เราก็อยากเล่าประสบการณ์วัยเบญจเพสของตัวเองบ้างค่ะ

กระทู้สนทนา
ก่อนอื่น ขอออกตัวก่อนเลยว่า เรื่องที่เล่าทั้งหมดนี้เป็นเรื่องจริงทุกประการ ช่วงเวลาอาจคลาดเคลื่อนบ้าง เพราะไม่ได้จำวันที่แบบเป๊ะๆ และถ้าใครคิดว่าจะมีผีแหกอก ดึงขาอะไรทำนองนี้ ขอแนะนำให้ปิดไปเลยค่ะ เพราะเราไม่เคยเจอจังๆแบบนั้น แต่ถ้าเป็นเรื่องลี้ลับที่พอให้หลอนนิดๆก็เชิญอ่านกันตามสบายค่าาาา

ขอเล่านิสัยก่อนนะคะ จะได้ไม่งงในการกระทำแปลกๆแต่ละอย่างของเรา่ ปกติเราเป็นคนกลัวผีค่ะ เชื่อเรื่องวิญญาณ อะไรทำนองนี้ แต่ไม่เชื่อเรื่องโชคลางและการดูดวงค่ะ ส่วนตัวก็เคยมีประสบการณ์ที่เรียกว่าผีอำหรือผีเข้าฝันมาบ้าง แต่ไม่บ่อยและไม่ได้น่ากลัวอะไร ดังนั้นเวลาเกิดเรื่องอะไรขึ้นมาก็เลยไม่เคยนึกถึงเรื่องสิ่งลี้ลับอะไรเลยค่ะ

เพื่อไม่ให้เป็นการเสียเวลา ขอเริ่มเลยนะคะ....

ปีที่แล้ว เราอายุ 24 บริบูรณ์เมื่อเดือนกันยายนค่ะ เคยมีคนทักบ้างว่าใกล้จะเบญจเพสแล้ว ระวังตัวนะ หมั่นทำบุญบ้าง แต่ไม่เคยสนใจเลยค่ะ ไม่ว่างก็ไม่ทำ ไม่ตื่นก็ไม่ไปวัด แต่พอเข้าเดือนตุลาคม เรื่องก็เริ่มมาเลยค่ะ อย่างแรกคือพ่อป่วย ปวดท้อง ปวดหัว ปวดหลัง ท้องเสียหลายวันมาก กินข้าวไม่ได้ ทางครอบครัวก็พยายามไปหาหมอคนนู่นคนนี้ตลอด ก็ยังไม่หายสักที จนเราซึ่งตอนนี้กำลังเรียนปริญญาโทอยู่และกำลังเริ่มเสนอหัวข้อทีสิสต้องกลับมาดูแลพ่อที่บ้าน เพราะแม่กับพี่ชายก็วุ่นอยู่กับงานตัวเอง เราดูเป็นคนที่ว่างที่สุดในครอบครัวก็เลยต้องกลับมาดูแลพ่อ พ่อป่วยอยู่ได้สิบกว่าวั้น เราก็ตัดสินใจพาพ่อมาโรงพยาบาลพญาไท ปรากฎว่าพ่อเป็นเนื้องอกในลำไส้ มีหลายสิบก้อน แต่ก้อนใหญ่ๆที่ควรระวังมีแค่ 4 ก้อน หมอก็เลยทำการผ่าตัดเอา 4 ก้อนนั้นออกไป (จริงๆการมีติ่งเนื้อในลำไส้เป็นเรื่องที่พบได้บ่อยนะคะ แต่ต้องระวังไม่ให้มันโตเป็นเนื้อร้ายก็พอ....แน้!!! มีแอบวิชาการด้วย 555)

