ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่กรุงเทพฯเนี่ย เรากับพี่ ๆ น้อง ๆ จะมีพี่สาวเป็นคนดูแลในนามของผู้ปกครอง ภาระหลัก ๆ คือคอยหุงหาอาหารให้พวกเรากิน ภาระรองคือคอยดุด่าว่ากล่าว รวมถึงเฆี่ยนตีด้วยไม้กวาด ไม้แขวนเสื้อ เข็มขัด ไม้เรียว ไม้ขนไก่ ไม้บรรทัดยักษ์ สรุปว่าโดนมาแล้วแทบจะทุกสกุลรุนไม้ ขาดก็แต่ไม้กอล์ฟ ( ดีนะที่พี่สาวไม่ได้เล่นกอล์ฟ ) บางวัน เรานอนหลับปุ๋ย ฝันว่ากำลังโซ้ยไอติมในร้านศาลาโฟร์โมสต์อย่างเอร็ดล้ำอยู่ เธอก็ลากเราออกมากระหน่ำตีนอกมุ้งตอนเรากำลังงัวเงีย ๆ อยู่นี่แหละ จะให้เราไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นตื่นดีก่อนก็ไม่ได้ โดนกระหน่ำตีไม่ยั้งตอนสะลึมสะลือเนี่ย รสชาติมันช่างปร่าแปร่งยังไงก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ใครอยากลองก็เชิญตามสะดวกนะครับ 55
พวกเราพี่น้องจะแบ่งเวรกันทำงานในบ้านด้วย มีอยู่สามโครงงานด้วยกันคือ กวาดบ้านถูบ้าน ติดเตาหุงข้าว แล้วก็ล้างจาน สลับหมุนเวียนกันไปทุก ๆ วันไม่มีเว้น ถึงจะง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไรเลย ทว่าพวกเราก็ยังอุตส่าห์ทะเลาะเถียงกันเป็นระยะ ๆ ได้อยู่ดีว่า วันนี้เวรใครทำอะไร บางคนก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยว่า เมื่อวานนี้ถูบ้านไปแล้วพันล้านเปอร์เซ็นต์ก่อนจะยอมจำนนด้วยหลักฐานยืนยันว่า ยัง หลัง ๆ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่สาวก็กลับไปอยู่ที่สกลนคร ทิ้งให้พวกเราสามสี่พี่น้องหากินหาอยู่กันเอง โดยแต่ละคนจะได้รับเงินธนานัติที่ส่งมาจากสกลฯทุก ๆเดือน แต่เนื่องจากเงินที่ได้มาจำกัดจำเขี่ยเต็มที พวกเราเลยใช้วิธีจัดสรรเอามาทำอาหารแบบประหยัดกินกัน บางทีก็ต้มข้าวต้มหมูหม้อรุ่นอภิมหาหม้อ ต้มทีกินกันได้เป็นอาทิตย์ทีเดียวเชียว อาศัยว่าต้องอุ่นบ่อย ๆ ไม่ให้เสีย วิธีนี้ก็ประหยัดเงินได้อักโข แต่ว่าจะได้สารอาหารครบหมู่หรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ขอยืนยันแล้วกัน
