกษมเปรมปรีดาเริงอุราจับจองครองโต๊ะปิงปองกันแบบฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเชียวแหละ เดี๋ยวตีโต๊ะนั้นย้ายไปตีโต๊ะนี้ ตีกันทีเป็นเกมยาว ๆ ยี่สิบเอ็ดลูกไปเลย 555 ไม่มีแล้ว ประเภทจับไม้ปุ๊บเจอลูกเหม็น ( ลูกหมุน ) ปั๊บ วางไม้ป้าด ออกไปนั่งรออีกสามสิบแป๊บ ชแว้บกลับมาจับไม้อีกที เอ้า มันเอาลูกเหม็นมาให้กันอีกแล้วววว เฮ้อ ตูละเบื่อจิน ๆ เล้ยยยย พับผ่าสิ เอ้า เรากับก๊วนเสรีชนคนไม่รักบ้านเลยชิล ๆอยู่ที่โต๊ะจนถึงทุ่มสองทุ่มแทบจะทุกวันเลยแหละ ตอนหลัง เลิกฮิตกันไปเองหรือเกิดรักบ้านขึ้นมาก็ไม่รู้ เลยซา ๆ ห่าง ๆ จากโต๊ะกันไปเองในที่สุด
พูดถึงคำว่า ตูละเบื่อเนี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นสายมาจากไหน แต่เชื่อมั้ยว่า คำ ๆ นี้ ( ที่จริงเป็น กูล่ะเบื่อ ) จะดังก้องไปทั้งห้องเรียนของเราได้ในวันนึง และไม่ใช่นัดกันพูดสนุก ๆลอย ๆเท่านั้น แต่เป็นการเจาะจงพูดกับอาจารย์หญิงที่สอนคณิตศาสตร์คนนึง ที่ดันเตรียมตัวมาไม่พร้อมหรือมีทิฐิไม่เข้าท่านี่แหละ เข้ามาสอนไปสอนมา ดันสอนผิด แล้วเหล่านักเรียนห้องคิงอย่างพวกเรา มีหรือจะยอมเอ๋ออ๋อไปด้วย หลายคนจึงลุกขึ้นแย้งและออกไปเขียนร่ายสมการที่มาที่ไปของตัวเลขบนกระดานให้ เห็นว่า อาจารย์ผิดพลาดตรงไหน แทนที่จะถ่อมตัวค่อย ๆ ฟังและยอมรับความผิดพลาดโดยดุษณี เธอกลับเลือกข้างหนทางเสื่อม คือตะแบงโมเมไปเรื่อย ๆ งานนี้เลยมีเสียวแน่ ๆ จึงเกิดการส่งสารกันไปทั่วห้องแบบเงียบ ๆ สุดท้ายตอนเลิกชั้น หัวหน้าห้องก็ตะโกนขึ้นตามปกติว่า " นักเรียนเคารพ" พรึ่บ แล้วทุกคนก็ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันลั่นสนั่นตึกว่า " กูล่ะเบื่อ" เล่นเอาอาจารย์ไปไม่ถูก หน้าแดงกร่ำ รีบสาวเท้าออกจากห้องไปทันที ตามหลังด้วยเสียงหัวเราะสะเทือนเลือนลั่นของพวกเรา ร้อนถึงผู้อำนวยการต้องลงมาเคลียร์ในตอนหลัง สุดท้ายจบยังไง อาจารย์ท่านนั้นจะกล้ากลับมาสอนอีกมั้ย จะยอมรับข้อผิดพลาดหรือไม่ พวกเราจะขอขมาอาจารย์รึเปล่า หรือจะลุกขึ้นมาเผาโรงเรียนประท้วง ( ไม่มีอันนี้แน่ ๆ ) บอกตรง ๆ ว่า เราจำไม่ได้จริง ๆ อะ แค่ราง ๆ ว่าเค้าก็ยังมาสอนพวกเราเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่คงจะไม่กล้าตะแบงเหมือนเดิมแหงม ๆ