หลังผ่าตัดอาการพ่อก็ดีขึ้นตามลำดับภายในเวลาไม่กี่วัน แต่พอเริ่มฟื้นตัว มนุษย์พ่อบ้างานก็กลับมาอีกครั้ง คราวนี้พ่อจะไปเก็บเงินกับลูกค้าที่ยังค้างไว้ที่โคราชให้ได้ (หมายถึงจังหวัดนครราชสีมานะคะ...เป็นทางการ) แต่ไปเองไม่ไหว เราก็เลยต้องพาไป แต่พอไปเก็บเงินกับลูกค้าเสร็จแล้ว อยู่ดีๆพ่อก็บอกว่าจะไปหาเพื่อนที่ปากช่องให้ได้ เราก็บอกว่ากว่าจะไปถึงบ้านเพื่อนพ่อก็เกือบสี่ทุ่มแล้ว มันดึกไป อย่าไปรบกวนเค้าเลย เดี๋ยววันหลังเราจะพามาใหม่ พ่อก็ไม่ยอมค่ะ จะต้องไปให้ได้ แปลกมากกกกก...สำหรับเรา เพราะปกติพ่อไม่เคยดื้อขนาดนี้ ครั้งนี้ก็พูดอยู่นั่นและค่ะว่าจะต้องไป อยากไปมากๆ สุดท้ายเราก็ยอมพาไป

พอไปถึงบ้านเพื่อนพ่อ ก็น่าแปลกที่บ้านนั้นยังไม่มีใครนอน พ่อเราก็เดินลงไปนั่งทักทายกันปกติ สักพักภรรยาของเพื่อนพ่อก็เดินเข้ามา (ขอเรียกว่าคุณป้านะคะ) พอคุณป้านั่งลงได้ไม่ถึงนาทีก็เริ่มตัวสั่น และก็มองหน้าพ่อเราแล้วก็เรียกพ่อเราว่า ลุงออ(นามสมมติ) พ่อเราก็งงสิคะ เพราะเสียงที่เรียกออกมาเป็นเสียงเด็กผู้ชายที่ออกแหลมๆ เล็กๆ หน่อย ไม่เหมือนเสียงคุณป้าจริงๆเลย ระหว่างที่เหวออยู่ เพื่อนพ่อก็บอกว่าไม่มีอะไร กุมารทองเข้าน่ะ คงจะมาบอกอะไร สาบานเลยว่าเรากับพ่อไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าบ้านนี้เลี้ยงกุมาร พ่อเราก็เลยถามว่าแล้วมาเรียกพ่อเราทำไม และนี่คือบทสนทนาคร่าวๆของพ่อกับกุมารทองในร่างคุณป้าค่ะ

กุมาร : ลุงออไปกินอะไรมา ทำไมท้องบวม ไส้ก็บวมนะ
พ่อ   : รู้ได้ไงว่าไส้บวม
กุมาร : ก็หนูเห็น นี่ไปกินอาหารเหนือมาใช่ไหม ไปกินข้าวซอยมาหรือเปล่า
พ่อ   : ใช่ รู้ได้ไงล่ะ
กุมาร : ลุงอย่าไปกินนะ อาหารเหนือมันเป็นของแสลงสำหรับลุง แถมช่วงนี้เจ้ากรรมนายเวรเค้าตามเล่นงานลุงหนักนะ ลุงต้องระวังเค้าจะเอาถึงตาย
พ่อ   : แล้วจะต้องแก้ไขยังไงล่ะ
กุมาร : ลุงก็ไปทำบุญให้เค้าซะ ส่วนเจ้าที่น่ะ ก็ตั้งศาลไหว้ซะบ้าง เค้าจะได้ช่วยคุ้มครอง
แล้วก็หันไปเรียกเพื่อนพ่อว่า พ่อๆ ไปเอาพระองค์นั้นน่ะ มาให้ลุงหน่อย พระที่บอกก็คือ พระเครื่องอะไรไม่รู้ เราก็ไม่รู้ว่าเค้าเรียกว่าอะไร แต่องค์พระจะมีฐานสูงมากกกก เป็นสิบชั้น เห็นเพื่อนพ่อบอกว่าเป็นพระดี จากกรุไหนสักกรุ อายุเป็นร้อยปี เพื่อนพ่อไปได้มาเพราะกุมารทองบอกให้ไปเอามันฝังไว้ใต้ต้นไม้ในวัด เพราะเจ้าของเก่าที่เป็นเซียนพระตาย แล้วลุกชายมารับพระไปบูชาต่อ แต่บุญไม่ถึงเลยเป็นบ้า แต่สำหรับเพื่อนพ่อเรากุมารทองบอกว่าบุญถึงเลยให้ไปเอามา มีอยู่สององค์ (หากเรียกสรรพนามผิดก็ขออภัย ไม่ทราบจริงๆค่ะ) เพื่อนพ่อเรายังเล่าอีกว่าเคยมีคนใหญ่คนโตมาขอไปบูชาหลายคน แต่สุดท้ายก็ต้องเอากลับมาคืนทุกที เพราะบูชาไม่ได้ บุญไม่ถึง แต่สำหรับพ่อเรากุมารทองเป็นคนบอกเองเลยว่าพ่อเราบุญถึง เอาไปดูแลได้ เพราะชาติที่แล้วพ่อเราเป็นเจ้าของเก่าของพระองค์นี้ ทั้งยังกำชับให้พ่อเราทำบุญมากๆ เพราะบุญเก่ากำลังจะหมด เพราะตั้งแต่เราเกิดมาพ่อเรานี่เข้าวัดแบบนับครั้งได้เลย เป็นคนทำบุญน้อยมากๆ