การอยู่กันเองแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ คือมีอิสระเสรี ไม่ถูกดุด่าและไม่ถูกสารพัดสกุลรุนไม้สัมผัสอย่างแผ่วเบาอยู่เนือง ๆ อีกแล้ว ข้อดีอีกอย่างคือ เท่ากับทุกคนก็ได้ฝึกการทำทุก ๆ อย่างด้วยตัวเองไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นซักผ้ารีดผ้า หุงหาอาหาร ทำกับข้าว ล้างจาน กวาดบ้านถูบ้าน สำหรับผู้ชายอย่างเราก็นับว่าได้ใช้วิชางานบ้านพวกนั้นมาถึงทุกวันนี้ และเราเลยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกแปร่งที่จะต้องช่วยแบ่งเบาภาระของภรรยาอีกด้วย ซึ่งเราว่าเรื่องนี้ก็สำคัญนะในชีวิตคู่ หากสามีเกี่ยงเลี่ยงว่า งานบ้านเป็นภาระเฉพาะกิจของเพศที่ยืนฉี่ไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็จะเกิดความหม่นหมางค้างคาใจ ร้ายที่สุดก็อาจถึงขั้นต้องเลิกร้างกันไปเลยก็ได้ เรารู้จักครอบครัวนึง สามีเป็นผู้บริหารระดับซีอีโอ เงินเดือนเรือนแสน ก็ยังต้องมีเรื่องระหองระแหงกับภรรยาด้วยเรื่องการช่วยทำงานบ้านเหมือนกัน ( ส่วนเค้าจะมีปัญหาเรื่องการทำการบ้านกันบ้างรึเปล่า อันนี้เราก็ไม่ได้เป็นจิ้งจกเกาะฝาห้องนอนเค้าซะด้วยสิ )
ทว่า ข้อเสียของการอยู่กันเองก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะเวลาที่เงินธนานัติมาช้าด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ละก็ เป็นได้วุ่นวายหัวปั่นไปตาม ๆ กัน บางช่วงบางวันก็เล่นเอาไม่มีข้าวสารกรอกหม้อไปหลายมื้อเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องอาศัยหยิบยืมพึ่งพาคนข้างบ้านนั่นแหละ จนกว่าไปรษณีย์ที่น่ารักจะมากดออดหน้าประตู ปัญหาอีกเรื่องคือ เวลาต้องใช้เงินพิเศษอะไรที สื่อสารยากลำบากเหลือเกิน และนั่นจึงเป็นที่มาของรองเท้าเปลี่ยนสีได้คู่แรกของโลก ลิขสิทธิ์โดยเราเองนั่นแหละ ตอนอยู่ป.หกหรือเจ็ดนี่แหละ โรงเรียนออกนโยบายให้นักเรียนต้องสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวในวันที่มีเรียนกีฬา แทนสีดำที่ใส่อยุ่ทุก ๆ วัน เราเลยรีบเขียนจดหมายไปขอเงินพิเศษเพื่อการนี้ หายไปสามสี่วัน พี่สาวที่ไม่เคยสวมรองเท้าคู่และข้างเดียวกับเราก็ตอบกลับมาให้น้ำตาเล็ดว่า ไม่มีงบให้ในเรื่องนี้ ขอให้ถู ๆ ไถ ๆ ไปก่อนจนกว่าคลังจะมีงบเหลือเจียดมาให้ ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัลล์
เคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่า " ความจำกัดคือบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์" ก็เห็นจะจริงตามนั้นนะ เพราะถ้าขืนไม่ทำอะไรเลย เราก็คงจะโดนครูพละเล่นงานแน่ ๆ แถมจะเป็นการประจานความด้อยเด่นของตัวเองอีกตะหาก อย่ากระนั้นเลย สู้เราเอารองเท้าผ้าใบสีดำที่ใช้อยู่มา " ถู ๆไถ ๆ" อย่างที่พี่สาวเค้าว่าดีกว่า ว่าแล้วเราเลยเอาน้ำมาพรมหน้ารองเท้าที่เป็นผ้าใบสีดำจนชุ่ม จากนั้นก็เอาชอล์กแท่งสีขาวมาถู ๆ ไถ ๆ ขีด ๆ ป้าย ๆ แต้ม ๆ เติม ๆ ละเลง ๆ ระรัว ๆ ลงไป เปรียบประหนึ่งศิลปินแวนก๊อกที่บรรจงวาดลีลาลวดลายลงบนผืนผ้าใบก็มิปาน
พอขาวได้ที่ถ้วนทั่วทุกตารางไมโครนิ้วแล้ว เราก็จะสวมออกเดินไปโรงเรียนในวันที่มีวิชาพละศึกษา ดู ๆ มันก็ใช้ได้ทีเดียวเชียวแหละ แบบว่าไม่ต้องติดสติ๊กเกอร์บอกคนหรือบอกผีก็ไม่รู้ว่า " รองเท้าคู่นี้สีขาว" คนหรือผีก็คงจะเห็นพ้องต้องกันได้ว่า เออ มันสีขาว แต่ปัญหามันอยู่ที่แสงแดดนี่สิ พอสาย ๆ หน่อย ผงชอล์กสีขาวที่หมาด ๆ อยู่เดิมก็จะเริ่มแห้งกรัง กลายสภาพเป็นผงฝุ่นที่เกาะติดหน้ารองเท้าแค่เพียงฉาบ ๆ เมื่อบวกกับแรงกระทบกระเทือนกระแทกกระทั้นตอนเดินและวิ่งเล่นกีฬาด้วยแล้ว หน้ารองเท้าสีขาวจึงค่อย ๆ กระเทาะร่อนออกทีละเล็กละน้อยไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเนื้อใจที่ค่อย ๆ ขาดวิ่นร่วงปลิวออกจากร่างทีละริ้วทีละร่อนเหมือนกัน
เราไม่อยากจะสาธยายหรือบรรยายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว เพราะมันขื่นเฝื่อนอยู่ในใจลึก ๆ เสมอมาทีเดียว เพียงอยากจะทิ้งท้ายไว้ให้ใครก็ได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็แล้วแต่ คุณไม่มีสิทธิอันใดเลยที่จะทำกับมนุษย์คนอื่นอย่างนั้น
มาเรื่องหนุก ๆ หนาน ๆ ของเจ้าน้องชายของเรามั่งดีกว่า มันตามก้นเราเข้ากรุงเทพฯ ราว ๆห้าปีต่อมาเห็นจะได้ วีรกรรมของมันเนี่ยเริ่มตั้งแต่ตอนนั่งรถไฟมากับแม่แล้ว แม่หลับ ๆ อยู่ มันก็จัดแจงสั่งข้าวผัดรถไฟที่แสนจะแพงมากินไปเรียบร้อย แม่ทำได้แค่ตื่นมาจ่ายเงินให้พนักงานหลังจากที่ทุกอย่างถูกกวาดลงกระเพาะ น้อย ๆ ของมันหมดแล้วนั่นแหละ ไม่รู้จะเรียกว่ามัน ฉลาด ตะกละ แสบสันต์ หรือทุกอย่างรวมกันดี
ตอนแรกมันเข้าเรียนที่โรงเรียนสหคุณวิทยา ตรงถนนสุรวงศ์ แค่เปิดเรียนวันแรก มันก็เริ่มวีรกรรมทำเพราะแสบของมันแล้ว มันโดดเรียน มันปีนรั้วยังไงก็ไม่รู้ ตกเข้าไปในเขตบ้านเศรษฐีที่อยู่ติดกับรั้วโรงเรียนซะงั้น และด้วยความที่มันขาวหล่อพอ ๆ กับพี่ชายมั้ง เศรษฐีบ้านนั้นเลยเอ็นดู หาโอวัลตินขนมนมเนยมาประเคนให้มันยกใหญ่ เสร็จแล้วมันก็เลยเนียนเล่นและนอนกลางวันอยู่ที่บ้านเค้าด้วยเลย ตอนหลัง พี่สาวเรากลัวมันจะถูกเค้ารับเป็นลูกบุญธรรมให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเศรษฐีของเค้าหรือไงนี่แหละ มันเลยถูกย้ายมาเรียนที่โรงเรียนคริสตธรรมวิทยาเหมือนเรากับพี่ชาย ( แต่ตอนั้น เรากับพี่ชายไปเรียนที่กรุงเทพวิทยาแล้ว )