ปีที่เราขึ้นชั้น ม.ศ.2 เป็นปีแรกที่เทพศิรินทร์ทดลองเอาระบบคัดเด็กเรียนดีมาใช้ คือคัดคนที่สอบได้ที่หนึ่งถึงห้าของทั้งสิบห้องมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วติดสลากว่า " ห้องคิง" ( ไม่เกี่ยวอะไรกับเพศที่สามนะเออ ) เราเองก็เป็นหนึ่งในห้องหนูทดลองกิตติมศักดิ์นี้ด้วย ตอนไปดูปิดประกาศว่าใครจะได้เรียนห้องไหน เพื่อนร่วมห้องสมัย ม.ศ. 1 คนนึงที่ชื่อสามารถ ( ที่เราไม่ชอบมันเลย ) มันก็มาเยาะเย้ยตามสไตล์กวนชวนตื้บของมันว่า " ฮ้าฮ้า นาย ( ) ได้อยู่ห้อง 10 เหรอ ตรู ( กู ) ได้อยู่ห้อง 3 โว่ย " ทว่าพอตอนหลังมันรู้ว่าห้อง 10 คือห้องคิง มันก็คอยหลบหน้าหลบตาเราตลอดเชียว คำว่า หัวเราะทีหลังดังกว่ายังใช้ได้เสมอจริง ๆ ซะด้วยสิ 555
การเรียนห้องคิงก็เหมือนอย่างอื่นทั้งหมดนั่นแหละ คือมีดีมีเสีย ข้อดีคือ บรรยากาศในห้องชวนเรียนเป็นที่สุด เพราะมีแต่คนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เรียกว่ายกมือถามตอบกันพรึ่บ ๆ พรั่บ ๆ ทีเดียวเชียว นั่นก็ช่วยกระตุ้นให้เราอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน ครูอาจารย์ทุกคนก็ดูจะมีพลังเหลือล้นในการถ่ายทอดความรู้ด้วย เหมือนกับเจอคู่รับคู่ส่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันนั่นเลย ส่วนข้อเสียคือ บางทีมันก็มีเกร็ง ๆเครียด ๆ อยู่บ้าง เพราะว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่คนเก่ง ๆ แล้วก็นึกในใจว่า แล้วตรูจะยืนอยู่ตรงไหนในท่ามกลางพวกมันหว่า แต่พูดโดยรวม ๆ แล้ว เราว่าระบบนี้มันดีก็เฉพาะกับเด็กในห้องคิงเองนั่นล่ะมั้ง แล้วก็อาจจะดีต่อชื่อเสียงของโรงเรียนในแง่ที่สามารถปั้นเด็กเข้าคณะยอดนิยม ( ที่มีคะแนนสูง ๆ ไม่อยากใช้คำว่าคณะดี ๆ เพราะไม่รู้เอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินดีหรือเลว )ได้มาก ๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ยังมีที่ไหนใช้แนวทางนี้อยู่หรือเปล่า ใครรู้ช่วยส่งนกพิราบมาบอกทีนะ
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง-18/49 ลูกแม่รำเพย ณ คลองผดุง