จากวันนั้นขอบอกเลยค่ะว่าเป็นจุดเปลี่ยนของที่บ้านหลายๆอย่าง จะว่าเชื่อก็ยังลังเลสงสัยกันบ้าง จะว่าไม่เชื่อก็มีคำถามว่าแล้วกุมารทองรู้ได้ยังไงเพราะ
1. ครอบครัวเพื่อนพ่อไม่เคยมาที่บ้าน รู้ได้ยังไงว่าบ้านเราไม่เคยตั้งศาลเจ้าที่ อยู่มาเกือบสิบปีไม่เคยไหว้เจ้าที่กันเลยสักครั้ง
2. รู้ได้ยังไงว่าพ่อเราไปกินข้าวซอยมา เพราะขนาดเรายังไม่รู้เลย หลังจากวันนั้นเลยถามพ่อ พ่อถึงบอกว่าพี่สะใภ้เราเป็นคนทำให้ ก่อนที่พ่อจะเรื่มป่วยได้ประมาณสองวัน แต่ไม่เคยแอะใจว่าเป็นเพราะข้าวซอย
3. ถ้าเพื่อนพ่อเราอยากหลอกพ่อเราจริง ควรจะหลอกเอาเงิน ไม่ใช่หลอกแล้วมาให้พระพ่อเรา โดยไม่เสียเงินเลยสักบาท ดังนั้นเราจึงตัดประเด็นนี้ออกค่ะ

หลังจากนั้นครอบครัวเราก็เลยทำบุญบ้าน ตั้งศาลเจ้าที่ใหญ่โต และหมั่นทำบุญกันบ่อยมากขึ้นค่ะ

และก็ผ่านไปสำหรับวัยเข้าเบญจเพสเดือนแรกของเรา หลายคนอาจจะบอกว่ามันไม่เกี่ยวกับเราเลย แต่เดี๋ยวจะมาเฉลยตอนหลังค่ะว่าทำไมถึงเกี่ยวกับเราได้ แต่อย่างน้อยเรื่องคราวนี้ก็ทำให้ทีสิสเราล่าช้าไปมาก พูดง่ายๆว่าเพื่อนทุกคนเขียน proposal จะเสร็จแล้ว แต่เราเพิ่งจะได้เริ่มเองค่ะ ก็เลยทำให้โดนอาจารย์ที่ปรึกษาต่อว่าซะยกใหญ่ เราก็เลยยิ่งเครียดทั้งเรื่องพ่อ เรื่องเรียน นั่งร้องไห้บ่อยมากจนแทบบ้าไปเลย (คือระหว่างนี้มันจะมีปัญหาด้านอื่นๆ เล็กๆน้อยๆ เข้ามาด้วยค่ะ เราเลยรับไม่ทัน)

