แท็กผิดแจ้งได้นะคะ ไม่ค่อยสยองเท่าไรปนเศร้ามากกว่าจ้า ><
สวัสดีค่ะ ขอแชร์ประสบการณ์บ้างนะคะ อยากเล่า ก่อนจะลืมไปตามวัย….ถ้าพิมพ์ผิดไวยกรณ์
เว้นวรรคผิด หรือพิมพ์คำผิด ขอโทษคุณครูพันทิปตรงนี้ด้วยนะคะ

แจ้งมายินดีแก้ไขจ้า เรื่องยาวหน่อยนะคะ ><
เรื่องนี้เกิดขึ้น ปี 2540 เป็นเรื่องจริง บวกกับความเชื่อส่วนบุคคลจ้า ตอนนั้นเราอายุ 10 ขวบคะ เล่าในฐานนะหลาน
ฟังจากวงสนทนาของพ่อกับแม่เราและอยู่ในเหตุการณ์ ขอใช่ชื่อสมมุตินะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวแม่เรา ครอบครัวแม่เรา มี 9 คน แม่อุ้ย พ่ออุ้ย และลูกอีก 7 คน แม่เราเป็นลูกคนโต
อาศัยอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน ==” ติดแม่น้ำน่านคะ บ้านแม่เราเป็นคนจน
มีที่ดินแต่เป็นที่ดินตาบอด เวลาจะไปไหนก็ลำบาก ยิ่งไฟฟ้า น้ำ ไม่ต้องพูดถึงเลยลำบากมาก คงเข้าใจนะคะต่างจังหวัด
ถ้าที่ดินตาบอด เจ้าของที่ที่เราเดินผ่าน เค้าก็ไม่ค่อยอยากให้ผ่านที่เค้า ช่วงนั้นญาติๆแม่เรา เริ่มมาทำงานที่สมุทรปราการ
พอไปได้สักพักญาติๆก็เริ่มมาชักชวนกันไปทำงานด้วยกัน น้าสมน้องชายแม่เรา ก็ตามๆญาติมาทำงานที่สมุทรปราการด้วย
น้าสม มีความฝันว่าอยากให้พาพ่อกับแม่(แม่อุ้ย กับพ่ออุ้ยเรา)มาอยู่ข้างนอก(หมายถึง อยู่ที่ดินติดถนนใหญ่)
ทำงานไปสักพัก ก็พอมีเงินเลยส่งข่าวไปที่บ้าน บอกพ่ออุ้ยกับแม่อุ้ย ว่าให้หาซื้อที่จะย้ายออกมาทำบ้านข้างนอก
แถวบ้านเราที่ต่างจังหวัด จะหาซื้อที่ยากค่ะ เค้าไม่ค่อยขายกัน เพราะอยากเก็บไว้ให้ลูกหลาน
นอกจากใครแบบไม่มีเงินจริงๆถึงจะแบ่งขาย หาซื้อที่ไปถามใครเค้าก็ไม่ขาย
มีที่ดินว่างอยู่แปลงหนึ่ง ที่ดินตรงนี้ทำเลดีค่ะ เป็นล็อคใหญ่มาก ติดถนนทางหลวงด้านในติดแม่น้ำน่าน
ตั้งแต่เราจำความได้นะคะ(เท่าที่ผ่านไป ผ่านมาแถวนั้นตั้งแต่เด็กๆ) ที่ดินแปลงนี้ไม่เคย มีใครมาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยค่ะ
เห็นแต่เอามาปลูกอ้อย ปลูกข้าวโพด พวกคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเค้าบอกว่า ที่ดินตรงนี้เป็นทางผีผ่าน ลงแม่น้ำค่ะ
และความเชื่อนี้ก็เลยไม่มีใครมาสร้างบ้านอยู่แม้แต่เจ้าของที่เอง ญาติเราหลายๆคนที่รู้ ก็พูดคัดค้าน น้องชายแม่อุ้ยก็ห้าม พี่สาวแม่อุ้ยก็บอก
แต่แม่อุ้ยเราไม่ฟังค่ะ เพราะความที่อยากอยู่ข้างนอก จะได้ไม่ลำบาก ทั้งน้ำ ไฟ และเวลาเดินทาง คิดไปเองว่าคนที่มีพูดคัดค้าน อาจจะอิจฉา
