เคยแอบรักเพื่อนตอน ม.ปลายค่ะ เคยคิดว่าตัดใจได้แล้ว แต่...

กระทู้สนทนา
เราเป็นเด็กผู้หญิงธรรมดาๆคนนึงที่ไม่ได้มีอะไรพิเศษเลย แถมหน้าตาก็งั้นๆ ทั้งอ้วน ทั้งเตี้ย(ตอนนั้นหนัก 70กว่าๆ สูงแค่158 ซม.เอง) ผิวก็ไม่ได้ขาวมีออร่าวิ้งๆออกจะคล้ำนิดๆด้วย ฟันก็เหยิน สรุปว่าไม่มีอะไรดีเลย ก็เลยคิดว่าตัวเองนี่คงจะไม่มีมนุษย์ผู้ชายคนไหนหลงมาชอบตัวเองได้แน่ๆ และด้วยความที่เราเรียนที่โรงเรียนขนายโอกาส ดังนั้นตั้งแต่อนุบาลจนกระทั่ง ม.3 ก็สิงสถิตอยู่แต่ที่เดิมๆ พบเจอแต่เพื่อนๆพี่ๆน้องๆ คนเดิมๆ หรืออาจจะเข้ามาใหม่บ้างประปราย แต่บอกเลยว่าตอนเด็กๆเป็นคนไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบข้าง ไอ้ประเภทที่ว่าจะวิ่งไปมุงดูว่าใครมีเรื่องทะเลาะกับใคร หรือใครมีข่าวกุ๊กกิ๊กกับใครนี่ ส ไม่รู้เรื่องเลยนะคะ(ขอแทนตัวเองว่า ส นะ เพราะเป็นชื่อที่เพื่อนๆเรียกกัน)และเมื่อถึงวันที่จะต้องลาจากโรงเรียนอันเป็นที่รักที่ผูกพันกันมาเป็นสิบๆปี ก็เป็นเหมือนกับการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่หลวงของชีวิตเด็กสาวตัวอ้วนๆกลมๆคนนี้ โชคดีที่มีเพื่อนสนิทไปกับเราด้วยหนึ่งคน ชื่อ ล เป็นสาวร่างเล็กน่ารัก ผิวสีน้ำผึ้ง คิ้วดก นี่ถ้าเป็นผู้ชายคงจะหล่อน่าดู (แต่เป็นผู้หญิงที่คมเข้มมากๆ)
พอสอบเข้าเรียนที่โรงเรียนมัธยมประจำอำเภอใกล้ๆบ้านแล้ว เราก็ได้อยู่ห้อง1 ซึ่งตอนแรกไม่ได้อยู่หรอก แต่พอยื่นเกรดจากโรงเรียนเก่าให้ดู ก็เลยได้กระโดดจากห้องสุดท้ายขึ้นมาอยู่ห้อง1 (จะเรียกเด็กเส้นก็คงไม่ผิดนัก)ก็คงเป็นธรรมดาที่จะต้องมีคนกล่าวถึง แต่ตอนนั้นบอกตามตรงด้วยความสัตย์จริงว่าเราไม่เคยรู้เลย ว่ามีคนนินทาหรือพูดจาถึงเราว่าอะไรบ้าง (ก็บอกแล้วว่าไม่สนใจสิ่งแวดล้อมรอบๆตัวค่ะคร่อกฟี้) พอเริ่มปรับตัวเข้ากับเพื่อนใหม่ได้(ซึ่งความจริงแล้วมีแค่เรากับเพื่อนสนิทและเพื่อนจากต่างโรงเรียนอีกไม่กี่คนที่เข้าไปเป็นเพื่อนใหม่กับเด็กเก่าที่มีความสนิทสนมกันมาหลายปี)ก็เริ่มมีเพื่อนๆอยู่กันเป็นกลุ่มประมาณสี่ห้าคน แก๊งสาวล้วนอีกตามเคยค่ะ เพราะเมื่อสมัยยังเด็กจะมีความคิดว่าเรากับเพศตรงข้ามไม่ใช่พันธมิตรกัน จะไม่ค่อยสุงสิงกับเพื่อนผู้ชายเท่าไหร่ แค่พูดเรื่องที่เป็นธุระหรือเรื่องงานกันเท่านั้น แต่พอขึ้นมาเรียน ม.ปลายแล้ว ได้เห็นสังคมที่แตกต่างกันกับสังคมเด็กน้อยที่เราได้คลุกคลีมามันก็ทำให้เรารู้สึกสนุกที่เห็นเพื่อนผู้ชายกับเพื่อนผู้หญิงนั่งโต๊ะเดียวกัน และเริ่มที่จะผ่อนคลายที่จะคุยเล่นกับเพื่อผู้ชายมากขึ้น...
