เรื่อง "บังเอิญ" หรือ "พรหมลิขิต" ก็ อมยิ้ม ><

เหตุการณ์เกิดขึ้นราว 5 เดือนก่อน...

          เริ่มแรกคือเสาร์ที่  10 ม.ค. ที่ผ่านมา  จขกท.  ตั้งใจจะไปวัดเล่งเน่ยยี่และวันอาทิตย์ที่ 11 ม.ค. จะไปบริจาคเลือดเพราะเป็นสัปดาห์ที่ว่างพอดี จึงหาแนวร่วม ถามไปถามมามีเพื่อนรุ่นพี่คนนึงสนใจจะไปด้วย เลยนัดกับเพื่อนรุ่นพี่ว่าจะไปวัดเล่งเน่ยยี่สองแล้วเราก็ชวนน้องอีกสองคนคือน้อง N (รูมเมทเรา) กับน้อง G ไปด้วยกันเป็นเพื่อน ( G เคยไปวัดเล่งฯสองและรู้ว่าต้องนั่งรถสายไหน) นัดล่วงหน้าประมาณ 4-5 วัน ตั้งใจจะไปสายๆของวันที่ 10 ม.ค. แล้วพอถึงวันนัดเพื่อนรุ่นพี่คนนี้ก็ไม่สะดวกขอยกเลิก เราก็เลยถาม N กับ G ก็บอกว่าตื่นไม่ไหวเพราะเมื่อคืนนอนดึกมาก นอนเกือบเช้า เพราะเป็นช่วงรับปริญญา น้องเค้ามีงานเลี้ยงฉลองกันเกือบทุกคืน เราเลยเปลี่ยนแผน ไม่ไปวัดเล่งเน่ยยี่ดีกว่าเพราะยังไม่เคยไปแล้วก็ไม่อยากไปคนเดียว เลยเปลี่ยนแผนเป็นไปบริจาคเลือดที่ รพ. รามาฯ (เพราะปกติก็มาบริจาคที่นี่เป็นประจำอยู่แล้วทุกสามเดือน) แล้ววันถัดไปค่อยไปวัดเล่งเน่ยยี่

           เราไปถึง รพ. รามาฯ ราวๆเที่ยงครึ่งก็ตรวจเช็คเลือด ความดัน น้ำหนัก ทุกอย่างปกติสามารถบริจาคเลือดได้ ก็จัดการบริจาคเลือด นอนพัก จนเสร็จทุกอย่างก็บ่ายโมงกว่าๆ แล้วก็ลงมารอรถที่ป้ายรถเมล์ ตั้งใจจะนั่งรถสายอะไรก็ได้ไปอนุสาวรีย์ชัยฯ แล้วค่อยต่อรถอีกที ยืนรออยู่สักพักรถก็ไม่มา ก็นึกในใจว่าวันนี้เราก็ไม่ได้รีบไปไหน มีนัดถ่ายรูปกับน้องบัณฑิตชมรมฯก็เย็นๆค่ำๆ มีเวลาอีกเยอะแยะ เดินเล่นๆไปอนุสาวรีย์ดีกว่า คิดแล้วก็เดินข้ามสะพานลอยไปอีกฝั่งที่ตรงข้ามกับ รพ. รามาฯ แล้วก็เดินเลียบรั้วไปเรื่อยๆ เวลาบ่ายกว่าๆกับแดดวันนั้นก็ร้อนใช่เล่นนะ เดินไปสักพักผ่านหน้าประตูทางเข้าโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ เหมือนสมองมันสั่งการอัตโนมัติให้เราต้องหยุดแล้วมองเข้าไป...

