สวัสดีครับ เพื่อนๆ
ผมมีปัญหา เกี่ยวกับการดำเนินงาน คืออยากจะรู้ว่า มันผิดมากไหม จากการที่ทำงานประจำ มาเปิดธุระกิจเป็นของตัวเอง
ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ว่าทำไมผมถึงถามว่าผิดมากไหม เพราะผมแค่อยากมีอะไรทิ้งไว้ให้ลูกๆ ผมในอนาคต(ตอนนี้ยังไม่มีลูกแต่คิดเผื่อไว้) เลี้ยงครอบครัวตัวเองได้ แค่นั้น ไม่ต้องรวยล้นฟ้า อะไร แต่ขอแค่มีกินมีใช้ เรื่องมันเริ่มจากผมทำงานแบบลูกจ้างมาตั้งแต่อายุ 16ปี (เนื่องจากครอบครัวมีปัญหาอะเนอะไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเบื่อ) และการเติบโตอยู่กับลูกจ้างด้วยกัน ทำให้ผมมองเจ้าของกิจการและคนรวยๆว่าเค้าทำไมไม่จนแบบผม เค้ามีอะไรที่ผมไม่มี และการบังคับตัวเองมาหาเงินที่จะต้องทำงานเช้าถึงค่ำ แค่แลกกับเงิน ไม่กี่ร้อยบาทต่อวัน ไม่ถึง1หมื่นบาทต่อเดือน ผมคงไม่มีวันรวยแบบเค้าแน่ๆ แต่ทำไมคนเหล่านี้ถึงรวย
ผมมี 3 ครอบครัว คือ ครอบครัวย่า ครอบครัวแม่ และครอบครัวผม และผมในวัยเด็กครอบครัวไม่อบอุ่นเท่าไหร่ ซึ่งถูกเลี้ยงมาโดย
"ครอบครัวย่า"
ย่าเป็นคนที่รักผมมาก แต่มีปัญหาคือ พ่อของผมเป็นลูกบุญธรรม และผมเองจึงเป็นหลานบุญทำของท่าน พ่อ-แม่ แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ส่วนพ่อก็น้อยใจในชีวิตว่า พ่อ-แม่ของพ่อทิ้งไป จนทำให้แกเป็นคนมีปัญหามาตลอด ส่วนผมก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเพราะย่าเลี้ยงดีให้ความอบอุ่นดี จนรู้เรื่องราวต่างๆ และทำความเข้าใจกับมัน ไม่คิดน้อยใจอะไรในชีวิต และไม่อยากทำตัวแบบพ่อ ไม่เคยโทษพ่อเลยสักครั้ง ที่ไม่ได้เลี้ยงผม เพราะอย่างว่าผมไม่คิดอะไรอยู่แล้ว ก็อยู่กับย่ามาเรียนจบ ม.ต้นและทำงานเลี้ยงตัวเองไป แต่ติดตรงที่แกเป็นคนสมัยเก่า ชอบคิดว่า การทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนนั้นมั่นคง มีรายรับตลอด และผมก็ทำงานประเภทลูกจ้างมาหลายงาน ซึ่งผมเบื่อมากแต่ไม่อยากขัดใจย่า จึงแอบไปปรึกษาแม่เรื่องการทำธุระกิจส่วนตัว เพราะเมื่อโตขึ้นก็เริ่มมีความรัก มีแฟน มีคนที่เข้าใจ อาจจะเจอหลายๆคน หน่อย แต่วันนึงคุณๆ คงเข้าใจนะถ้าเจอคนที่ใช่หรือคู่ชีวิตแล้วทำยังไง ก็อยากจะอยู่ด้วยกันทุกวัน(อิอิ นอกเรื่องไปหน่อย)....ต่อนะ ผมจึงมาปรึกษาแม่
"ครอบครัวแม่"
ก็อย่างที่ว่านะครับ พ่อ-แม่ผมเลิกกันตั้งแต่เด็กๆก็จริง และท่านก็มีครอบครัวใหม่ มีพ่อเลี้ยง(ที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่) มีลูกใหม่ 2 คน แต่ก็มักมาหาผมอยู่บ้าง สัก ปี - 2ปี แม่ผมทำธุระกิจเกี่ยวกับร้าน แว่นตาครับ เป็นร้านเล็กๆ ในจังหวัดอุดรฯ สืบเนื่องจากท่านเป็น ลูกจ้างแว่นท็อปมา 20ปี จนเลื่อนไปหลายตำแหน่ง พออายุมากขึ้น เขาก็จ้างออก (แม่เล่า-ความจริงงานๆหลายก็คงมีแบบนี้) จนแกได้ไปเรียนต่อเกี่ยวกับการเป็น optician และกลับมาเปิดร้านแว่นตาเป็นของตัวเอง