และเรื่องราวทั้งหมดมันก็เริ่มขึ้นในบ่ายวันหนึ่ง คาบเรียนวิชาฟิสิกส์ อาจารย์ให้ทำการบ้านอยู่ในห้องเรียนซึ่งจะต้องนั่งเรียนกันเป็นกลุ่มๆ ซึ่งกลุ่มที่เรานั่งจะติดกับกลุ่มเพื่อนผู้ชายอีกกลุ่มหนึ่งพอดี เรากำลังนั่งเล่นเพลินๆ ตามประสาของคนที่ทำการบ้านเสร็จแล้ว ก็ด้วยบังเอิญหันไปเห็นเพื่อนผู้ชายคนหนึ่ง ชื่อ บ บ่นว่าปวดหัว แล้วก็ฟุบลงไปกับโต๊ะ ไอ้เราด้วยความหวังดีอยากให้เพื่อนหายจากความทรมาน ก็เลยหลับตาลงตั้งจิตอธิษฐานขอให้เค้าหายปวดหัว พอเราลืมตาขึ้นก็เป็นจังหวะพอดีกับที่ บ เงยหน้าขึ้นมา เราเองถึงกับตกใจ แต่ก็คิดว่าอาจจะเป็นเรื่องบังเอิญ(อันนี้เป็นความเชื่อส่วนบุคคลนะคะ โปรดใช้วิจารณญาณในการอ่าน)หลังจากนั้นเราก็ไม่ได้อะไรอีก ความรู้สึกตอนนั้นคือเห็นว่า บ เป็นเพื่อนร่วมห้องคนหนึ่ง ไม่ได้มีจิตพิศวาสอะไรเลย แต่มันก็มีเหตุการณ์หนึ่งที่ทำให้เราเริ่มหวั่นไหวกับผู้ชายคนนี้ (ขอบอกก่อนว่าเราเป็นผู้หญิงที่ sensitive กับเรื่องความรักมากๆ)นั่นคือบ่ายวันหนึ่ง ขณะเรียนคาบวิชาในตอนบ่ายซึ่งวันนั้นอาจารย์ประจำวิชาไม่อยู่ ให้ทำงานกันไป เราก็นั่งทำการบ้านกับเพื่อนๆไป เรานั่งอยู่ตรงแถวติดริมประตู ส่วนกลางห้องก็จะมีกลุ่มเพื่อนผู้ชายนั่งคุยกันอยู่ หนึ่งในนั้นก็มี บ อยู่ด้วย ซึ่งเราก็ไม่ได้สนใจอะไร ทำการบ้านของเราต่อไปเรื่อยๆ อยู่ๆเพื่อนผู้หญิงคนนึง ชื่อ จ ก็เดินเข้ามาหาเราแล้วก็บอกกับเราว่า ขอเบอร์หน่อยสิ บ เค้าให้มาขอ ตอนนั้นเราทั้งอึ้งทั้งตกใจ งงว่าจะมาขอเบอร์เราทำไม เราก็เลยตะโกนเรียกชื่อเค้า แล้วก็ถามเค้าไปว่าขอเบอร์เราหรอ  บ ก็บอกว่าใช่ ขอไปเผื่อจะโทรไปถามการบ้าน เราก็อ๋อ เข้าใจ แล้วก็ให้เบอร์ไป ตอนนั้นไม่ได้คิดอะไรจริงๆที่ให้ไป ก็คิดว่าจะโทรมาถามเรื่องการบ้านจริงๆอย่างที่เค้าบอกพอให้เสร็จเราก็นั่งทำงานของเราต่อไป พอผ่านไปได้ซักพัก จ คนเดิมก็เดินเข้ามานั่งคุยกับเรา พร้อมกับบอกเราว่าเมื่อกี้แอบได้ยิน บ คุยกับพวกเพื่อนๆเค้า