พอเข้าเดือนพฤศจิกายน อาการพ่อก็เริ่มดีขึ้น แต่อาการเราท่าจะแย่ โดนอาจารย์ที่ปรึกษาต่อว่าทุกครั้งที่เข้าพบ พูดง่ายๆคือด่าค่ะ เหมือนคุยงานกันเท่าไหร่ก็ไม่เข้าใจ อาจารย์ก็บอกว่าเราพูดไม่รู้เรื่อง ส่วนเราก็ฟังอาจารย์ไม่รู้เรื่อง ตอนนั้นเครียดมากค่ะ เสนออะไรไปก็ไม่ผ่าน ไม่ดีสักอย่าง ขอข้อมูลจากหน่วยงานไหน เจ้าหน้าที่ก็ไม่ให้ความร่วมมือ ขนาดว่าส่งอีเมลล์ขอข้อมูลจากหน่วยงานเดียวกันไปพร้อมๆกับเพื่อนคือกดส่งต่างกันไม่ถึงนาที แต่เพื่อนได้รับอีเมลล์ตอบกลับ พร้อมแนบไฟล์ข้อมูลฟรี ส่วนเราไม่เคยได้รับอะไรตอบกลับ จึงส่งไปตื้อหลายๆครั้ง ทั้งโทร ทั้งตามไปเอาข้อมูลเอง แถมโดนเรียกเก็บตังค์อีก อย่างเหวอเลยค่ะ แล้วก้จะเป็นอย่างนี้หลายหน่อยงานมาก จนท้อ จนเบื่อเลยค่ะ อ่านมาถึงตรงนี้บางคนอาจจะแย้งว่าไม่เห็นเกี่ยว ก็โง่เองอ่ะ คุยกับอาจารย์ไม่รู้เรื่องเอง โด่ว!!!!  ขอตอบว่าก็อาจจะใช่ค่ะ แต่ที่เรารู้สึกท้อเพราะเราไม่เคยมีปัญหาเรื่องเรียนมาก่อนเลย เราคิดว่าเราเป็นคนเข้าใจอะไรง่าย คิดเร็ว ทำเร็ว แต่พอมาช่วงเวลานั้นทำไมเราคิดอะไรไม่ออก ไม่รู้ใครเคยเป็นไหม แบบคิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก สมองมันมึนๆงงๆ เรื่องบางเรื่องที่ถ้าเป็นเมื่อก่อนคงคิดออกไปแล้ว พอมาตอนนี้กลับคิดไม่ออกซะอย่างนั้น เราเป็นอารมณ์แบบนี้เลยค่ะ (แต่เดี๋ยวมีเฉลยตอนท้ายนะคะ ถ้าเพราะอะไร แล้วให้ทุกคนตัดสินใจเอาเองว่ามันเกี่ยวไหม)

พอเข้าเดือนธันวาคม หายนะจากเดือนที่แล้วก็ยังตามหลอกหลอนคือเรา defense รอบแรกไม่ผ่านค่ะ เครียดมากๆ แต่ก็เหมือนจะรู้ตัวอยู่แล้วว่างานแบบนี้ไม่น่าผ่าน 555 พอเข้าเดือนนี้เราก็เริ่มมีอาการหมดแรง อ่อนเพลีย อยากนอนตลอดเวลา ปวดท้องและปวดหลังมาก คือเราจะเริ่มจากปวดท้องก่อนและจะค่อยๆปวดมากขึ้นจนไปถึงหลัง และเป็นบ่อยมาก แถมในเดือนนี้ยังโดนงัดห้องอีก แต่เรานั่งอยู่ในห้อง พอคนร้ายเห็นเราก็รีบปิดประตูวิ่งหนีไป เราก็กลัวไม่กล้าวิ่งตาม ก็ปล่อยไปง่ายๆอย่างนั้น แต่ก็คิดว่าโชคดีที่เราอยู่ เพราะคนร้ายคงแค่มาขโมยของ เลยวิ่งหนีไปอย่างนั้น ถ้าเราไม่อยู่ในห้องคงเสียหายมากกว่านี้ แต่เรื่องแปลกๆที้เกิดในเดือนนี้คือเวลาเราคุยโทรศัพท์กับเพื่อน เพื่อนมักจะได้ยินเสียงเด็กหัวเราะแทรกเข้ามา แต่เพื่อนไม่เคยทักเพราะคิดว่าเป็นเสียงน้องชายเรา จนวันหนึ่งเพื่อนทักว่าจะไปไหนมาไหนก็พาน้องไปด้วยตลอดเลยเหรอ ได้ยินเสียงหัวเราะแทรกหลายครั้งแล้วนะ เราก็งง เพราะไม่เคยพาน้องไปไหนด้วยเลย เราก็มาอยู่หอเพื่อเรียน ส่วนน้องก็อยู่บ้านไป พอเพื่อนพูดก็เริ่มหลอนๆแล้วล่ะค่ะ