ชื่อร้าน TOP EYE OPTIC ทำมาตอนนี้ก็ได้ราวๆ อีก 25 ปี แล้ว ระหว่างวันแรกที่แกตั้งร้านจนถึงปีที่ 25 ของแม่ ท่านเจออุปสรรคมากมาย แต่ก็ฟันฝ่ามาได้ จนมีลูกค้าประจำ จึงทำให้ผมมั่นใจว่าแม่เรานี่แหละ มีประสบการณ์ จึงตัดสินใจพูดกันจริงๆจังๆ ว่า เนี่ยจะมาทำธุระกิจของตัวเองนะ เป็นคนชอบการขายอยู่แล้ว (ทำงานด้านการขายบ่อย) แม่พอจะช่วยได้ไหม ถ้าอยากจะเปิดร้านแว่นตาแบบแม่ แรกๆ แม่ก็ไม่โอเคกับผมเท่าไหร่ เพราะ งานที่แม่ทำต้องใช้เวลานานกว่าจะมีลูกค้าประจำแบบที่แม่มีและท่านมองว่ายังเด็กไป(เกลียดมากเหมือนโดนจากที่หลายๆคนดูถูกว่าเด็กจะทำอะไรได้) ด้วยความที่ผมอยากจะทำจริงๆจัง ตื้อท่านบ่อยๆ จนกระทั่ง ท่านใจอ่อน อิอิ (ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก) ท่านจึงส่งไปเรียนที่เดียวกับท่าน เรียนอยู่ 6 เดือน ก็จบมีใบประกอบวิชาชีพมา ทำธุระกิจ แว่นตาของตัวเอง....
เอาล่ะที่นี้มีวิชาแล้ว จะได้สบายสักที
แต่มันไม่ใช่ มันจะเริ่มความลำบากถึงลำบากมาก....โคตะระลำบากเลยครับ เพราะต้องใช้เงินเก็บตัวเอง(ที่ทำงานมาอะนะ) ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ซ้ำยังไม่พอด้วยต้องขอยืมแม่บ้าง เข้าไปทำที่ร้านแม่บ้าง แถมยังไม่มีร้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่มีเงินทุนขนาดนั้น จึงต้องอาศัยลูกดวง ลูกสู้กันไป การทำงานของผมก็คือออกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาลูกค้า แต่ละวันบอกเลยดวงล้วนๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จะมีลูกค้าหรือไม่...ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ก็ถูๆไถๆไปเรื่อย จนเมื่อวาน ถูกดูถูกมา(จากครอบครัวย่า) ว่า "งานแบบนี้ ทำให้ตายก็ไม่มีทางรวย มีแต่เสียอนาคต บอกแล้ว พูดแล้วก็ไม่เชื่อฟัง แล้วก็ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ" อีกเยอะ จนผมท้อ น้อยใจมากกก เบื่อเหมือนกัน
และอยากจะถามคำถามข้างต้น ว่า ผมผิดมากไหม กับการทำธุระกิจ แบบที่ผมหาเจอแล้วว่าผมรักมัน ถึงแม้วันนี้อาจจะยังไม่สำเร็จ อาจจะต้องเจอปัญหาอีกนับไม่ถ้วน แต่ผมผิดหรอ?? ที่อยากจะทำเพื่อ ครอบครัวผม ลูกผมในอนาคต ทำไมต้องคิดว่างานประจำ ดีที่สุดทั้งๆ ที่มันไม่จริง ทำไมคนที่ผมรักที่สุด ที่เลี้ยงดูผมมา กลับมาพูดดูถูกงานที่ผมทำ......
แต่แล้ว....จากการที่ผมทน ต่อคำดูถูกจากทั้งคนในครอบครัวเอย ดูถูกจากลูกค้า คนที่ว่าผมว่าเด็กเกินไปไม่มีทางทำอะไรได้ วันนี้ ผมสู้ให้เขาคนเห็นว่า ผมยังทำได้ และจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะตราบใดที่ ยังมีคนที่มีปัญหาสายตา ผมเองก็ไม่มีวันตกงาน อ่ออีกเรื่องคือ มีคนบอกผมว่า ไม่ต้องมาหลอกเขาเรื่องแว่นตา เพราะของพวกนี้ เขาซื้อเอาตามตลาดนัดที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องมาซื้อของที่มันแพงกว่าด้วย ....