เลยตกลงซื้อ เค้าแบ่งขายให้เป็นแปลงติดถนน แต่ที่ดินล็อคที่ซื้อ ท้ายที่มีเนินดินและจอมปลวกในที่ดินค่ะ ปัจจัยอีกหนึ่งอย่าง
ที่แม่อุ้ยเราตัดสินใจซื้อที่ตรงนี้ เนื่องจากมีครอบครัวหนึ่งได้ย้ายถิ่น มาปักหลักที่หมู่บ้านเราและซื้อที่ในแนวเดียวกับแม่อุ้ยเรา
แต่อยู่ข้างในเข้าไปเป็นที่ติดแม่น้ำ เค้ามาซื้อปลูกบ้านอยู่เหมือนแม่อุ้ย แม่อุ้ยเราเลยคิดว่ามีเพื่อนเห็นเค้าทำเราก็น่าจะทำได้ไม่น่ามีอะไร
ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากญาติ ครอบครัวที่ย้ายมาใหม่นี้มีลูกสาวสองคนคะ รุ่นราวคราวเดียวกับเรา(ครอบครัวนี้ค่อยเล่าที่หลังนะคะ มีเรื่องเกิดขึ้นเหมือนกัน)
พอซื้อเสร็จ ถมที่ สร้างบ้านเป็นบ้านแบบต่างจังหวัด บ้านไม้ครึ่งปูน 2 ชั้น ตอนสร้าง บ้านไม่มีศาสพระภูมิ
ศาสเจ้าที่เลยนะคะ ส่วนจอมปลวกและเนินดิน ปล่อยไว้ค่ะ เพราะมันเป็นท้ายที่ดิน หลังบ้าน
คนที่อยู่บ้านหลังนี้ประจำจะมี แม่อุ้ย พ่ออุ้ย น้าวิ น้านนท์ น้าสม(ไปๆมาๆ) ส่วนลูกๆคนอื่น มีครอบครัว
ไปสร้างบ้านอยู่คนละที่ และคนละจังหวัด
เวลาผ่านไปครอบครัวแม่เรากับน้านนท์ก็ย้ายตามน้าสม กับน้าๆลูกพี่ลูกน้องไปทำงานที่สมุทรปราการ
ที่หมู่บ้านเรามีคนทรงประจำหมูบ้าน แม่อุ้ยเราก็ชอบไป แล้วคนทรงทักมาคะ ว่าไปสร้างบ้านทับทางเค้านะ
“ย้ายไปซะ ถ้าไม่อยากตายยกบ้าน เค้าจะเอาลูกไปก่อน” ที่นี่แม่อุ้ยเราเริ่มละค่ะ กลัว บวกกับญาติพูดกันเยอะมากคะ
มาปรึกษาลูกๆค่ะ ว่าจะย้ายดีไหมหรือยังไง
ตอนนั้นเราเด็กนะคะ จากที่รับรู้มาเหมือนแม่อุ้ย อยากย้ายค่ะ แต่ไม่มีเงินกัน เพราะซื้อที่และทำบ้านไปหมดแล้ว
ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เราจำไม่ได้นะคะ ว่าเค้าย้ายและสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้ปีไหน ก่อนหน้าปี 40
ปี 2540 น้าสมเริ่มป่วยค่ะ ทำงานไม่ได้ หยุดงานมาพักรักษาตัวที่บ้าน 2 อาทิตย์ พอค่อยยังชั่วก็กลับมาทำงานที่สมุทรปราการ
พอทำงานได้เดือนหนึ่ง เป็นอีกแล้วค่ะ ก็ลากลับบ้านอีกไปๆมาๆอย่างนี้ อยู่ 2-3 เดือนจนบริษัทเค้าเริ่มไม่ค่อยพอใจ แม่เราเห็นท่าว่าไม่ดีแล้ว
ก็เลยบอกน้าสมให้ลาออก แล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ให้หายสนิทก่อนค่อยกลับมาใหม่ เพราะยังไงที่บ้านก็มีแม่อุ้ยกับน้าวิค่อยดูแล
หาข้าวหาปลาให้กิน เราไม่แน่ใจนะคะว่าเป็นโรคอะไร แต่เค้าผอมมาก หายใจไม่ออก กินข้าวไม่ได้ กินแล้วอ้วกออกหมด
