ผมเป็นคนที่มีปัญหาตามหัวข้อกระทู้ข้างต้น "เฟลไปก็ไม่เป็นไร" ถึงกับเคยไปหาจิตแพทย์ หลังจากได้รับการแนะนำจากอาจารย์ที่ปรึกษา เนื่องจากเรียนไม่จบภายในเกณฑ์ เพราะติด F ซ้ำซาก
ที่มาที่ไป
ไม่แน่ใจว่าต้นสายปลายเหตุมาจากที่ใด แต่มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว คือแทบจะไม่เคยซีเรียสอะไรเกิน 15-30 นาทีเลย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญกับชีวิตขนาดไหน (หมายความว่า ระหว่าง 15-30 นาทีนั้น บางเรื่องก็ซีเรียสมากๆ บางเรื่องก็ซีเรียสนิดเดียว) แต่หลังจากนั้น เหมือนจะมีกลไกที่ทำให้หายซีเรียสไปได้เอง
ข้อดี
จริงอยู่ที่ว่า สุขภาพจิตของคนที่มีอาการดังกล่าวนี้ อาจจะดีกว่าสุขภาพมนุษย์ทั่วไป เนื่องจากไม่มีผลกระทบจากความเครียดระยะยาว แต่...
ข้อเสีย
ข้อเสียนั้นมีมากกว่า เรียกได้ว่ายาวไปตลอดชีวิตเลย นั่นคือ ความทะเยอทะยานต่ำ ทำให้ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้อย่างสมบูรณ์ เหมือนผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง เช่นพวกผู้บริหารระดับสูง หรือผู้ประสบความสำเร็จต่างๆ
มีเรื่องอะไรบ้าง
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตผมก็เช่น..
เนื่องจากคณะที่ผมเรียน จะปล่อย F เยอะมาก ประมาณ 30-40% ของ นศ ที่ลงทะเบียน และผมก็เป็นคนที่โง่วิชานี้ตั้งแต่ ม.ปลาย (ได้เกรด 0-2)
แต่จะหาความพยายามที่ผมจะสู้กับวิชานี้ไปจะถึงมิดเทอม แทบจะไม่มีเลย คือลงทะเบียนไปเกือบ 10 ครั้ง เพิ่งมาสู้ตอนปี 5 ครั้งนึง กับตอนเทอมสุดท้าย (ปี 7 ซัมเมอร์ ถ้าไม่จบก็คือรีไทร์) เพราะโดนบังคับ ก็ไฟท์แบบไม่ค่อยเต็มใจ นอกจากนั้น เทอมอื่นๆคือสู้มาจนถึงเกือบมิดเทอม พอเข้าสอบแล้วคะแนนต่ำ (แบบไม่เกิน 20 เต็ม 100) ก็จะปล่อยเลย คือไม่เข้าเรียน ไม่แตะหนังสือ จนบางเทอมถึงกับไม่เข้าสอบไฟนอลด้วย
แม้แต่เรื่องผู้หญิง ปกติผมจะไม่ทิ้งใครก่อน แต่ถ้าผู้หญิงคิดจะทิ้งผม คือไปได้เลย ผมก็จะซีเรียสมากๆอยู่เป็นพักๆ (พักละไม่เกิน 15-30 นาทีเช่นเดิม) แต่รวมๆจะเป็นอยู่ 1-2 อาทิตย์ ผมจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะเสร็จ ยิ่งคิดถึงผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งเครียด ก็ยิ่งวิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พอวิ่งไปวิ่งมาเหนื่อย ก็กลับมาอาบน้ำนอน จบ... แล้วกระบวนการในสมองก็จะบอกว่า เขามีความสุขกับทางที่เขาเลือกแล้ว เราไม่ควรทำอะไรเพิ่มเติมอีก..
ผมเชื่อว่าคนมีอาการแบบผม ในสังคมไทยอาจจะมีไม่เยอะ แต่ก็น่าจะมีบ้าง
บางครั้งคนแบบนี้ รู้ทั้งรู้ ว่าจริงๆเราก็ทำได้ มุ่งมั่นได้ ประสบความสำเร็จได้
แต่เอาเข้าจริง อาการ "เฟลไปก็ไม่เป็นไร" ก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ
ทำให้ผมสงสัยว่า ปกติจิตแพทย์จะแนะนำยาหรือฮอร์โมนใดๆ ที่เป็นทางเลือกเพื่อช่วยให้เขาเหล่านี้ได้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้างครับ
อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่หลายคนคิดว่าไม่ต้องใช้ยาช่วย แต่คนที่มีอาการต่างๆเหมือนที่ผมกล่าวมาข้างต้น จะรู้ดีว่า มันรู้สึกแย่แค่ไหน ที่เห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เจริญเติบโตก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว จนบางคนแต่งงานไปแล้วด้วยซ้ำ แต่คนอย่างผมกลับย่ำอยู่กับที่ เหมือนยังอายุ 10 ปลาย 20 ต้นๆ (ปีนี้ผมอายุ 26 แต่ความสำเร็จถือว่าต่ำที่สุดถ้าเทียบกับบรรดาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ทั้ง ม.ปลาย และมหาลัย ทั้งหมด ไม่ได้เทียบกับบางคนนะครับ แต่เทียบกับทุกคนเลย !!)