พอเข้าเดือนมกราคมคราวนี้มาพร้อมกันเลย พ่อเริ่มป่วย การเงินที่บ้านก็เริ่มไม่คล่องตัว แล้วเราก็ป่วยจนต้องเข้าโรงพยาบาลด้วยอาการที่มีน้ำตาลในเลือดต่ำและเกร็ดเลือดต่ำ(จากการเป็นประจำเดือนนานผิดปกติ) ครั้งนี้เราแอดมิดเพื่อให้น้ำตาลและน้ำเกลือไปหนึ่งคืน พอออกจากโรงพยาบาลได้อาทิตย์เดียว เราก็ขับรถไปเอาข้อมูลมาทำทีสิส ระหว่างจอดติดไฟแดงอยู่ ก็มีมอเตอร์ไซค์ขับมาเฉี่ยวเอากระจกมองข้างฝั่งเราไปเลย หลุดกระเด็น แล้วคนขี่ก็หายไปเลย เรากับเพื่อนมองป้านทะเบียนไม่ทัน จะลงไปเก็บก็ไม่ได้ เพราะไฟเขียวแล้ว รถเคลื่อนตัวกันหมดแล้ว ก็ต้องปล่อยให้เป็นเรื่องที่ซวยไป แต่เรื่องแปลกๆอีกอย่างคือ ของที่ห้องตกบ่อยมาก บางที่เรานั่งทำงานอยู่ก็ได้ยินเสียงกระปุกครีมตก บางคืนรองเท้าตกจากชั้น บางวันเป็นรีโมทโทรทัศน์ บางทีเป็นโทรศัพท์ คือตกทุกวันค่ะ แล้วแต่ว่าจะเป็นของชิ้นไหน เราก็เริ่มงง เพราะร้อยวันพันปีมันไม่เคยตก เราวางของไว้ที่เดิมทุกๆวัน มันจะตกได้ไง????

ในเดือนนี้เองเราเริ่มได้กลิ่นแปลกๆในห้องเรา บางวันเป็นกลิ่นน้ำอบมาอยู่ฝั่งขวาเรา แบบว่าข้างเราเลย แต่พอเราหันไปดมทางซ้ายกลับไม่มีกลิ่นนี้ หันไปดมทางขวาอีกทีก็ได้กลิ่นอีก ก็ขนหัวลุกไปตามระเบียบ บางวันได้กลิ่นเหม็นเน่าจนอยู่ไม่ได้ ต้องออกมานั่งข้างนอก แต่ตอนแรกก็คิดว่าคงมีอะไรตายในห้องก็พยายามหาทุกซอกทุกมุมก็ไม่เจอ แต่พอเดินออกมาข้างนอกกลิ่นมันก็ตามมาด้วยตลอด สรุปไปไหนเราก็จะได้กลิ่นนี้ตลอด แต่เชื่อไหมคะว่าเราก็ทนอยู่อย่างนั้นสามสี่วัน ไม่เล่าให้ใครฟัง ไม่ทำบุญ ไม่ไหว้พระ ไม่สวดมนต์ใดๆทั้งนั้น ก็ยังทำตัวปกติ ประมาณว่าใจดีสู้ผีไปซะอย่างนั้น 5555

และกลิ่นพวกนี้หรือของตกพวกนี้จะเริ่มหายไปทุกครั้งเมื่อเราไปทำบุญค่ะ เพราะหลังจากเรื่องกุมารทองทักพ่อ ทุกครั้งที่เรากลับบ้านประมาณสองถึงสามอาทิตย์ต่อครั้งจะต้องไปทำบุญตลอด

ขอลงอันแรกเท่านี้ก่อน แล้วเดี๋ยวแปะต่อในโพสต์ต่อไปนะคะ  ขอลองอัพดูก่อนว่าขึ้นไหม
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่