           เรามองเข้าไปข้างในเห็นอาคาร ด้านข้างมีป้อม มี รปภ. มีจุดให้ติดต่อ เหมือนสถานที่ราชการทั่วไป ตอนนั้นเราก็ชะงักอยู่ตรงปากทางเข้าราวสัก 10 วิ กวาดสายตามองทุกอย่างที่อยู่ในจุดที่สายตามองเห็น ความคิดผ่านเข้ามาอีกแว๊บ รู้ตัวอีกทีเราก็เดินต่อมาตามแนวฟุตบาท ก็งงๆเหมือนกันนะว่าตอนนั้นกำลังสงสัยอะไรอยู่ ผ่านเลยทางเข้ามาสัก 3-4 ก้าว ก็เจอป้ายใหญ่ “โรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ” ยังมีรายละเอียดอื่นๆอีกนะในป้าย เราอ่านจนจบครบหมดทุกตัว มันเหมือนมีอะไรสักอย่างมาย้ำความคิดเราว่าไม่ต้องลังเลแล้ว อยากรู้ก็เข้าไปเลย!!! แล้วเราก็กลับหลังหันเดินย้อนกลับมาที่ปากทางเข้า กะว่าจะตรงไปหา รปภ. ที่ยืนอยู่แถวๆป้อม คือตอนนั้นเหมือนมีคำถามเป็นร้อยข้อที่อยากรู้ เดินไปด้วยก็คิดไปด้วยว่าจะถามอะไรบ้าง ระหว่างที่เรากำลังจะเดินไปที่ รปภ. ก็มีรถเก๋งคันนึงเลี้ยวเข้ามาในรั้วโรงเรียนฯ เราก็หยุดให้รถผ่านไปก่อนแล้วก็ข้ามมาหา รปภ. เปิดฉากคำถาม

“วันนี้ โรงเรียนเปิดให้คนเข้ามาได้มั้ยคะ”   “เปิดให้เข้ามาได้ครับ คุณเป็นครูอาสาเหรอ?”
ครูอาสา??  เราทวนคำถามของ รปภ. เบาๆ พร้อมกับหน้างง “อ๋อๆ  ยังไม่ได้เป็นคะ แต่สนใจจะเป็นคะ”
“งั้นต้องมาแลกบัตรก่อนนะครับ”

เรายื่นบัตร ปชช. ออกมาแลกจะได้ป้ายติดหน้าอก ว่า “อาสาสมัคร” แล้วต้องทำอะไรบ้างอะคะ? ต้องสอนยังไง? แบบไหน? ยังไม่เคยสอนเพิ่งมาครั้งแรกก็สอนได้เหรอคะ? จะสอนได้เลยเหรอคะ? รปภ. เริ่มทำหน้ายิ้มแปลกๆ “เอ่อ... เดี๋ยวถามคนโน้นเลยนะครับ สงสัยอะไรก็ถามเขาได้เลย” เราก็ไม่รอช้าหันไปตามทิศทางที่ รปภ. ชี้ไป เห็นผู้ชายคนนึงใส่เสื้อสีเขียว ยืนอยู่ข้างๆรถกำลังหันหลังมาทางที่เรากับ รปภ. ยืนอยู่ นั่นคือรถคันที่เลี้ยวเข้ามาในโรงเรียนฯตอนที่เรากำลังเดินย้อนกลับมา เก๋งนิสสันคันที่เราหยุดให้ขับผ่านเข้าไปก่อนนี่นา ตอนนั้นดูเหมือนเค้ากำลังเปิดประตูด้านหลังรถแล้วก้มหยิบของบางอย่าง...

           จังหวะชีพจรเราเริ่มผิดปกติแล้ว จุดที่เรายืนอยู่แดดร้อนนะ ร้อนมากด้วย สติมี แต่เหมือนสมาธิฟุ้ง หลายๆอย่างเริ่มเสียจังหวะตั้งแต่วินาทีแรกที่เราหันไป!!!  หลายคำถามผุดขึ้นในหัวเรา เค้าเป็นใคร? เป็นครูอาสาเหรอ?  เป็นผู้อุปถัมถ์โรงเรียน? เป็นเจ้าหน้าที่ของโรงเรียน?  นี่เราต้องไปถามสิ่งที่อยากรู้จากเค้าจริงๆเหรอ? ทำไมต้องถามเค้า? คือเราเองก็งงว่าเราจะสงสัยอะไรมากมาย แล้วสียง รปภ. ก็เรียกสติเรากลับมา “นั่นไงคุณ ไปหาเค้าเลย แล้วเดี๋ยวก็เดินไปกับเค้า อยากรู้อะไรก็ถามเค้าได้เลยนะ มาๆๆ” รปภ. พูดจบก็เดินนำหน้าพาเราไปหาชายเสื้อเขียวคนนั้น ที่ตอนนี้ในมือเค้าทั้งสองข้างเต็มไปด้วยถุงหิ้ว ตอนนั้นเราก็ไม่ทันได้สังเกตนะว่าของที่หิ้วนั้นเป็นอะไร แต่เดาเอาว่านะจะเป็นขนมกับพวกเครื่องเขียน

            ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ เรานี่ประม่าเหมือนมึนๆ งงมากว่าเกิดไรขึ้นกับตัวเอง เหตุการณ์ตรงหน้ามันมีอะไร ทำไมเราถึงเสียจังหวะได้ขนาดนี้ คำถามที่สงสัยเกี่ยวกับตัวเค้าเมื่อกี้กะเจิดกระเจิงหมด “... เดี๋ยวฝากอาสาสมัครไปด้วยนะ เค้าจะมาช่วยสอน” เสียง รปภ. เรียกชื่อและพูดกับชายเสื้อเขียวเป็นจังหวะเดียวกันกับที่เค้าหันหน้ามา >< แล้วเราก็ได้เห็นหน้าชายเสื้อเขียวคนนั้นแบบใกล้ๆ เต็มๆ ชัดๆ อย่างเป็นทางการ ^^ เหมือนความคิดหยุดทำงานไป 5 วิ ที่เสียจังหวะอยู่แล้วยิ่งเสียมากขึ้นกว่าเดิมอีก “อยากรู้อะไรถามเค้าได้เลยนะ” รปภ. หันมาย้ำกับเรา แล้วก็มีเสียงชายเสื้อเขียวตอบกลับมาประมาณว่าถ้าถามเกี่ยวกับโรงเรียน เค้าไม่ค่อยรู้เรื่องรายละเอียด ต้องไปถามเจ้าหน้าที่ข้างในนะ รปภ. ก็บอกว่า “นั่นแหละพาเข้าไปด้วยนะ” ช่วงเวลาที่ รปภ. คุยกับชายเสื้อเขียว สมองเรายังทำงานอยู่นะ 55555 เรารีบประเมินคร่าวๆด้วยสายตาว่าชายคนนี้น่าจะเป็นรุ่นพี่เรา คงแก่กว่าเราสัก 2- 3 ปี เต็มที่ก็น่าจะไม่เกิน 5 ปี รปภ. ส่งเราแค่ครึ่งทางเหมือนกับคิดว่ามีคนรับไม้ต่อแล้วหน้าที่ของเขาก็หมดลง แล้วเราก็เดินต่อไปที่อาคารติอต่อสอบถามกับชายเสื้อเขียวแค่ 2 คน ^^

           ระยะทางจากจุดด้านหน้าที่จอดรถไปยังอาคารติดต่อสอบถามสำหรับอาสาสมัครมันใกล้นิดเดียวเองนะ เมื่อเค้าไม่ถามไถ่อะไร เราก็แอบคิดในใจว่า นี่จะไม่เฟรนด์ลี่มีอัธยาศัยไมตรีกันเลยเหรอ!!! เมื่อเค้าเงียบเราก็เปิดฉากก่อนก็ได้ เลยอาศัยความมโนที่คิดว่าเค้าต้องแก่กว่าเราแน่ๆเปิดประเด็นคำถามพร้อมกับหันไปมองหน้ารอฟังคำตอบ
“พี่มาที่นี่บ่อยหรอค่ะ ?” “เอ่อ...ก็มาอยู่เรื่อยๆ”
“เป็นอาสาสมัครเหรอคะ” “ครับ” ...เราก็แอบสงสัยต่อว่าทำไมเค้าไม่ต้องแลกบัตร ดูมีอภิสิทธิ์นะเนี้ย เป็นใครกันแน่???
“แล้ววันนี้พี่มาสอนด้วยเหรอค่ะ” “อ่อ ครับ”
“แล้วที่นี่ปกติสอนวันไหน เวลาไหนบ้างอ่ะค่ะ” “เดี๋ยวรอถามด้านในดีกว่านะ”  
ตอนนั้นเค้าเริ่มมองเราแปลกแบบว่าเหมือนกลัวๆเรายังไงไม่รู้ ด้วยความอยากรู้และคิดว่านี่ไม่ใช่การมาครั้งแรกของเค้าคงจะรู้หรือตอบอะไรเราได้บ้างแหละเราเลยถามต่อ
“แล้วถ้ามาเป็นอาสาสมัครนี่ ต้องทำอะไร ยังไงบ้างอะค่ะ”  “อ๋อ เดี๋ยวรอถามด้านในดีกว่านะ”  