ผมก็ได้แต่คิดว่าจะมีปัญญาไปหลอกลวงใครได้ ผมเก่งขนาดนั้นเลยหรอ? แล้วการที่เลือกประกอบอาชีพแบบนี้ มันเป็นการหลอกลวงตรงไหน งั้นหมอเอย นักวิชาการเอย จบ ป.โท ป.เอก ที่เค้าใส่แว่นนี่เค้าไม่ฉลาดงั้นหรอ? แสดงว่าเค้าก็โดนหลอกงั้นหรอ? บ่นๆๆๆ กับปัญหานี้เฉยๆนะครับ ไม่สนใจหรอก
ผมไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฏหมายนี่นา หากินแบบสุจริต ถ้าเจอคนประเภทนี้ ก็คิดแค่ว่าเค้าคงไม่รู้ จริง แค่นั้นเอง...
สุดท้ายอยากจะฝากถึงคุณๆที่กำลัง ทำธุระกิจของตัวเองนะครับ แม้ว่าคุณจะล้ม โดนเหยียบซ้ำ หรือเจออุปสรรคมากแค่ไหน ขอแค่คุณสู้กับมัน อย่าท้อ
เพราะเกิดมาคุณมีครบกว่าคนอื่น มีสิ่งดีๆในชีวิต มีครบ 32 ประการ คนที่เค้าไม่มีเหมือนคุณยังทำได้ดี ยังเลี้ยงลูกเลี้ยงชีวิตเค้าจนโตมาได้
ส่วนผม ก็จะทำธุระกิจของผมให้สำเร็จ ต่อไป....
เปลี่ยนความคิด จากงานประจำ เป็นธุระกิจส่วนตัว
ผมมีปัญหา เกี่ยวกับการดำเนินงาน คืออยากจะรู้ว่า มันผิดมากไหม จากการที่ทำงานประจำ มาเปิดธุระกิจเป็นของตัวเอง
ใช่ครับ อ่านไม่ผิดหรอกครับ ว่าทำไมผมถึงถามว่าผิดมากไหม เพราะผมแค่อยากมีอะไรทิ้งไว้ให้ลูกๆ ผมในอนาคต(ตอนนี้ยังไม่มีลูกแต่คิดเผื่อไว้) เลี้ยงครอบครัวตัวเองได้ แค่นั้น ไม่ต้องรวยล้นฟ้า อะไร แต่ขอแค่มีกินมีใช้ เรื่องมันเริ่มจากผมทำงานแบบลูกจ้างมาตั้งแต่อายุ 16ปี (เนื่องจากครอบครัวมีปัญหาอะเนอะไม่อยากพูดมากเดี๋ยวเบื่อ) และการเติบโตอยู่กับลูกจ้างด้วยกัน ทำให้ผมมองเจ้าของกิจการและคนรวยๆว่าเค้าทำไมไม่จนแบบผม เค้ามีอะไรที่ผมไม่มี และการบังคับตัวเองมาหาเงินที่จะต้องทำงานเช้าถึงค่ำ แค่แลกกับเงิน ไม่กี่ร้อยบาทต่อวัน ไม่ถึง1หมื่นบาทต่อเดือน ผมคงไม่มีวันรวยแบบเค้าแน่ๆ แต่ทำไมคนเหล่านี้ถึงรวย
ผมมี 3 ครอบครัว คือ ครอบครัวย่า ครอบครัวแม่ และครอบครัวผม และผมในวัยเด็กครอบครัวไม่อบอุ่นเท่าไหร่ ซึ่งถูกเลี้ยงมาโดย
"ครอบครัวย่า"