เหมือนประมาณว่าเพื่อนถาม บ ว่าขอเบอร์เราทำไม คิดจะจีบเราหรอ บ ก็พูดประมารว่า ทำไมอ่ะ ส ออกจะน่ารัก คนเนี้ยกูจอง อะไรประมาณเนี้ย พอเราได้ยินก็เริ่มหวั่นไหวสิคะ ก็คนไม่เคยมีโมเม้นต์แบบว่ามีคนมาพูดจาทำนองนี้ให้มาก่อนนี่นาแต่พอเริ่มจะชอบเข้าหน่อย เพื่อนในกลุ่มเราก็มาบอกว่าอย่าไปคิดมาก  บ น่ะมันมีคนที่มันชอบแล้ว เค้าเป็นเพื่อนเก่าสมัย ม.ต้น  เคยแอบชอบมันเหมือนกัน แต่มันไม่เล่นด้วย เพราะตอนนั้นมันคิดว่าเค้าเป็นทอม พอตอนที่จนจะชอบ ผู้หญิงเค้าก็ตกลงไปเป็นแฟนกับเพื่อนสนิทมันไปแล้ว พอเราได้ฟังอย่างนี้ก็รู้สึกเจ็บ ไม่ได้เจ็บที่เค้ามาแกล้งให้เราชอบเค้าหรอกนะ แต่รู้สึกเจ็บแทนเค้าที่ต้องเจออะไรแบบนี้ อย่างว่าแหละเรื่องของความรักมันไม่มีใครถูกที่สุดหรือผิดที่สุดหรอก หลังจากนั้นเราก็พยายามจะไม่เก็บเอาเรื่องของ บ มาใส่ใจอีก แต่มันก็ทำได้ยากเหลือเกิน เพราะทุกทีก็จะคอยมองหาว่าเค้าจะนั่งอยู่ตรงไหน เป็นยังไงบ้าง อยู่เรื่อยๆเลย และด้วยความบังเอิญที่เรากับ บ เป็ฯเวนทำความสะอาดห้องเรียนวันเดียวกัน คือวันพฤหัส ทุกวันพฤหัสเราและเพื่อนๆก็จะต้องมากวาดห้อง ลบกระดาน ปิดหน้าต่าง จัดโต๊ะเก้าอี้ให้เรียบร้อยหลังเลิกเรียน มีอยู่ครั้งหนึ่งที่ บ เอากีตาร์มาโรงเรียน(ไม่อยากจะบอกว่า บ เป็นผู้ชายที่เล่นกีตาร์ได้เทพมากในความคิดเรานะ หรือจะเป็นเพราะว่าเราเล่นดนตรีอะไรไม่เป็นซักอย่างก็ไม่รู้ร้องไห้) พอถึงเวลาทำเสร เรากับเพื่อนก็ทำกันไป เรายืนกวาดพื้นหันหลังให้เค้าอยู่ ส่วนเค้าก็เล่นเพลงงมงานของพี่ตูน บอดีแสลมออกมา ตอนนั้นที่เราได้ฟังแล้วรู้สึกเจ็บจี๊ด คิดว่าจะร้องทำไม รู้แล้วว่าคิดถึงคนนั้นที่เค้ารัก เราก็ได้แต่กวาดพื้นอย่างหงอยๆต่อไป ฟังเสียงกีตาร์กับเสียงร้องเพลงของเขาไป จนเพื่อนอีกคนที่เป็นเวรด้วยกันบอกให้เลิกเล่นแล้วมาช่วยกันทำเวร จะได้รีบกลับ บ ก็เลยวางกีตาร์ลงแล้วเดินไปช่วยปิดหน้าต่างให้ ซึ่งตอนนั้นเพื่อนที่มาจากโรงเรียนเก่าด้วยกันแต่อยู่คนละห้องก็แวะมาหาเรา