ทุก ๆ เช้า มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไม่ต้องไปโรงเรียน มีตั้งแต่เอารองเท้าถุงเท้าไปซ่อน เอาเสื้อผ้าไปซุก รวมทั้งไม่ยอมอาบน้ำ ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า และแหกปากร้องโวยวาย สุดท้ายพี่สาวเราก็ต้องจับมันอาบน้ำสวมเสื้อผ้ารองเท้าและยัดมันขึ้นรถตุ๊ก ๆ ไปส่งที่โรงเรียนจนได้ เรื่องมือไวก็อีกเรื่องนึง ไม่ว่าเรากับพี่ชายน้องสาวซุกซ่อนเงินที่ไหน มันก็จะตามมาสอยไปซื้อขนมของเล่นจนเกลี้ยงทุกทีสิน่า
แฉมันมาพอเคือง ๆ แล้ว กลับมาต่อเรื่องเราดีกว่า ตอนปลายป.7 ภาระอย่างนึงของเราก็คือการตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อมัธยมที่ไหน จับความซาวเสียงเพื่อน ๆ ในห้องกันแล้ว เพื่อน ๆผู้ชายส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่สองโรงเรียนใหญ่ ๆ ในตอนนั้น คือสวนกุหลาบกับเทพศิรินทร์ เพราะมีอคติกับดอกกุหลาบในเพลงกุหลาบเวียงพิงค์ของวงศ์จันทร์ ไพโรจน์นั่นล่ะมัง เราเลยเบนหัวเรือไปที่คลองผดุงกรุงเกษม ถิ่นที่ตั้งของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเด่นดังแห่งหนึ่งของบ้านเรา เทพศิรินทร์ สามปีที่อยู่ที่นี่ก็มีเรื่องราวหลากหลายยวนใจให้จดจำและชวนเผยอยิ้มด้วยเหมือนกัน
บันทึกชีวิต แง้มนิด ปิดหน่อยของคนชื่อต๋อง—16/49 ลาแล้วชีวิตวัยปฐม ( ก็ไม่ชอบกุหลาบอะ )
ช่วงแรก ๆ ที่มาอยู่กรุงเทพฯเนี่ย เรากับพี่ ๆ น้อง ๆ จะมีพี่สาวเป็นคนดูแลในนามของผู้ปกครอง ภาระหลัก ๆ คือคอยหุงหาอาหารให้พวกเรากิน ภาระรองคือคอยดุด่าว่ากล่าว รวมถึงเฆี่ยนตีด้วยไม้กวาด ไม้แขวนเสื้อ เข็มขัด ไม้เรียว ไม้ขนไก่ ไม้บรรทัดยักษ์ สรุปว่าโดนมาแล้วแทบจะทุกสกุลรุนไม้ ขาดก็แต่ไม้กอล์ฟ ( ดีนะที่พี่สาวไม่ได้เล่นกอล์ฟ ) บางวัน เรานอนหลับปุ๋ย ฝันว่ากำลังโซ้ยไอติมในร้านศาลาโฟร์โมสต์อย่างเอร็ดล้ำอยู่ เธอก็ลากเราออกมากระหน่ำตีนอกมุ้งตอนเรากำลังงัวเงีย ๆ อยู่นี่แหละ จะให้เราไปล้างหน้าล้างตาให้สดชื่นตื่นดีก่อนก็ไม่ได้ โดนกระหน่ำตีไม่ยั้งตอนสะลึมสะลือเนี่ย รสชาติมันช่างปร่าแปร่งยังไงก็บอกไม่ถูกเหมือนกัน ใครอยากลองก็เชิญตามสะดวกนะครับ 55