          จบเลยเรา!!! คำถามต่อไปที่นึกไว้ต้องปล่อยให้ลอยไปกับแสงแดดร้อนๆตอนบ่ายๆเลยคะ ถามไรไปก็ตอบแค่ “ครับ” “เดี๋ยวรอถามด้านในดีกว่านะ”   - - ในความคิดเรานะ ท่าทางเค้าดูเหมือนกลัวเรา แบบว่าหลอนเรายังไงไม่รู้ เหมือนคิดว่าเราเป็นโรคจิต ไม่น่าไว้ใจอะไรประมาณนั้นเลย โอเค!!! ว่าไงก็ว่าตาม ถามข้างในก็ถามข้างใน เราเคารพการตัดสินใจของเพื่อนร่วมทางอยู่แล้ว อิอิ พอเดินไปถึงอาคารเค้าก็เปิดประตูเข้าไปในห้องสำหรับติดต่อเป็นอาสาสมัครซึ่งเป็นห้องกระจกใส มีพี่เจ้าหน้าที่อยู่ในนั้น  2 คน ตอนนั้นเรายืนอยู่นอกห้อง เราได้ยินเสียงที่ชายเสื้อเขียวพูดกับพี่เจ้าหน้าลอดออกมาข้างนอกประมาณว่า “เขาจะมาเป็นอาสาสมัคร อยากทราบรายเอียดหลายอย่าง จะให้เข้ามาคุยกับพี่ๆนะ” ดูเหมือนพี่ๆเจ้าหน้าที่ก็ตกลงตามนั้น ชายเสื้อเขียวเดินออกมาจากห้องแล้วบอกให้เราเข้าไปคุยกับพี่ๆด้านใน เราก็เข้าไปในห้อง...

           ระหว่างที่เรากำลังแนะนำตัวเองกับพี่ๆเจ้าหน้าที่ อยู่ๆก็ได้ยินเสียงจากด้านนอกห้อง เป็นเสียงที่น้องๆผู้พิการทั้งชายหญิงเรียกชื่อใครบางคนพร้อมๆกัน เราก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมอง ว้าววววว น้องๆหลายคนติดรอยยิ้มพร้อมกับมุ่งหน้าตรงไปหาใครบางคน ^________^ คือภาพนั้นคือ ฟิลลิ่งเราไปไกลมาก เห็นแล้วรู้สึกว่าโลกนี้ยังสวยงามและน่าอยู่มากๆ ในความคิดเรานะภาพในโมเม้นนั้นมันสื่อออกมาหลายอย่างเลย การที่น้องๆกลุ่มนั้นยิ้มแย้ม เดินเข้ามาหาแล้วเรียกชื่อเป็นเสียงเดียวกันราวกับเดินอออกมารับดาราคนดังยังไงยังงั้น แสดงว่าคนๆนั้นต้องมาบ่อย บ่อยถึงขั้นที่จะสามารถสนิทสนมเหมือนกับเป็นเพื่อนพี่น้องร่วมครอบครัวเดียวกัน ซึ่งนั่นมันไม่ใช่เรื่องง่ายๆเลย ไม่ใช่สักแต่ว่ามาถึง ทำภารกิจเสร็จสิ้นแล้วก็กลับ แต่นั่นคือการมาด้วยใจ มาด้วยความตั้งใจ เอาใจมาแลกใจก็เลยได้ใจน้องๆกลับไปด้วย แล้วใครคนนั้นก็คือ "ชายเสื้อเขียว"