รอกลับบ้านพร้อมกัน เพราะไปทางเดียวกัน ชื่อ ก ก็มานั่งรออยู่กับเพื่อนในกลุ่มเราที่บางคนก็เป็นเวรเหมือนกัน ก็นั่งคุยนั่งเล่นกันไป จนทำเวรกันเสร็จ ต่างคนก็ต่างแยกย้ายกันกลับบ้านทางกลับบ้านของเราสองคนเป็นคนละทางกัน ดังนั้นจึงไม่มีอารมณ์แบบว่ากลับรถเมล์คันเดียวกันเพราะทางเดียวกันอย่างแน่นอน

และเหตุการณ์ที่ทำให้ความสัมพันธ์ของเราต้องหยุดชะงักลง(เราไปเริ่มต้นตั้งแต่เมื่อไหร่?)ก็เกิดขึ้นในวันรุ่งขึ้น ในคาบวิชาเคมี ซึ่งจะจัดโต๊ะเรียนเป็นกลุ่มๆ ซึ่งจะต้องผลัดกันให้แต่ละกลุ่มมานั่งข้างหน้าโดยไม่ซ้ำที่เดิมภายในแถว และวันนี้เป็นคิวของกลุ่มเราที่จะได้นั่งข้างหน้า แต่พอเข้ามาในห้งก็เห็น บ นั่งอยู่โต๊ะตัวที่เป็นของกลุ่มเรา ตอนแรกเราก็ไม่ได้ว่าอะไร เพราะมันยังไม่ถึงเวลาเรียน จนใกล้เวลาเข้าเรียนแล้ว เราก็เลยถาม บ ไปว่าเฮ้ย วันนี้คิวเราที่ต้องนั่งโต๊ะหน้านะ แต่คำตอบที่ได้กลับมาจาก บ ก็คือ ไหนล่ะหลักฐาน ซึ่งพอเราได้ยินคำนี้แล้วเรารู้สึกปื๊ดเลย ถ้าจะนั่งโต๊ะหน้าก็ขอกันดีๆก็ได้ ทำไมต้องกสนประสาทกันด้วย เราไม่ชอบอย่างแรง ก็เลยตอกกลับโดยการหันไปพูดกับเพื่อนเราที่นั่งอยู่ข้างๆว่า ไม่เป็นไร เรานั่งโต๊ะนี้ก็ได้ จะได้รู้ไว้ว่าสันดานผู้ชายเป็นแบบนี้ หลังจากที่เราพูดออกไปแล้วก็เกิดความเงียบขึ้นมา เราไม่รู้หรอกว่าสีหนาทุกคนตอนนั้นเป็นยังไง เพราะเราก้มหน้าอยู่ แต่พอตั้งสติได้เพื่อนก็บอกว่าเราไม่น่าไปพูดอย่างนั้นเลย บ มันหน้าหงอยเลย เราก็รู้สึกผิดเหมือนกันนะที่พูดแบบนั้นออกไป แต่ด้วยความหยิ่งและทิฐิของเราเองเราก็เลยเฉยๆ ไม่ได้พูดคำว่าขอโทษออกไป พอกลับไปบ้าน เปิดเฟสดู ก็เห็นสเตตัสของ บ ขึ้นมาประมาณว่าคงเป็นได้แค่เพื่อนน่ะดีที่สุดแล้ว อะไรประมาณเนี้ย(ซึ่งอันนี้เราก็คิดเองเออเองว่ามันหมายถึงเรา) พอได้เห็นแบบนั้นแล้วเราก็รู้สึกเลยว่า มันจบแล้วล่ะ ความสัมพันธ์ของเราดับเค้า มันไม่มีทางที่จะพัฒนาไปต่อได้อีก เราก็เริ่มทำใจอีกครั้งหนึ่ง