ที่เราชอบอยู่อย่างคือตึกเรียนเก่าสองชั้นสีออกส้ม ๆ ด้าน ๆ แบบพาสเทล ดูโบร่ำโบราณดี หน้าต่างของตึกนี้ทำด้วยไม้สักบานใหญ่ ช่วยเสริมความขลังให้กับตัวอาคารและบรรยากาศการเรียนได้ดีทีเดียว ตึกนี้ชื่อ " แม้นนฤมิตร" หรือโชฎึกราชเศรษฐี" ตามชื่อและสมญาของเศรษฐีที่บริจาคเงินสร้าง ตอนหลังเราย้ายไปเรียนที่ตึกอีกฟากหนึ่ง คั่นด้วยสนามฟุตบอลตรงกลางที่นาน ๆ จะมีสีเขียวของหญ้าให้มองเย็นตาซักที ส่วนใหญ่แล้วจะออกแนวทะเลทรายซาฮาร่าซะมากกว่า ตึกที่ว่านี้เป็นตึกใหม่ที่สร้างขึ้นทีหลัง มีชื่อว่า " เยาวมาลย์อุทิศ" ที่มาที่ไปเป็นยังไงก็จำบ่ได้แล้วเน้อ ที่หน้าตึกบริเวณทางเข้าจะมีรูปปั้นของล้นเกล้ารัชกาลที่แปดประดิษฐานอยู่ด้วย
จำได้ว่าเรากับเพื่อน ๆ ชอบไปเตะบอลกับพวกรุ่นพี่ในช่วงพักเที่ยง และเนื่องจากสนามใหญ่มาก แถมเป็นสนามเดียวที่มี เด็กนักเรียนที่ชอบชีวิตกลางแจ้งจึงมักจะมาเล่นกีฬานานาชนิดกันที่นี่ เรียกว่าลูกโน่นลูกนี่กลิ้งไปกลิ้งมา ข้ามหัวไปข้ามหัวมาแทบจะทุกทิศทุกทางทีเดียว ใครเรียนที่นี่ แล้วไม่เคยโดนลูกอะไรซักอย่างกระแทกเข้าที่หัวหรือตัว ถือว่ายังไม่นับเป็นศิษย์เก่าได้เต็มภาคภูมิ
เราเองโดนไม่ต่ำกว่าสามครั้งได้มั้ง ครั้งนึงโดนลูกบอลเตะอัดเข้าที่หัวจังเบอร์ ถึงกับจำเบอร์บ้านเลขที่ไม่ได้ไปชั่วขณะทีเดียวเชียว บางทีพวกเราก็ลงขันกันซื้อลูกบอลหนังอย่างดียี่ห้อ "มิกาซ่า" ของญี่ปุ่น สมัยสามสิบปีก่อนยังลูกละตั้งสามร้อยกว่าบาทเลยแหละ ครั้งนึง ซื้อมาเตะกันได้แค่สองสามวัน ใครก็ไม่รู้เกิดแม่นจัดขึ้นมาซัดเข้าไปเสียบกับเหล็กรั้วปลายแหลมแบบหัวธนู ชัวะเข้าไป นาทีนั้น เหมือนมันทิ่มเข้ามาที่หัวใจพวกเราพร้อมกันไปด้วยเลย เพราะไม่รู้เมื่อไหร่ ขันลงเงินถึงจะเต็มพอที่จะไปจัดหาลูกใหม่ดี ๆมาเล่นกันได้อีก บางทีลูกบอลก็จะตกลงไปบนถนนหน้าโรงเรียนให้รถได้เบรคได้หลบกันเอี๊ยดอ๊าดเล่นซะงั้น ที่จริงก็อันตรายเหมือนกันนะนั่น บางวันมันก็จะลอยละลิ่วลงไปในคลองผดุงกรุงเกษมที่เลียบผ่านหน้าโรงเรียน ซึ่งกว่าจะกู้ขึ้นมาได้ ก็เล่นเอาทั้งเหนื่อยทั้งเหม็นไปตาม ๆ กันนั่นเลย