ปกติน้าสมจะกินเหล้าหนักมากค่ะ บางครั้งกินจนตื่นไปทำงานไม่ไหว(ส่วนมากจะกินวันอาทิตย์ ทุกอาทิตย์(พ่อเราก็ร่วมวงด้วย ==”))
และเค้าไม่ค่อยกินข้าวคะ วันทำงานตอนเช้าจะกินแต่กาแฟ เที่ยงไม่กิน(เค้าบอกไม่หิว) กินตอนเย็นพร้อมบ้านเรา ยิ่งตอนป่วยนะคะไม่กินอะไรเลย
กินแต่กาแฟ เจ้าตัวเองพอพี่สาวบอกให้กลับบ้าน ก็กลับ ลาออกจากงานไปอยู่ที่บ้าน
พอกลับมารักษาตัวที่บ้าน น้าสมป่วยมากค่ะ เค้านอนป่วยอยู่ที่บ้านอีก 3 เดือน ก่อนจะเสียชีวิต ในเดือนสิงหาคม ปี 2540
(ที่จำเดือนแม่น เพราะเป็นเดือนและปีเดียวกับหลานชายคนแรกเจ้าของกระทู้เกิดค่ะ พี่สาวเจ้าของกระทู้ก็อยู่ที่บ้านด้วยตอนน้าเราเสีย)
ระหว่างที่ป่วย มีน้าวิดูแล แล้วใกล้ๆช่วงที่ป่วยหนัก แกก็เพ้อค่ะว่า กลัวจะมีคนมาเอาไป บางทีก็ถามน้องสาวเค้า(น้าวิ)
“ทำไมตอนเย็นๆ (ช่วงตะวันตกดิน) ใครมาเดินผ่านบ้านเรามากมาย เค้าไปตัดอ้อยกลับมาหรอ”
บางทีก็เพ้อบอกว่า “เค้าไม่พอใจนะ พวกเค้าเดินไม่สะดวก เราไปขวางเค้า”
ก่อนเสียชีวิต จะเป็นลักษณะนี้ค่ะ พูดทำนองนี้ตลอด น้าวิก็มาเล่าให้อุ้ยฟัง อุ้ยก็บอกว่า “พี่มันป่วย เพ้อไปเอง”
ทำนองเห็นภาพหลอน ทำนองนั้น คือเหมือนพูดปัดๆไป ไม่ให้กลัวกัน
จนถึงช่วงสุดท้ายที่จะสิ้นใจ แม่อุ้ยเล่าให้แม่ฟังว่า ท่าทางน้าสมดูหวาดกลัว แม่อุ้ย ก็บอก “ท่องพระอรหันต์สิลูก ท่องอรหันต์”
ท่องได้ สองสามครั้งก็หยุดนิ่งจนสิ้นใจไปเอง
หลังจากแม่อุ้ยส่งข่าวว่าน้าสมเสียแล้วให้ญาติที่สมุทรปราการรู้ ญาติๆก็พากันกลับบ้าน งานศพจัดงานศพที่บ้านหลังนั้น
น้านนท์ น้องชายคนเล็ก บวชหน้าไฟให้พี่ชาย ทุกคนเสียใจมากค่ะ เพราะน้าสมเป็นที่รักของพ่อแม่ รักพี่น้อง ร่วมถึงหลานๆด้วย
มีเงินเท่าไรให้หมด งานศพผ่านไปอย่างเศร้าโศก แต่ไม่มีใครคิดอะไร คิดว่าเค้าป่วยตายไปเอง
หลังจากงานเผาศพน้าสม ก็แยกยายกันไป ต่างคนต่างกับไปทำงานปกติ ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ……
พ่อเรามารับที่โรงเรียนตอนบ่ายๆค่ะ พ่อเราไปคุยกับครูและพาเรากลับห้องพัก เราถามว่า “ทำไมมีอะไรหรอพ่อ”
พ่อเราไม่ตอบค่ะ ถึงห้องพัก แม่เรา พี่สาวเราคนที่สอง น้านนท์ อยู่พร้อมหน้ากำลังเก็บเสื้อผ้า แม่บอกให้เราไปอาบน้ำและเก็บเสื้อผ้า
กลับบ้าน น้าวิเสียแล้ว ผูกคอตายในบ้าน เรางงค่ะร้องไห้และถามแม่ว่า “ทำไม” เราเสียใจแบบเด็กๆคะเพราะน้าวิช่วยแม่เลี้ยงเจ้าของกระทู้มา
และไปส่งโรงเรียนตอนเรายังเด็กๆ เราก็พากันยกครัวกลับไปงานศพ โดยรถกระบะลูกพี่ลูกน้องแม่เรา ยกเว้นพี่สาวคนโตที่เพิ่งคลอดลูก อยู่สมุทรปราการ