แล้วยิ่งตอนเย็นวันอาทิตย์ที่ ก เพื่อนต่างห้องที่มาจากโรงเรียนเก่าด้วยกันโทรมาคุยด้วยแล้วเล่าให้เราฟังว่าวันนั้นที่เราทำเวรอยู่ แล้ว บ ร้องเพลงงมงายน่ะ บ หันมามองที่เราอยู่บ่ยอๆด้วยแหละ พอได้ฟังแบบนั้นแล้วรู้สึกว่า โอ้แม่เจ้า นี่ฉันทำอะไรลงไปเนี่ย มันเหมือนกับว่าเราเป็ฯคนเหยียบย่ำต้นรักที่กำลังจะเติบโตขึ้นมาจากดินให้มันมุดหนีลงดินไปลึกยิ่งกว่าเดิมอีก ความรู้สึกแบบ มันจบแล้ว มันจบแล้ล่ะความรักของฉัน รู้สึกเสียใจนะที่ทำอะไรแบบนั้นลงไป ไปด่าเค้าแบบนั้น เค้าคงถอดใจไปแล้วล่ะ เราก็คงได้แต่พยายามทำใจให้เลิกชอบเค้าซักทีเหมือนกัน ไม่รู้ว่าความพยายามของเรามันเป้ฯครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่ก็ไม่ค่อยจะได้ผลซักที
หลังจากนั้นเราก็ทำตัวนิ่งเฉย ห่างเหิน ไม่ค่อยเข้าไปพูดคุยด้วยเหมือนเมื่อก่อน ทั้งๆที่เวลาเห็นเพื่อนเราไปพูดคุยกับเค้าแล้วเราก็อยากจะทำอย่างนั้นบ้าง แต่มันก็ไม่กล้า มันยังคงรู้สึกผิดต่อเค้าอยู่ และคิดว่าการอยู่ห่างๆจากเค้าคงจะทำให้เราตัดใจจากเค้าได้เร็วขึ้น แต่เปล่าเลย มันยิ่งมีเหตุการณ์ที่ทำให้เราเก็บมาคิดมาก เพ้อเจ้อไปเองว่าเค้ายังสนใจเราอยู่(ซึ่งก็ไม่รู้ว่าตั้งแต่แรกนี่เค้าสนใจจริงๆหรือเปล่า หรือแค่คำพูดเล่นๆขำๆแต่ทำให้เราคิดจริง)
แต่ละเหตุการณ์มันก็ทำให้เรายิ่งคิดมาก ไม่ว่าจะเป็น ในวิชาการงาน อาจารย์ให้ประดิษฐ์ผลงานของตัวเองมา1ชิ้น โดยห้ใช้งบแค่ไม่เกิน 50บาท ซึ่งเราทำผ้าพันคอแบบง่ายๆ เพื่อนคนอื่นๆก็ออกมานำเสนอผลงานของตัวเองไปว่าทำอะไรยังไงบ้าง พอถึงคิวของ บ เค้าก็ออกมาพร้อมกับเทียนหอมใส่แก้วเล็กๆมา มันดูไม่พิเศษอะไรมาก แต่เทียนในแก้วมันแกะสลักเป็นตัวอักษรภาษาจีน ซึ่งเราจะไม่อะไรเลยถ้าความหมายของตัวอักษรนั้นมันไม่ได้มีความหมายใกล้เคียงกับความหมายของชื่อเราและอีกเหตุการณหนึ่งคือ วันหนึ่งในคาบเรียนวิชาภาษาอังกฤษ อาจารย์เห็นว่าเพื่อนๆเอากีตาร์มาโรงเรียนกันเยอะ เลยให้ตัวแทนออกไปเล่นกีตาร์ให้เพื่อนๆฟังเพลงหนึ่ง