อาการ "เฟลไปก็ไม่เป็นไร" (ปัญหาชีวิตระยะยาว)
ที่มาที่ไป
ไม่แน่ใจว่าต้นสายปลายเหตุมาจากที่ใด แต่มารู้ตัวอีกทีตอนอยู่มหาวิทยาลัยแล้ว คือแทบจะไม่เคยซีเรียสอะไรเกิน 15-30 นาทีเลย ไม่ว่าเรื่องนั้นจะสำคัญกับชีวิตขนาดไหน (หมายความว่า ระหว่าง 15-30 นาทีนั้น บางเรื่องก็ซีเรียสมากๆ บางเรื่องก็ซีเรียสนิดเดียว) แต่หลังจากนั้น เหมือนจะมีกลไกที่ทำให้หายซีเรียสไปได้เอง
ข้อดี
จริงอยู่ที่ว่า สุขภาพจิตของคนที่มีอาการดังกล่าวนี้ อาจจะดีกว่าสุขภาพมนุษย์ทั่วไป เนื่องจากไม่มีผลกระทบจากความเครียดระยะยาว แต่...
ข้อเสีย
ข้อเสียนั้นมีมากกว่า เรียกได้ว่ายาวไปตลอดชีวิตเลย นั่นคือ ความทะเยอทะยานต่ำ ทำให้ไม่สามารถเจริญก้าวหน้าได้อย่างสมบูรณ์ เหมือนผู้ที่มีความทะเยอทะยานสูง เช่นพวกผู้บริหารระดับสูง หรือผู้ประสบความสำเร็จต่างๆ
มีเรื่องอะไรบ้าง
ตัวอย่างที่เกิดขึ้นในชีวิตผมก็เช่น..
เนื่องจากคณะที่ผมเรียน จะปล่อย F เยอะมาก ประมาณ 30-40% ของ นศ ที่ลงทะเบียน และผมก็เป็นคนที่โง่วิชานี้ตั้งแต่ ม.ปลาย (ได้เกรด 0-2)
แต่จะหาความพยายามที่ผมจะสู้กับวิชานี้ไปจะถึงมิดเทอม แทบจะไม่มีเลย คือลงทะเบียนไปเกือบ 10 ครั้ง เพิ่งมาสู้ตอนปี 5 ครั้งนึง กับตอนเทอมสุดท้าย (ปี 7 ซัมเมอร์ ถ้าไม่จบก็คือรีไทร์) เพราะโดนบังคับ ก็ไฟท์แบบไม่ค่อยเต็มใจ นอกจากนั้น เทอมอื่นๆคือสู้มาจนถึงเกือบมิดเทอม พอเข้าสอบแล้วคะแนนต่ำ (แบบไม่เกิน 20 เต็ม 100) ก็จะปล่อยเลย คือไม่เข้าเรียน ไม่แตะหนังสือ จนบางเทอมถึงกับไม่เข้าสอบไฟนอลด้วย
แม้แต่เรื่องผู้หญิง ปกติผมจะไม่ทิ้งใครก่อน แต่ถ้าผู้หญิงคิดจะทิ้งผม คือไปได้เลย ผมก็จะซีเรียสมากๆอยู่เป็นพักๆ (พักละไม่เกิน 15-30 นาทีเช่นเดิม) แต่รวมๆจะเป็นอยู่ 1-2 อาทิตย์ ผมจะไปวิ่งที่สวนสาธารณะเสร็จ ยิ่งคิดถึงผู้หญิงคนนั้นก็ยิ่งเครียด ก็ยิ่งวิ่งเร็วมากขึ้นเรื่อยๆ พอวิ่งไปวิ่งมาเหนื่อย ก็กลับมาอาบน้ำนอน จบ... แล้วกระบวนการในสมองก็จะบอกว่า เขามีความสุขกับทางที่เขาเลือกแล้ว เราไม่ควรทำอะไรเพิ่มเติมอีก..
ผมเชื่อว่าคนมีอาการแบบผม ในสังคมไทยอาจจะมีไม่เยอะ แต่ก็น่าจะมีบ้าง
บางครั้งคนแบบนี้ รู้ทั้งรู้ ว่าจริงๆเราก็ทำได้ มุ่งมั่นได้ ประสบความสำเร็จได้
แต่เอาเข้าจริง อาการ "เฟลไปก็ไม่เป็นไร" ก็เกิดขึ้นเองโดยไม่ตั้งใจ
ทำให้ผมสงสัยว่า ปกติจิตแพทย์จะแนะนำยาหรือฮอร์โมนใดๆ ที่เป็นทางเลือกเพื่อช่วยให้เขาเหล่านี้ได้ เพื่อให้ประสบความสำเร็จในชีวิตบ้างครับ
อาจฟังดูเหมือนเป็นเรื่องที่หลายคนคิดว่าไม่ต้องใช้ยาช่วย แต่คนที่มีอาการต่างๆเหมือนที่ผมกล่าวมาข้างต้น จะรู้ดีว่า มันรู้สึกแย่แค่ไหน ที่เห็นเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน เจริญเติบโตก้าวหน้าไปถึงไหนต่อไหนแล้ว จนบางคนแต่งงานไปแล้วด้วยซ้ำ แต่คนอย่างผมกลับย่ำอยู่กับที่ เหมือนยังอายุ 10 ปลาย 20 ต้นๆ (ปีนี้ผมอายุ 26 แต่ความสำเร็จถือว่าต่ำที่สุดถ้าเทียบกับบรรดาเพื่อนๆรุ่นเดียวกัน ทั้ง ม.ปลาย และมหาลัย ทั้งหมด ไม่ได้เทียบกับบางคนนะครับ แต่เทียบกับทุกคนเลย !!)