ไปถึงเค้าก็ตั้งศพแล้วค่ะที่ต่างจังหวัด จะตั้งศพสวดที่บ้าน(จะตายธรรมชาติ หรือตายโหงสวดที่บ้านหมดคะ)
เจอแม่อุ้ยเค้าก็เล่าเหตุการณ์กัน ว่าไม่เห็นน้าวิช่วงบ่ายๆก็ไม่มีใครสสนใจ ต่างคนต่างทำงานกัน
จนพ่ออุ้ยกลับมาจากป่า(คนแถวบ้านเค้าชอบไปเที่ยวหาของป่ากันคะ ทุกวันนี้พ่อเราก็ยังไปอยู่) กลับมาบ้าน
เปิดประตูมาเห็นน้าสม ยืนอุ้มน้าวิ โดยที่มีกองที่นอน ล้มอยู่ข้างๆ(ที่นอนอัดนุ่น พับตอน แบบต่างจังหวัดนะค่ะ น้าวิเอามาต่อๆกัน จนสูงแทนเก้าอี้)
ด้วยความตกใจ ที่เห็นน้าสมที่ตายไปแล้ว(หรือวิญญาณ) คิดว่าตาฝาด เลยตะโกนเสียงหลง “เฮ้ยยย…อีวิ”
ร้องไห้โว้ยว้ายและวิ่งเข้าไปเอาเก้าอี้ชั้นบน และใช้มีดตัดเชือกลงมา น้าวิร่วงตกลงมา(น้าเค้ารูปร่างอวบค่ะ พ่ออุ้ยตัวเล็กกว่าอุ้มไม่ไหว)
และวิ่งออกมาบ้านตรงข้ามฝั่งถนนให้คนช่วย แต่น้าเค้าสิ้นใจไปแล้ว หลังจากจัดการซื้อโล่งและบอกสัปเหร่อให้มาช่วยจัดการ
ก็จัดงานศพคะ ตอนนี้เริ่มแล้วคะคนในหมู่บ้านก็พูดกันแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ เพราะน้าเราตายในบ้านติดๆกันยังไม่ถึงเดือนเลย
แม่อุ้ยเริ่มแล้วระเวง แม่ของเราเชื่อนะคะ แต่น้านนท์กับพ่ออุ้ยไม่เชื่อ ตามระเบียบคะน้านนท์
บวชหน้าไฟให้พี่สาว พระที่บวชยังแซวว่า “แหม่ไม่ต้องโกนผมหลอก ผมยังไม่ขึ้นเลย” งานศพผ่านไปด้วยดี….ไม่มีอะเกิดขึ้น
ความรู้สึกเราตอนนั้นนะคะ คือเป็นห่วงแม่เราค่ะ เพราะแม่เราก็เป็น 1 ในพี่น้อง กลัวมาก
กลัวแม่เป็นอะไรถามแม่อุ้ยถามกับพี่สาวตลอด “ว่าแม่จะเป็นอะไรไหม” พ่อเราก็กังวลค่ะ แต่แม่เราปลอบใจว่า ไม่เป็นไรแม่ดวงแข็ง
แม่เราเกิดวันอังคารเค้าบอกดวงจะแข็งเรื่องแบบนี้(ไม่รู้เกี่ยวหรือเปล่า)
หลังจากที่เผาศพน้าวิเสร็จนะคะ น้านนท์ขออยู่บ้านต่ออีก 1 อาทิตย์หลังสึกพระ เพราะเค้ามีเพื่อนที่โน่นเยอะค่ะ โตมาที่โน่น
ว่างๆเค้าก็แวะไปหาเพื่อน ไปเล่นบ้านเพื่อน ปีนั้นหน้านนท์อายุ 25 ปีเบญจเพศ พอเค้ากลับมาที่สมุทรปราการค่ะ
มาเล่าให้แม่เราฟังว่ามีพ่อเพื่อนของเค้าทักว่า “รายต่อไปละนะ อยู่ที่บ้านนี่แหละ บวชซักสามเดือนค่อยกลับ ถ้าไม่งั้นเมิงตายโหงแน่”
น้านนท์ด่าเค้าค่ะ ว่าปากหมา มาแช่งเค้า โมโห แม่เราก็บอกฟังแล้วอึ้งค่ะ หน้าซีด จะเป็นลม เลยบอกน้องว่า
“เค้าทักก็ฟังๆไว้บ้าง” แต่จริงๆแล้วน้านนท์ก็กลัวค่ะ อยากอยู่บวช แต่อยากกลับมาหาแฟนที่สมุทรปราการ><
แม่อุ้ยบอกให้บวชอยู่บ้าน เค้าก็ไม่บวช รีบกลับสมุทปราการ วันอาทิตย์แม่เราก็พาน้านนท์ไปทำบุญ