พวกเราพี่น้องจะแบ่งเวรกันทำงานในบ้านด้วย มีอยู่สามโครงงานด้วยกันคือ กวาดบ้านถูบ้าน ติดเตาหุงข้าว แล้วก็ล้างจาน สลับหมุนเวียนกันไปทุก ๆ วันไม่มีเว้น ถึงจะง่าย ๆ ไม่ซับซ้อนอะไรเลย ทว่าพวกเราก็ยังอุตส่าห์ทะเลาะเถียงกันเป็นระยะ ๆ ได้อยู่ดีว่า วันนี้เวรใครทำอะไร บางคนก็เถียงคอเป็นเอ็นเลยว่า เมื่อวานนี้ถูบ้านไปแล้วพันล้านเปอร์เซ็นต์ก่อนจะยอมจำนนด้วยหลักฐานยืนยันว่า ยัง หลัง ๆ พอโตขึ้นมาหน่อย พี่สาวก็กลับไปอยู่ที่สกลนคร ทิ้งให้พวกเราสามสี่พี่น้องหากินหาอยู่กันเอง โดยแต่ละคนจะได้รับเงินธนานัติที่ส่งมาจากสกลฯทุก ๆเดือน แต่เนื่องจากเงินที่ได้มาจำกัดจำเขี่ยเต็มที พวกเราเลยใช้วิธีจัดสรรเอามาทำอาหารแบบประหยัดกินกัน บางทีก็ต้มข้าวต้มหมูหม้อรุ่นอภิมหาหม้อ ต้มทีกินกันได้เป็นอาทิตย์ทีเดียวเชียว อาศัยว่าต้องอุ่นบ่อย ๆ ไม่ให้เสีย วิธีนี้ก็ประหยัดเงินได้อักโข แต่ว่าจะได้สารอาหารครบหมู่หรือเปล่า อันนี้ก็ไม่ขอยืนยันแล้วกัน
การอยู่กันเองแบบนี้ก็ดีไปอีกแบบ คือมีอิสระเสรี ไม่ถูกดุด่าและไม่ถูกสารพัดสกุลรุนไม้สัมผัสอย่างแผ่วเบาอยู่เนือง ๆ อีกแล้ว ข้อดีอีกอย่างคือ เท่ากับทุกคนก็ได้ฝึกการทำทุก ๆ อย่างด้วยตัวเองไปด้วย ไม่ว่าจะเป็นซักผ้ารีดผ้า หุงหาอาหาร ทำกับข้าว ล้างจาน กวาดบ้านถูบ้าน สำหรับผู้ชายอย่างเราก็นับว่าได้ใช้วิชางานบ้านพวกนั้นมาถึงทุกวันนี้ และเราเลยไม่รู้สึกว่าเป็นเรื่องแปลกแปร่งที่จะต้องช่วยแบ่งเบาภาระของภรรยาอีกด้วย ซึ่งเราว่าเรื่องนี้ก็สำคัญนะในชีวิตคู่ หากสามีเกี่ยงเลี่ยงว่า งานบ้านเป็นภาระเฉพาะกิจของเพศที่ยืนฉี่ไม่ได้แล้ว สุดท้ายก็จะเกิดความหม่นหมางค้างคาใจ ร้ายที่สุดก็อาจถึงขั้นต้องเลิกร้างกันไปเลยก็ได้ เรารู้จักครอบครัวนึง สามีเป็นผู้บริหารระดับซีอีโอ เงินเดือนเรือนแสน ก็ยังต้องมีเรื่องระหองระแหงกับภรรยาด้วยเรื่องการช่วยทำงานบ้านเหมือนกัน ( ส่วนเค้าจะมีปัญหาเรื่องการทำการบ้านกันบ้างรึเปล่า อันนี้เราก็ไม่ได้เป็นจิ้งจกเกาะฝาห้องนอนเค้าซะด้วยสิ )