ช่วงเรียนที่นี่ปีแรก เราติดปิงปองชนิดงอมแงมทีเดียว ทุกพักทุกว่างจะต้องแจ้นไปที่โต๊ะทันที แต่เพราะพื้นที่จำกัด จึงมีโต๊ะอยู่ราวห้าโต๊ะเห็นจะได้ ใครฝีเท้าไวกว่าก็มาจับจองได้ก่อน พวกมาทีหลังก็ต้องอาศัยท้าชิงโตีะเอา ถ้าฝ่ายท้าชนะก็ได้โต๊ะไป แต่ถ้าแพ้ นอกจากจะไม่ได้โต๊ะแล้วยังต้องเสียลูกปิงปองให้กับฝ่ายเจ้าโต๊ะอีกตะหาก แล้วแต่ละโต๊ะเนี่ยก็ใช่ว่าจะเล่นกันสองสามคนด้วยนะ ประเภทว่ายกกันมาครึ่งค่อนห้องนั่นแหละ ใครฝีมือดีก็ได้ตีไปเรื่อย ๆ พวกกลางดีกลางร้ายอย่างเรา ก็ได้ตีครั้งนึงมั่ง สองครั้งมั่งสามครั้งมั่ง แล้วแต่จังหวะจะพาไป พอพลาดทีนึงเนี่ย ต้องรอไปอีกหลายคิวเชียวแหละ ถึงจะวนกลับมาถึงเราอีกที
ทว่าทุกอย่างย่อมมีทางออกสิน่า และทางออกที่ว่านี้ก็คือ " ปิงปองภาคดึก" เพราะใช่ว่าทุกคนจะอยู่ดึกได้ซะเมื่อไหร่ ทีนี้พวกที่บ้านไม่ค่อยรักหรือไม่เป็นที่เรียกร้องหาอย่างเรากับเพื่อน ๆ บางคนก็เลยสุขเกษมเปรมปรีดาเริงอุราจับจองครองโต๊ะปิงปองกันแบบฟุ้งเฟ้อ ฟุ่มเฟือยเชียวแหละ เดี๋ยวตีโต๊ะนั้นย้ายไปตีโต๊ะนี้ ตีกันทีเป็นเกมยาว ๆ ยี่สิบเอ็ดลูกไปเลย 555 ไม่มีแล้ว ประเภทจับไม้ปุ๊บเจอลูกเหม็น ( ลูกหมุน ) ปั๊บ วางไม้ป้าด ออกไปนั่งรออีกสามสิบแป๊บ ชแว้บกลับมาจับไม้อีกที เอ้า มันเอาลูกเหม็นมาให้กันอีกแล้วววว เฮ้อ ตูละเบื่อจิน ๆ เล้ยยยย พับผ่าสิ เอ้า เรากับก๊วนเสรีชนคนไม่รักบ้านเลยชิล ๆอยู่ที่โต๊ะจนถึงทุ่มสองทุ่มแทบจะทุกวันเลยแหละ ตอนหลัง เลิกฮิตกันไปเองหรือเกิดรักบ้านขึ้นมาก็ไม่รู้ เลยซา ๆ ห่าง ๆ จากโต๊ะกันไปเองในที่สุด
พูดถึงคำว่า ตูละเบื่อเนี่ย ไม่รู้เหมือนกันว่าต้นสายมาจากไหน แต่เชื่อมั้ยว่า คำ ๆ นี้ ( ที่จริงเป็น กูล่ะเบื่อ ) จะดังก้องไปทั้งห้องเรียนของเราได้ในวันนึง และไม่ใช่นัดกันพูดสนุก ๆลอย ๆเท่านั้น แต่เป็นการเจาะจงพูดกับอาจารย์หญิงที่สอนคณิตศาสตร์คนนึง ที่ดันเตรียมตัวมาไม่พร้อมหรือมีทิฐิไม่เข้าท่านี่แหละ เข้ามาสอนไปสอนมา ดันสอนผิด แล้วเหล่านักเรียนห้องคิงอย่างพวกเรา มีหรือจะยอมเอ๋ออ๋อไปด้วย หลายคนจึงลุกขึ้นแย้งและออกไปเขียนร่ายสมการที่มาที่ไปของตัวเลขบนกระดานให้ เห็นว่า อาจารย์ผิดพลาดตรงไหน แทนที่จะถ่อมตัวค่อย ๆ ฟังและยอมรับความผิดพลาดโดยดุษณี เธอกลับเลือกข้างหนทางเสื่อม คือตะแบงโมเมไปเรื่อย ๆ งานนี้เลยมีเสียวแน่ ๆ จึงเกิดการส่งสารกันไปทั่วห้องแบบเงียบ ๆ สุดท้ายตอนเลิกชั้น หัวหน้าห้องก็ตะโกนขึ้นตามปกติว่า " นักเรียนเคารพ" พรึ่บ แล้วทุกคนก็ตะโกนอย่างพร้อมเพรียงกันลั่นสนั่นตึกว่า " กูล่ะเบื่อ" เล่นเอาอาจารย์ไปไม่ถูก