น้านนท์ก็บอกว่าแม่อุ้ยให้เศษผ้าถุงแม่มา ให้เก็บติดตัวไว้ตลอดและพูดกับน้านนท์ว่า “บุญแม่จะรักษานะลูก”
**แก้ไขคำผิดจ้า
***แก้ไข การใช้ ค่ะ คะ
อยากเล่าเรื่องลึกลับ สร้างบ้านทับทางผ่านผี
สวัสดีค่ะ ขอแชร์ประสบการณ์บ้างนะคะ อยากเล่า ก่อนจะลืมไปตามวัย….ถ้าพิมพ์ผิดไวยกรณ์
เว้นวรรคผิด หรือพิมพ์คำผิด ขอโทษคุณครูพันทิปตรงนี้ด้วยนะคะ
เรื่องนี้เกิดขึ้น ปี 2540 เป็นเรื่องจริง บวกกับความเชื่อส่วนบุคคลจ้า ตอนนั้นเราอายุ 10 ขวบคะ เล่าในฐานนะหลาน
ฟังจากวงสนทนาของพ่อกับแม่เราและอยู่ในเหตุการณ์ ขอใช่ชื่อสมมุตินะคะ
เรื่องนี้เป็นเรื่องของครอบครัวแม่เรา ครอบครัวแม่เรา มี 9 คน แม่อุ้ย พ่ออุ้ย และลูกอีก 7 คน แม่เราเป็นลูกคนโต
อาศัยอยู่จังหวัดหนึ่งในภาคเหนือตอนล่าง ภาคกลางตอนบน ==” ติดแม่น้ำน่านคะ บ้านแม่เราเป็นคนจน
มีที่ดินแต่เป็นที่ดินตาบอด เวลาจะไปไหนก็ลำบาก ยิ่งไฟฟ้า น้ำ ไม่ต้องพูดถึงเลยลำบากมาก คงเข้าใจนะคะต่างจังหวัด
ถ้าที่ดินตาบอด เจ้าของที่ที่เราเดินผ่าน เค้าก็ไม่ค่อยอยากให้ผ่านที่เค้า ช่วงนั้นญาติๆแม่เรา เริ่มมาทำงานที่สมุทรปราการ
พอไปได้สักพักญาติๆก็เริ่มมาชักชวนกันไปทำงานด้วยกัน น้าสมน้องชายแม่เรา ก็ตามๆญาติมาทำงานที่สมุทรปราการด้วย
น้าสม มีความฝันว่าอยากให้พาพ่อกับแม่(แม่อุ้ย กับพ่ออุ้ยเรา)มาอยู่ข้างนอก(หมายถึง อยู่ที่ดินติดถนนใหญ่)
ทำงานไปสักพัก ก็พอมีเงินเลยส่งข่าวไปที่บ้าน บอกพ่ออุ้ยกับแม่อุ้ย ว่าให้หาซื้อที่จะย้ายออกมาทำบ้านข้างนอก
แถวบ้านเราที่ต่างจังหวัด จะหาซื้อที่ยากค่ะ เค้าไม่ค่อยขายกัน เพราะอยากเก็บไว้ให้ลูกหลาน
นอกจากใครแบบไม่มีเงินจริงๆถึงจะแบ่งขาย หาซื้อที่ไปถามใครเค้าก็ไม่ขาย
มีที่ดินว่างอยู่แปลงหนึ่ง ที่ดินตรงนี้ทำเลดีค่ะ เป็นล็อคใหญ่มาก ติดถนนทางหลวงด้านในติดแม่น้ำน่าน
ตั้งแต่เราจำความได้นะคะ(เท่าที่ผ่านไป ผ่านมาแถวนั้นตั้งแต่เด็กๆ) ที่ดินแปลงนี้ไม่เคย มีใครมาสร้างบ้านที่อยู่อาศัยค่ะ
เห็นแต่เอามาปลูกอ้อย ปลูกข้าวโพด พวกคนเฒ่าคนแก่ในหมู่บ้านเค้าบอกว่า ที่ดินตรงนี้เป็นทางผีผ่าน ลงแม่น้ำค่ะ
และความเชื่อนี้ก็เลยไม่มีใครมาสร้างบ้านอยู่แม้แต่เจ้าของที่เอง ญาติเราหลายๆคนที่รู้ ก็พูดคัดค้าน น้องชายแม่อุ้ยก็ห้าม พี่สาวแม่อุ้ยก็บอก
แต่แม่อุ้ยเราไม่ฟังค่ะ เพราะความที่อยากอยู่ข้างนอก จะได้ไม่ลำบาก ทั้งน้ำ ไฟ และเวลาเดินทาง คิดไปเองว่าคนที่มีพูดคัดค้าน อาจจะอิจฉา