ทว่า ข้อเสียของการอยู่กันเองก็ใช่ว่าจะไม่มี เพราะเวลาที่เงินธนานัติมาช้าด้วยสาเหตุอันใดก็แล้วแต่ละก็ เป็นได้วุ่นวายหัวปั่นไปตาม ๆ กัน บางช่วงบางวันก็เล่นเอาไม่มีข้าวสารกรอกหม้อไปหลายมื้อเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องอาศัยหยิบยืมพึ่งพาคนข้างบ้านนั่นแหละ จนกว่าไปรษณีย์ที่น่ารักจะมากดออดหน้าประตู ปัญหาอีกเรื่องคือ เวลาต้องใช้เงินพิเศษอะไรที สื่อสารยากลำบากเหลือเกิน และนั่นจึงเป็นที่มาของรองเท้าเปลี่ยนสีได้คู่แรกของโลก ลิขสิทธิ์โดยเราเองนั่นแหละ ตอนอยู่ป.หกหรือเจ็ดนี่แหละ โรงเรียนออกนโยบายให้นักเรียนต้องสวมรองเท้าผ้าใบสีขาวในวันที่มีเรียนกีฬา แทนสีดำที่ใส่อยุ่ทุก ๆ วัน เราเลยรีบเขียนจดหมายไปขอเงินพิเศษเพื่อการนี้ หายไปสามสี่วัน พี่สาวที่ไม่เคยสวมรองเท้าคู่และข้างเดียวกับเราก็ตอบกลับมาให้น้ำตาเล็ดว่า ไม่มีงบให้ในเรื่องนี้ ขอให้ถู ๆ ไถ ๆ ไปก่อนจนกว่าคลังจะมีงบเหลือเจียดมาให้ ซึ่งก็ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัลล์
เคยอ่านเจอที่ไหนไม่รู้ว่า " ความจำกัดคือบ่อเกิดแห่งความคิดสร้างสรรค์" ก็เห็นจะจริงตามนั้นนะ เพราะถ้าขืนไม่ทำอะไรเลย เราก็คงจะโดนครูพละเล่นงานแน่ ๆ แถมจะเป็นการประจานความด้อยเด่นของตัวเองอีกตะหาก อย่ากระนั้นเลย สู้เราเอารองเท้าผ้าใบสีดำที่ใช้อยู่มา " ถู ๆไถ ๆ" อย่างที่พี่สาวเค้าว่าดีกว่า ว่าแล้วเราเลยเอาน้ำมาพรมหน้ารองเท้าที่เป็นผ้าใบสีดำจนชุ่ม จากนั้นก็เอาชอล์กแท่งสีขาวมาถู ๆ ไถ ๆ ขีด ๆ ป้าย ๆ แต้ม ๆ เติม ๆ ละเลง ๆ ระรัว ๆ ลงไป เปรียบประหนึ่งศิลปินแวนก๊อกที่บรรจงวาดลีลาลวดลายลงบนผืนผ้าใบก็มิปาน
พอขาวได้ที่ถ้วนทั่วทุกตารางไมโครนิ้วแล้ว เราก็จะสวมออกเดินไปโรงเรียนในวันที่มีวิชาพละศึกษา ดู ๆ มันก็ใช้ได้ทีเดียวเชียวแหละ แบบว่าไม่ต้องติดสติ๊กเกอร์บอกคนหรือบอกผีก็ไม่รู้ว่า " รองเท้าคู่นี้สีขาว" คนหรือผีก็คงจะเห็นพ้องต้องกันได้ว่า เออ มันสีขาว แต่ปัญหามันอยู่ที่แสงแดดนี่สิ พอสาย ๆ หน่อย ผงชอล์กสีขาวที่หมาด ๆ อยู่เดิมก็จะเริ่มแห้งกรัง กลายสภาพเป็นผงฝุ่นที่เกาะติดหน้ารองเท้าแค่เพียงฉาบ ๆ เมื่อบวกกับแรงกระทบกระเทือนกระแทกกระทั้นตอนเดินและวิ่งเล่นกีฬาด้วยแล้ว หน้ารองเท้าสีขาวจึงค่อย ๆ กระเทาะร่อนออกทีละเล็กละน้อยไปเรื่อย ๆ พร้อม ๆ กับเนื้อใจที่ค่อย ๆ ขาดวิ่นร่วงปลิวออกจากร่างทีละริ้วทีละร่อนเหมือนกัน
เราไม่อยากจะสาธยายหรือบรรยายอะไรไปมากกว่านี้แล้ว เพราะมันขื่นเฝื่อนอยู่ในใจลึก ๆ เสมอมาทีเดียว เพียงอยากจะทิ้งท้ายไว้ให้ใครก็ได้ว่า ไม่ว่าคุณจะเป็นใครก็แล้วแต่ คุณไม่มีสิทธิอันใดเลยที่จะทำกับมนุษย์คนอื่นอย่างนั้น