ย่าเป็นคนที่รักผมมาก แต่มีปัญหาคือ พ่อของผมเป็นลูกบุญธรรม และผมเองจึงเป็นหลานบุญทำของท่าน พ่อ-แม่ แยกทางกันตั้งแต่ผมยังเด็กๆ ส่วนพ่อก็น้อยใจในชีวิตว่า พ่อ-แม่ของพ่อทิ้งไป จนทำให้แกเป็นคนมีปัญหามาตลอด ส่วนผมก็ไม่มีปัญหาอะไรมากเพราะย่าเลี้ยงดีให้ความอบอุ่นดี จนรู้เรื่องราวต่างๆ และทำความเข้าใจกับมัน ไม่คิดน้อยใจอะไรในชีวิต และไม่อยากทำตัวแบบพ่อ ไม่เคยโทษพ่อเลยสักครั้ง ที่ไม่ได้เลี้ยงผม เพราะอย่างว่าผมไม่คิดอะไรอยู่แล้ว ก็อยู่กับย่ามาเรียนจบ ม.ต้นและทำงานเลี้ยงตัวเองไป แต่ติดตรงที่แกเป็นคนสมัยเก่า ชอบคิดว่า การทำงานแบบมนุษย์เงินเดือนนั้นมั่นคง มีรายรับตลอด และผมก็ทำงานประเภทลูกจ้างมาหลายงาน ซึ่งผมเบื่อมากแต่ไม่อยากขัดใจย่า จึงแอบไปปรึกษาแม่เรื่องการทำธุระกิจส่วนตัว เพราะเมื่อโตขึ้นก็เริ่มมีความรัก มีแฟน มีคนที่เข้าใจ อาจจะเจอหลายๆคน หน่อย แต่วันนึงคุณๆ คงเข้าใจนะถ้าเจอคนที่ใช่หรือคู่ชีวิตแล้วทำยังไง ก็อยากจะอยู่ด้วยกันทุกวัน(อิอิ นอกเรื่องไปหน่อย)....ต่อนะ ผมจึงมาปรึกษาแม่
"ครอบครัวแม่"
ก็อย่างที่ว่านะครับ พ่อ-แม่ผมเลิกกันตั้งแต่เด็กๆก็จริง และท่านก็มีครอบครัวใหม่ มีพ่อเลี้ยง(ที่ไม่ค่อยชอบขี้หน้าผมเท่าไหร่) มีลูกใหม่ 2 คน แต่ก็มักมาหาผมอยู่บ้าง สัก ปี - 2ปี แม่ผมทำธุระกิจเกี่ยวกับร้าน แว่นตาครับ เป็นร้านเล็กๆ ในจังหวัดอุดรฯ สืบเนื่องจากท่านเป็น ลูกจ้างแว่นท็อปมา 20ปี จนเลื่อนไปหลายตำแหน่ง พออายุมากขึ้น เขาก็จ้างออก (แม่เล่า-ความจริงงานๆหลายก็คงมีแบบนี้) จนแกได้ไปเรียนต่อเกี่ยวกับการเป็น optician และกลับมาเปิดร้านแว่นตาเป็นของตัวเอง ชื่อร้าน TOP EYE OPTIC ทำมาตอนนี้ก็ได้ราวๆ อีก 25 ปี แล้ว ระหว่างวันแรกที่แกตั้งร้านจนถึงปีที่ 25 ของแม่ ท่านเจออุปสรรคมากมาย แต่ก็ฟันฝ่ามาได้ จนมีลูกค้าประจำ จึงทำให้ผมมั่นใจว่าแม่เรานี่แหละ มีประสบการณ์ จึงตัดสินใจพูดกันจริงๆจังๆ ว่า เนี่ยจะมาทำธุระกิจของตัวเองนะ เป็นคนชอบการขายอยู่แล้ว (ทำงานด้านการขายบ่อย) แม่พอจะช่วยได้ไหม ถ้าอยากจะเปิดร้านแว่นตาแบบแม่ แรกๆ แม่ก็ไม่โอเคกับผมเท่าไหร่ เพราะ งานที่แม่ทำต้องใช้เวลานานกว่าจะมีลูกค้าประจำแบบที่แม่มีและท่านมองว่ายังเด็กไป(เกลียดมากเหมือนโดนจากที่หลายๆคนดูถูกว่าเด็กจะทำอะไรได้) ด้วยความที่ผมอยากจะทำจริงๆจัง ตื้อท่านบ่อยๆ จนกระทั่ง ท่านใจอ่อน อิอิ (ตื้อเท่านั้นที่ครองโลก) ท่านจึงส่งไปเรียนที่เดียวกับท่าน เรียนอยู่ 6 เดือน ก็จบมีใบประกอบวิชาชีพมา ทำธุระกิจ แว่นตาของตัวเอง....