เลยตกลงซื้อ เค้าแบ่งขายให้เป็นแปลงติดถนน แต่ที่ดินล็อคที่ซื้อ ท้ายที่มีเนินดินและจอมปลวกในที่ดินค่ะ ปัจจัยอีกหนึ่งอย่าง
ที่แม่อุ้ยเราตัดสินใจซื้อที่ตรงนี้ เนื่องจากมีครอบครัวหนึ่งได้ย้ายถิ่น มาปักหลักที่หมู่บ้านเราและซื้อที่ในแนวเดียวกับแม่อุ้ยเรา
แต่อยู่ข้างในเข้าไปเป็นที่ติดแม่น้ำ เค้ามาซื้อปลูกบ้านอยู่เหมือนแม่อุ้ย แม่อุ้ยเราเลยคิดว่ามีเพื่อนเห็นเค้าทำเราก็น่าจะทำได้ไม่น่ามีอะไร
ไม่ฟังเสียงคัดค้านจากญาติ ครอบครัวที่ย้ายมาใหม่นี้มีลูกสาวสองคนคะ รุ่นราวคราวเดียวกับเรา(ครอบครัวนี้ค่อยเล่าที่หลังนะคะ มีเรื่องเกิดขึ้นเหมือนกัน)
พอซื้อเสร็จ ถมที่ สร้างบ้านเป็นบ้านแบบต่างจังหวัด บ้านไม้ครึ่งปูน 2 ชั้น ตอนสร้าง บ้านไม่มีศาสพระภูมิ
ศาสเจ้าที่เลยนะคะ ส่วนจอมปลวกและเนินดิน ปล่อยไว้ค่ะ เพราะมันเป็นท้ายที่ดิน หลังบ้าน
คนที่อยู่บ้านหลังนี้ประจำจะมี แม่อุ้ย พ่ออุ้ย น้าวิ น้านนท์ น้าสม(ไปๆมาๆ) ส่วนลูกๆคนอื่น มีครอบครัว
ไปสร้างบ้านอยู่คนละที่ และคนละจังหวัด
เวลาผ่านไปครอบครัวแม่เรากับน้านนท์ก็ย้ายตามน้าสม กับน้าๆลูกพี่ลูกน้องไปทำงานที่สมุทรปราการ
ที่หมู่บ้านเรามีคนทรงประจำหมูบ้าน แม่อุ้ยเราก็ชอบไป แล้วคนทรงทักมาคะ ว่าไปสร้างบ้านทับทางเค้านะ
“ย้ายไปซะ ถ้าไม่อยากตายยกบ้าน เค้าจะเอาลูกไปก่อน” ที่นี่แม่อุ้ยเราเริ่มละค่ะ กลัว บวกกับญาติพูดกันเยอะมากคะ
มาปรึกษาลูกๆค่ะ ว่าจะย้ายดีไหมหรือยังไง
ตอนนั้นเราเด็กนะคะ จากที่รับรู้มาเหมือนแม่อุ้ย อยากย้ายค่ะ แต่ไม่มีเงินกัน เพราะซื้อที่และทำบ้านไปหมดแล้ว
ก็เลยปล่อยเลยตามเลย เราจำไม่ได้นะคะ ว่าเค้าย้ายและสร้างบ้านบนที่ดินผืนนี้ปีไหน ก่อนหน้าปี 40
ปี 2540 น้าสมเริ่มป่วยค่ะ ทำงานไม่ได้ หยุดงานมาพักรักษาตัวที่บ้าน 2 อาทิตย์ พอค่อยยังชั่วก็กลับมาทำงานที่สมุทรปราการ
พอทำงานได้เดือนหนึ่ง เป็นอีกแล้วค่ะ ก็ลากลับบ้านอีกไปๆมาๆอย่างนี้ อยู่ 2-3 เดือนจนบริษัทเค้าเริ่มไม่ค่อยพอใจ แม่เราเห็นท่าว่าไม่ดีแล้ว
ก็เลยบอกน้าสมให้ลาออก แล้วกลับไปรักษาตัวที่บ้าน ให้หายสนิทก่อนค่อยกลับมาใหม่ เพราะยังไงที่บ้านก็มีแม่อุ้ยกับน้าวิค่อยดูแล
หาข้าวหาปลาให้กิน เราไม่แน่ใจนะคะว่าเป็นโรคอะไร แต่เค้าผอมมาก หายใจไม่ออก กินข้าวไม่ได้ กินแล้วอ้วกออกหมด
ปกติน้าสมจะกินเหล้าหนักมากค่ะ บางครั้งกินจนตื่นไปทำงานไม่ไหว(ส่วนมากจะกินวันอาทิตย์ ทุกอาทิตย์(พ่อเราก็ร่วมวงด้วย ==”))