มาเรื่องหนุก ๆ หนาน ๆ ของเจ้าน้องชายของเรามั่งดีกว่า มันตามก้นเราเข้ากรุงเทพฯ ราว ๆห้าปีต่อมาเห็นจะได้ วีรกรรมของมันเนี่ยเริ่มตั้งแต่ตอนนั่งรถไฟมากับแม่แล้ว แม่หลับ ๆ อยู่ มันก็จัดแจงสั่งข้าวผัดรถไฟที่แสนจะแพงมากินไปเรียบร้อย แม่ทำได้แค่ตื่นมาจ่ายเงินให้พนักงานหลังจากที่ทุกอย่างถูกกวาดลงกระเพาะ น้อย ๆ ของมันหมดแล้วนั่นแหละ ไม่รู้จะเรียกว่ามัน ฉลาด ตะกละ แสบสันต์ หรือทุกอย่างรวมกันดี
ตอนแรกมันเข้าเรียนที่โรงเรียนสหคุณวิทยา ตรงถนนสุรวงศ์ แค่เปิดเรียนวันแรก มันก็เริ่มวีรกรรมทำเพราะแสบของมันแล้ว มันโดดเรียน มันปีนรั้วยังไงก็ไม่รู้ ตกเข้าไปในเขตบ้านเศรษฐีที่อยู่ติดกับรั้วโรงเรียนซะงั้น และด้วยความที่มันขาวหล่อพอ ๆ กับพี่ชายมั้ง เศรษฐีบ้านนั้นเลยเอ็นดู หาโอวัลตินขนมนมเนยมาประเคนให้มันยกใหญ่ เสร็จแล้วมันก็เลยเนียนเล่นและนอนกลางวันอยู่ที่บ้านเค้าด้วยเลย ตอนหลัง พี่สาวเรากลัวมันจะถูกเค้ารับเป็นลูกบุญธรรมให้เสื่อมเสียวงศ์ตระกูลเศรษฐีของเค้าหรือไงนี่แหละ มันเลยถูกย้ายมาเรียนที่โรงเรียนคริสตธรรมวิทยาเหมือนเรากับพี่ชาย ( แต่ตอนั้น เรากับพี่ชายไปเรียนที่กรุงเทพวิทยาแล้ว )
ทุก ๆ เช้า มันจะทำทุกวิถีทางเพื่อให้ไม่ต้องไปโรงเรียน มีตั้งแต่เอารองเท้าถุงเท้าไปซ่อน เอาเสื้อผ้าไปซุก รวมทั้งไม่ยอมอาบน้ำ ไม่ยอมใส่เสื้อผ้า และแหกปากร้องโวยวาย สุดท้ายพี่สาวเราก็ต้องจับมันอาบน้ำสวมเสื้อผ้ารองเท้าและยัดมันขึ้นรถตุ๊ก ๆ ไปส่งที่โรงเรียนจนได้ เรื่องมือไวก็อีกเรื่องนึง ไม่ว่าเรากับพี่ชายน้องสาวซุกซ่อนเงินที่ไหน มันก็จะตามมาสอยไปซื้อขนมของเล่นจนเกลี้ยงทุกทีสิน่า
แฉมันมาพอเคือง ๆ แล้ว กลับมาต่อเรื่องเราดีกว่า ตอนปลายป.7 ภาระอย่างนึงของเราก็คือการตัดสินใจว่าจะไปเรียนต่อมัธยมที่ไหน จับความซาวเสียงเพื่อน ๆ ในห้องกันแล้ว เพื่อน ๆผู้ชายส่วนใหญ่จะมุ่งเป้าไปที่สองโรงเรียนใหญ่ ๆ ในตอนนั้น คือสวนกุหลาบกับเทพศิรินทร์ เพราะมีอคติกับดอกกุหลาบในเพลงกุหลาบเวียงพิงค์ของวงศ์จันทร์ ไพโรจน์นั่นล่ะมัง เราเลยเบนหัวเรือไปที่คลองผดุงกรุงเกษม ถิ่นที่ตั้งของโรงเรียนที่มีชื่อเสียงเด่นดังแห่งหนึ่งของบ้านเรา เทพศิรินทร์ สามปีที่อยู่ที่นี่ก็มีเรื่องราวหลากหลายยวนใจให้จดจำและชวนเผยอยิ้มด้วยเหมือนกัน