ซึ่ง บ ก็ได้รับเลือกให้เป็นตัวแทนออกไปเล่น เค้าก็เล่นเพลง คนไม่สำคัญ ของพลพล แล้วเพื่อนทุกคนก็หันมามองเราที่นั่งอยู่หลังสุดกันเป็นตาเดียว ซึ่งตอนนั้นเราได้แต่บอกกับเพื่อนว่า เฮ้ย มามองเราทำไม เค้าไม่ได้ร้องให้เรา เค้าร้องให้คนนั้นของเค้าต่างหาก ซึ่งไม่รู้ว่าที่พูดออกไปนั้นเป็นการบอกตัวเราองด้วยรึเปล่า
และแล้วมันก็มีเหตุการณ์ที่ทำให้เราต้องเสียน้ำตาเพราะผู้ชายคนนี้จนได้ มันอาจจะฟังดูเป็นเรื่องไร้สาระ แต่ที่เราจะเล่าให้ฟังก็คือ เหตุการณ์มันมีอยู่ว่า เราซื้อหนังสือ let’s love มาอ่านซึ่งมันมีหลายเล่มมาก ก็ซื้อมาอ่านตอนเวลาว่างๆ เอามาโรงเรียนก็แบ่งให้เพื่อนๆในห้องอ่านกันด้วย เราไม่ได้เป็นคนหวงหนังสือขนาดที่ว่าคนอื่นห้ามแตะ เราขอแค่อย่าหายเป็นพอยิ้ม เพื่อนเรา ชื่อ พ อยู่ๆก็เดินไปถาม บ ว่าไม่ลองเอาไปอ่านดูบ้างหรอ เราซึ่งเดินตามหลังสองคนนั่นไปก็ได้ยินคำตอบของ บ ว่า ไม่อ่ะ เอาเวลาไปทำอย่างอื่นที่มีประโยชน์ดีกว่า เป็นคำตอบที่ทำให้เราถึงกับจุกเลยทีเดียว มันเหมือนกับเราโดนแก้แค้นที่เคยไปว่าเค้าไว้ยังไงก็ไม่รู้ แต่คำพูดของเค้าประโยคนั้นถึงกับทำให้เราเก็บไปร้องไห้ที่บ้าน ถึงกับโทรไประบายให้กับพี่ที่รู้จักฟัง พี่เค้าก็ให้ข้อคิดว่า ความชอบของคนเรามันไม่เหมือนกันหรอก เราอาจจะชอบอย่างหนึ่ง ส่วนเค้าอาจจะชอบอีกอย่างหนึ่ง  ขอแค่อย่ามองเห็นความชอบของคนอื่นเป็นเรื่องไร้สาระก็พอเราเลยตั้งใจแน่วแน่กับตัวเองว่าเราจะต้องเลิกรักเค้าให้ได้ จนขึ้น ม.5 เรากำลังอยู่ในช่วงตัดใจใกล้จะสำเร็จอยู่แล้วเชียว เค้าก็กลับเข้ามาอยู่ในความคิดของเราอีกจนได้ เชื่อมั้ยว่าตั้งแต่ที่รักผู้ชายคนนั้นมา เราฝันถึงเค้าบ่อยมาก เกือบทุกวันเลยด้วยซ้ำ ฝันจนตัวเองรำคาญว่าจะฝันอะไรนักหนาจนขึ้น ม.5 เรากำลังจะตัดใจได้อยู่แล้วเชียว แต่...
แสดงความคิดเห็น
อ่านกระทู้อื่นที่พูดคุยเกี่ยวกับ  ความรักวัยรุ่น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่