และเค้าไม่ค่อยกินข้าวคะ วันทำงานตอนเช้าจะกินแต่กาแฟ เที่ยงไม่กิน(เค้าบอกไม่หิว) กินตอนเย็นพร้อมบ้านเรา ยิ่งตอนป่วยนะคะไม่กินอะไรเลย
กินแต่กาแฟ เจ้าตัวเองพอพี่สาวบอกให้กลับบ้าน ก็กลับ ลาออกจากงานไปอยู่ที่บ้าน
พอกลับมารักษาตัวที่บ้าน น้าสมป่วยมากค่ะ เค้านอนป่วยอยู่ที่บ้านอีก 3 เดือน ก่อนจะเสียชีวิต ในเดือนสิงหาคม ปี 2540
(ที่จำเดือนแม่น เพราะเป็นเดือนและปีเดียวกับหลานชายคนแรกเจ้าของกระทู้เกิดค่ะ พี่สาวเจ้าของกระทู้ก็อยู่ที่บ้านด้วยตอนน้าเราเสีย)
ระหว่างที่ป่วย มีน้าวิดูแล แล้วใกล้ๆช่วงที่ป่วยหนัก แกก็เพ้อค่ะว่า กลัวจะมีคนมาเอาไป บางทีก็ถามน้องสาวเค้า(น้าวิ)
“ทำไมตอนเย็นๆ (ช่วงตะวันตกดิน) ใครมาเดินผ่านบ้านเรามากมาย เค้าไปตัดอ้อยกลับมาหรอ”
บางทีก็เพ้อบอกว่า “เค้าไม่พอใจนะ พวกเค้าเดินไม่สะดวก เราไปขวางเค้า”
ก่อนเสียชีวิต จะเป็นลักษณะนี้ค่ะ พูดทำนองนี้ตลอด น้าวิก็มาเล่าให้อุ้ยฟัง อุ้ยก็บอกว่า “พี่มันป่วย เพ้อไปเอง”
ทำนองเห็นภาพหลอน ทำนองนั้น คือเหมือนพูดปัดๆไป ไม่ให้กลัวกัน
จนถึงช่วงสุดท้ายที่จะสิ้นใจ แม่อุ้ยเล่าให้แม่ฟังว่า ท่าทางน้าสมดูหวาดกลัว แม่อุ้ย ก็บอก “ท่องพระอรหันต์สิลูก ท่องอรหันต์”
ท่องได้ สองสามครั้งก็หยุดนิ่งจนสิ้นใจไปเอง
หลังจากแม่อุ้ยส่งข่าวว่าน้าสมเสียแล้วให้ญาติที่สมุทรปราการรู้ ญาติๆก็พากันกลับบ้าน งานศพจัดงานศพที่บ้านหลังนั้น
น้านนท์ น้องชายคนเล็ก บวชหน้าไฟให้พี่ชาย ทุกคนเสียใจมากค่ะ เพราะน้าสมเป็นที่รักของพ่อแม่ รักพี่น้อง ร่วมถึงหลานๆด้วย
มีเงินเท่าไรให้หมด งานศพผ่านไปอย่างเศร้าโศก แต่ไม่มีใครคิดอะไร คิดว่าเค้าป่วยตายไปเอง
หลังจากงานเผาศพน้าสม ก็แยกยายกันไป ต่างคนต่างกับไปทำงานปกติ ผ่านไปประมาณ 1 เดือน ……
พ่อเรามารับที่โรงเรียนตอนบ่ายๆค่ะ พ่อเราไปคุยกับครูและพาเรากลับห้องพัก เราถามว่า “ทำไมมีอะไรหรอพ่อ”
พ่อเราไม่ตอบค่ะ ถึงห้องพัก แม่เรา พี่สาวเราคนที่สอง น้านนท์ อยู่พร้อมหน้ากำลังเก็บเสื้อผ้า แม่บอกให้เราไปอาบน้ำและเก็บเสื้อผ้า
กลับบ้าน น้าวิเสียแล้ว ผูกคอตายในบ้าน เรางงค่ะร้องไห้และถามแม่ว่า “ทำไม” เราเสียใจแบบเด็กๆคะเพราะน้าวิช่วยแม่เลี้ยงเจ้าของกระทู้มา
และไปส่งโรงเรียนตอนเรายังเด็กๆ เราก็พากันยกครัวกลับไปงานศพ โดยรถกระบะลูกพี่ลูกน้องแม่เรา ยกเว้นพี่สาวคนโตที่เพิ่งคลอดลูก อยู่สมุทรปราการ
ไปถึงเค้าก็ตั้งศพแล้วค่ะที่ต่างจังหวัด จะตั้งศพสวดที่บ้าน(จะตายธรรมชาติ หรือตายโหงสวดที่บ้านหมดคะ)