เอาล่ะที่นี้มีวิชาแล้ว จะได้สบายสักที
แต่มันไม่ใช่ มันจะเริ่มความลำบากถึงลำบากมาก....โคตะระลำบากเลยครับ เพราะต้องใช้เงินเก็บตัวเอง(ที่ทำงานมาอะนะ) ซื้ออุปกรณ์ต่างๆ มากมาย ซ้ำยังไม่พอด้วยต้องขอยืมแม่บ้าง เข้าไปทำที่ร้านแม่บ้าง แถมยังไม่มีร้านเป็นของตัวเอง เพราะไม่มีเงินทุนขนาดนั้น จึงต้องอาศัยลูกดวง ลูกสู้กันไป การทำงานของผมก็คือออกไปตามสถานที่ต่างๆ เพื่อหาลูกค้า แต่ละวันบอกเลยดวงล้วนๆ เพราะเราไม่สามารถรู้ได้เลยว่า จะมีลูกค้าหรือไม่...ทำแบบนี้มาเรื่อยๆ ก็ถูๆไถๆไปเรื่อย จนเมื่อวาน ถูกดูถูกมา(จากครอบครัวย่า) ว่า "งานแบบนี้ ทำให้ตายก็ไม่มีทางรวย มีแต่เสียอนาคต บอกแล้ว พูดแล้วก็ไม่เชื่อฟัง แล้วก็ บลาๆๆๆๆๆๆๆๆ" อีกเยอะ จนผมท้อ น้อยใจมากกก เบื่อเหมือนกัน
และอยากจะถามคำถามข้างต้น ว่า ผมผิดมากไหม กับการทำธุระกิจ แบบที่ผมหาเจอแล้วว่าผมรักมัน ถึงแม้วันนี้อาจจะยังไม่สำเร็จ อาจจะต้องเจอปัญหาอีกนับไม่ถ้วน แต่ผมผิดหรอ?? ที่อยากจะทำเพื่อ ครอบครัวผม ลูกผมในอนาคต ทำไมต้องคิดว่างานประจำ ดีที่สุดทั้งๆ ที่มันไม่จริง ทำไมคนที่ผมรักที่สุด ที่เลี้ยงดูผมมา กลับมาพูดดูถูกงานที่ผมทำ......
แต่แล้ว....จากการที่ผมทน ต่อคำดูถูกจากทั้งคนในครอบครัวเอย ดูถูกจากลูกค้า คนที่ว่าผมว่าเด็กเกินไปไม่มีทางทำอะไรได้ วันนี้ ผมสู้ให้เขาคนเห็นว่า ผมยังทำได้ และจะทำต่อไปเรื่อยๆ เพราะตราบใดที่ ยังมีคนที่มีปัญหาสายตา ผมเองก็ไม่มีวันตกงาน อ่ออีกเรื่องคือ มีคนบอกผมว่า ไม่ต้องมาหลอกเขาเรื่องแว่นตา เพราะของพวกนี้ เขาซื้อเอาตามตลาดนัดที่ไหนก็ได้ ทำไมต้องมาซื้อของที่มันแพงกว่าด้วย ....
ผมก็ได้แต่คิดว่าจะมีปัญญาไปหลอกลวงใครได้ ผมเก่งขนาดนั้นเลยหรอ? แล้วการที่เลือกประกอบอาชีพแบบนี้ มันเป็นการหลอกลวงตรงไหน งั้นหมอเอย นักวิชาการเอย จบ ป.โท ป.เอก ที่เค้าใส่แว่นนี่เค้าไม่ฉลาดงั้นหรอ? แสดงว่าเค้าก็โดนหลอกงั้นหรอ? บ่นๆๆๆ กับปัญหานี้เฉยๆนะครับ ไม่สนใจหรอก
ผมไม่ได้ไปทำอะไรผิดกฏหมายนี่นา หากินแบบสุจริต ถ้าเจอคนประเภทนี้ ก็คิดแค่ว่าเค้าคงไม่รู้ จริง แค่นั้นเอง...
สุดท้ายอยากจะฝากถึงคุณๆที่กำลัง ทำธุระกิจของตัวเองนะครับ แม้ว่าคุณจะล้ม โดนเหยียบซ้ำ หรือเจออุปสรรคมากแค่ไหน ขอแค่คุณสู้กับมัน อย่าท้อ
เพราะเกิดมาคุณมีครบกว่าคนอื่น มีสิ่งดีๆในชีวิต มีครบ 32 ประการ คนที่เค้าไม่มีเหมือนคุณยังทำได้ดี ยังเลี้ยงลูกเลี้ยงชีวิตเค้าจนโตมาได้
ส่วนผม ก็จะทำธุระกิจของผมให้สำเร็จ ต่อไป....