          ตอนนั้นเราเองก็แอบคิดไปต่างๆนานานะว่า วัยรุ่น วัยหนุ่มสาว มีสิทธิจะเลือกอะไรก็ได้ จะทำอะไรก็ได้ จะทำเพื่อใครก็ได้ ขณะที่หลายคนกำลังสนุก มีความสุขอยู่ที่ไหนสักที่ อาจจะกำลังสร้างความสุขให้ตัวเองอยู่ แต่ตอนนี้เรามองไปข้างนอกห้องกระจก เห็นหนุ่มสาวหลายคนกำลังสร้างความความสุขให้กับน้องๆผู้พิการ กำลังแบ่งปันน้ำใจสร้างสรรค์สิ่งดีๆให้แก่กัน ให้สังคมนี้น่าอยู่มากขึ้น รวมถึงชายเสื้อเขียวคนนั้น คนที่ทำให้ลมหายใจเราผิดจังหวะไปจากเดิมตั้งแต่วินาทีแรกที่เห็น คนที่ดูเหมือนธรรมดาแต่ไม่ธรรมดา บอกตรงๆว่าเราอึ้งมากแต่...ประทับใจมากเช่นกัน ^^ ตอนนั้นเราถึงกับภาวนาในใจเลยว่า ถ้าโชคชะตาจะนำพา ขอให้ได้รู้จักเพื่อนใหม่คนนี้ด้วยนะ “ฉั น อ ย า ก รู้ จั ก” ขอให้ได้รู้จักกัน ^__^

***หลังจากเข้าไปในห้องเราก็แนะนำตัว ทำความรู้จักกับพี่ๆคร่าวๆ แล้วก็สอบถามรายเอียดเกี่ยวกับโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพฯ ได้ข้อมูลแบบสรุปดังนี้
          การมาเป็นอาสาสมัคร คือ อาสาสอนการบ้านให้กับน้องๆผู้พิการทางสายตา ซึ่งสามารถโทรแจ้งนัดเวลาล่วงหน้าหรือจะเข้าไปที่โรงเรียนโดยตรงก็ได้ วันธรรมดาสอนได้หลังจากบ่าย 3 โมงเย็นเป็นต้นไป ส่วนวันเสาร์-อาทิตย์ ได้ตลอดเวลา แล้วแต่สะดวก ในส่วนของการสอนขึ้นอยู่กับว่าในแค่ละวันจะมีน้องๆที่มีการบ้านจำนวนมากน้อยแค่ไหน บางวันก็มีอาสาสมัครมาเยอะ แต่น้องๆไม่ค่อยมีการบ้าน บางวันน้องๆหลายคนมีการบ้านแต่อาสาสมัครมีน้อย ก็ต้องช่วยๆกัน ในเวลาที่ทำการสอนการบ้านให้น้องๆ ห้ามอาสาฯรับประทานอาหาร ขนม การแต่งกายก็แต่งกายสุภาพ ห้ามใส่เสื้อกล้าม ห้ามกางเกงขาสั้น รวมถึงห้ามเสื้อผ้าที่ไม่เหมาะสมกับกาลเทศะและสถานที่ ในเรื่องการเตรียมตัวสอน ทางโรงเรียนจะมีแบบเรียนไว้ให้สำหรับอาสาฯอยู่แล้วและจะจัดให้อาสาฯช่วยสอนการบ้านให้น้องๆในวิชาที่อาสาฯถนัด หลังจากสอนเสร็จอาสาฯจะพูดคุยส่วนตัวทำความรู้จักอะไรกับน้องๆก็ได้ จะเล่นดนตรีหรือร้องเพลงด้วยก็ได้ และอื่นๆก็จะเป็นมารยาท การพูดจาสุภาพและการปฏิบัติตัวที่เหมาะสม ในส่วนของกิจกรรมอย่างอื่น เช่น การบริจาคของ การเลี้ยงอาหาร ต้องติดต่อสอบถามไปยังโรงเรียนฯก่อนเพื่อความสะดวกและเป็นไปตามระเบียบ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่