เจอแม่อุ้ยเค้าก็เล่าเหตุการณ์กัน ว่าไม่เห็นน้าวิช่วงบ่ายๆก็ไม่มีใครสสนใจ ต่างคนต่างทำงานกัน
จนพ่ออุ้ยกลับมาจากป่า(คนแถวบ้านเค้าชอบไปเที่ยวหาของป่ากันคะ ทุกวันนี้พ่อเราก็ยังไปอยู่) กลับมาบ้าน
เปิดประตูมาเห็นน้าสม ยืนอุ้มน้าวิ โดยที่มีกองที่นอน ล้มอยู่ข้างๆ(ที่นอนอัดนุ่น พับตอน แบบต่างจังหวัดนะค่ะ น้าวิเอามาต่อๆกัน จนสูงแทนเก้าอี้)
ด้วยความตกใจ ที่เห็นน้าสมที่ตายไปแล้ว(หรือวิญญาณ) คิดว่าตาฝาด เลยตะโกนเสียงหลง “เฮ้ยยย…อีวิ”
ร้องไห้โว้ยว้ายและวิ่งเข้าไปเอาเก้าอี้ชั้นบน และใช้มีดตัดเชือกลงมา น้าวิร่วงตกลงมา(น้าเค้ารูปร่างอวบค่ะ พ่ออุ้ยตัวเล็กกว่าอุ้มไม่ไหว)
และวิ่งออกมาบ้านตรงข้ามฝั่งถนนให้คนช่วย แต่น้าเค้าสิ้นใจไปแล้ว หลังจากจัดการซื้อโล่งและบอกสัปเหร่อให้มาช่วยจัดการ
ก็จัดงานศพคะ ตอนนี้เริ่มแล้วคะคนในหมู่บ้านก็พูดกันแล้วว่ามีอะไรผิดปกติ เพราะน้าเราตายในบ้านติดๆกันยังไม่ถึงเดือนเลย
แม่อุ้ยเริ่มแล้วระเวง แม่ของเราเชื่อนะคะ แต่น้านนท์กับพ่ออุ้ยไม่เชื่อ ตามระเบียบคะน้านนท์
บวชหน้าไฟให้พี่สาว พระที่บวชยังแซวว่า “แหม่ไม่ต้องโกนผมหลอก ผมยังไม่ขึ้นเลย” งานศพผ่านไปด้วยดี….ไม่มีอะเกิดขึ้น
ความรู้สึกเราตอนนั้นนะคะ คือเป็นห่วงแม่เราค่ะ เพราะแม่เราก็เป็น 1 ในพี่น้อง กลัวมาก
กลัวแม่เป็นอะไรถามแม่อุ้ยถามกับพี่สาวตลอด “ว่าแม่จะเป็นอะไรไหม” พ่อเราก็กังวลค่ะ แต่แม่เราปลอบใจว่า ไม่เป็นไรแม่ดวงแข็ง
แม่เราเกิดวันอังคารเค้าบอกดวงจะแข็งเรื่องแบบนี้(ไม่รู้เกี่ยวหรือเปล่า)
หลังจากที่เผาศพน้าวิเสร็จนะคะ น้านนท์ขออยู่บ้านต่ออีก 1 อาทิตย์หลังสึกพระ เพราะเค้ามีเพื่อนที่โน่นเยอะค่ะ โตมาที่โน่น
ว่างๆเค้าก็แวะไปหาเพื่อน ไปเล่นบ้านเพื่อน ปีนั้นหน้านนท์อายุ 25 ปีเบญจเพศ พอเค้ากลับมาที่สมุทรปราการค่ะ
มาเล่าให้แม่เราฟังว่ามีพ่อเพื่อนของเค้าทักว่า “รายต่อไปละนะ อยู่ที่บ้านนี่แหละ บวชซักสามเดือนค่อยกลับ ถ้าไม่งั้นเมิงตายโหงแน่”
น้านนท์ด่าเค้าค่ะ ว่าปากหมา มาแช่งเค้า โมโห แม่เราก็บอกฟังแล้วอึ้งค่ะ หน้าซีด จะเป็นลม เลยบอกน้องว่า
“เค้าทักก็ฟังๆไว้บ้าง” แต่จริงๆแล้วน้านนท์ก็กลัวค่ะ อยากอยู่บวช แต่อยากกลับมาหาแฟนที่สมุทรปราการ><
แม่อุ้ยบอกให้บวชอยู่บ้าน เค้าก็ไม่บวช รีบกลับสมุทปราการ วันอาทิตย์แม่เราก็พาน้านนท์ไปทำบุญ
น้านนท์ก็บอกว่าแม่อุ้ยให้เศษผ้าถุงแม่มา ให้เก็บติดตัวไว้ตลอดและพูดกับน้านนท์ว่า “บุญแม่จะรักษานะลูก”
**แก้ไขคำผิดจ้า
***แก้ไข การใช้ ค่ะ คะ