หน้าแดงกร่ำ รีบสาวเท้าออกจากห้องไปทันที ตามหลังด้วยเสียงหัวเราะสะเทือนเลือนลั่นของพวกเรา ร้อนถึงผู้อำนวยการต้องลงมาเคลียร์ในตอนหลัง สุดท้ายจบยังไง อาจารย์ท่านนั้นจะกล้ากลับมาสอนอีกมั้ย จะยอมรับข้อผิดพลาดหรือไม่ พวกเราจะขอขมาอาจารย์รึเปล่า หรือจะลุกขึ้นมาเผาโรงเรียนประท้วง ( ไม่มีอันนี้แน่ ๆ ) บอกตรง ๆ ว่า เราจำไม่ได้จริง ๆ อะ แค่ราง ๆ ว่าเค้าก็ยังมาสอนพวกเราเหมือนเดิมนั่นแหละ แต่คงจะไม่กล้าตะแบงเหมือนเดิมแหงม ๆ
ปีที่เราขึ้นชั้น ม.ศ.2 เป็นปีแรกที่เทพศิรินทร์ทดลองเอาระบบคัดเด็กเรียนดีมาใช้ คือคัดคนที่สอบได้ที่หนึ่งถึงห้าของทั้งสิบห้องมารวมอยู่ในห้องเดียวกัน แล้วติดสลากว่า " ห้องคิง" ( ไม่เกี่ยวอะไรกับเพศที่สามนะเออ ) เราเองก็เป็นหนึ่งในห้องหนูทดลองกิตติมศักดิ์นี้ด้วย ตอนไปดูปิดประกาศว่าใครจะได้เรียนห้องไหน เพื่อนร่วมห้องสมัย ม.ศ. 1 คนนึงที่ชื่อสามารถ ( ที่เราไม่ชอบมันเลย ) มันก็มาเยาะเย้ยตามสไตล์กวนชวนตื้บของมันว่า " ฮ้าฮ้า นาย ( ) ได้อยู่ห้อง 10 เหรอ ตรู ( กู ) ได้อยู่ห้อง 3 โว่ย " ทว่าพอตอนหลังมันรู้ว่าห้อง 10 คือห้องคิง มันก็คอยหลบหน้าหลบตาเราตลอดเชียว คำว่า หัวเราะทีหลังดังกว่ายังใช้ได้เสมอจริง ๆ ซะด้วยสิ 555
การเรียนห้องคิงก็เหมือนอย่างอื่นทั้งหมดนั่นแหละ คือมีดีมีเสีย ข้อดีคือ บรรยากาศในห้องชวนเรียนเป็นที่สุด เพราะมีแต่คนกระตือรือร้นที่จะเรียนรู้ เรียกว่ายกมือถามตอบกันพรึ่บ ๆ พรั่บ ๆ ทีเดียวเชียว นั่นก็ช่วยกระตุ้นให้เราอยู่เฉยไม่ได้เหมือนกัน ครูอาจารย์ทุกคนก็ดูจะมีพลังเหลือล้นในการถ่ายทอดความรู้ด้วย เหมือนกับเจอคู่รับคู่ส่งที่พอฟัดพอเหวี่ยงกันนั่นเลย ส่วนข้อเสียคือ บางทีมันก็มีเกร็ง ๆเครียด ๆ อยู่บ้าง เพราะว่ามองไปทางไหนก็เจอแต่คนเก่ง ๆ แล้วก็นึกในใจว่า แล้วตรูจะยืนอยู่ตรงไหนในท่ามกลางพวกมันหว่า แต่พูดโดยรวม ๆ แล้ว เราว่าระบบนี้มันดีก็เฉพาะกับเด็กในห้องคิงเองนั่นล่ะมั้ง แล้วก็อาจจะดีต่อชื่อเสียงของโรงเรียนในแง่ที่สามารถปั้นเด็กเข้าคณะยอดนิยม ( ที่มีคะแนนสูง ๆ ไม่อยากใช้คำว่าคณะดี ๆ เพราะไม่รู้เอาเกณฑ์อะไรมาตัดสินดีหรือเลว )ได้มาก ๆ เท่านั้นเอง ไม่รู้ว่า เดี๋ยวนี้ยังมีที่ไหนใช้แนวทางนี้อยู่หรือเปล่า ใครรู้ช่วยส่งนกพิราบมาบอกทีนะ