เรื่องนี้เป็นเรื่องที่เกิดขึ้น เมื่อ3-4ปีก่อนนะครับ ผมอาจไม่ได้เห็นอะไรแต่ได้อยู่ในเหตุการณ์แบบใกล้ๆ และผมไม่ขอบอกชื่อสถานที่ นะครับ แต่ถ้าการที่ผมเล่าเรื่องนี้มันไปดิสเครดิสสถานที่นั้น ผมต้องขอโทษด้วยนะครับ จากที่ผมหาข้อมูล ชื่อของดอยถูกตั้งชื่อจากชาวบ้านระแวงนั้นเรียกจากเหตุการณ์ที่ชาวบ้านพบเจอนะครับ ผมขอใส่รูปประกอบโดยส่วนใหญ่จะถ่ายเองจากสถานที่เที่ยวต่างๆเพื่อบรรยายบรรยากาศในการจิตนาการตามนะครับ
ก่อนเดินทาง...
เนื่องจากผมและกลุ่มเพื่อน ชอบเดินทางไปตามป่าเขานอนกางเต้นท์ ตามตะเข็บชายแดน วนอุทยานก่อนที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในสมัยนี้ด้วยซ้ำนะครับจึงทำให้บรรยากาศในการเที่ยวตอนนั้นอาจไม่เหมือนสมัยนี้ ครั้งนั้นดอยที่เราจะไปกันเป็นดอยๆหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยก่อนไปเรามีสมาชิกทั้งหมด7คน ซึ่งพอดีกับรถโฟวิว1คันพอดี โดยสมาชิกจะมีผู้ชายทั้งหมด5คน และเป็นผู้หญิงอีก2คน ผู้หญิงหนึ่งคนในกลุ่มเป็นน้องที่พึ่งได้รู้จักยังไม่เคยไปนอนกางเต้นท์ที่ไหนเลยครับ ถึงเป็นการรับน้องใหม่เลยทีเดียว ก่อนเดินทางเรานัดเจอกันที่บ้านเพื่อนแถวศิริราช ก่อนไปก็มีกินดื่มเพื่อรอเพื่อนหลายๆคนเลิกงานและรวมตัวเดินทางในตอนกลางคืน ในช่วงที่รอเพื่อนนั้นเราได้วางแผนการเดินทาง และเล่าเรื่องผีปนตลกกันในวงเหล้า โดยเพื่อนคนหนึ่งเอามุขมากจากละครซิตคอมเรื่องหนึ่งที่ว่า " เวลาเจอผี อย่าเรียกว่าผีในทริปนี้ถ้าเจอให้เรียกว่า สุกี้น้ำ " เราก็ตลกไปกับมุขเพื่อน จนประมาณ4ทุ่มเพื่อนมาครบเราจึงออกเดินทางกัน ระหว่างทางกรุงเทพไปเชียงราย เราก็ยังเล่าเรื่องผี ทำเสียงดนตรีผี เปิดเรื่องผีฟัง แต่ก็ยังมีเรื่องตลกที่เล่นกันบอกขับไประวังเจอ... ผมก็ถามเจออะไรวะ เพื่อนก็บอกสุกี้น้ำ เราก็ตลกกันไปตลอดทาง โดยบรรยากาศในการเดินทางตอนกลางคืนผู้ใหญ่ชอบบอกว่าอย่าทัก อย่าเล่น พวกผมเชื่อในเรื่องพวกนี้นะครับ แต่อยู่กันหลายคนมันก็ทำเป็นเรื่องตลกตามประสาวัยรุ่นได้ตลอด ระหว่างขับรถไปนั้นเราขับแวะไปหาเพื่อนที่สุโขทัย และวิ่งขึ้นเชียงรายอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางไม่คุ้นเคย เป็นทางที่ไม่มีไฟ หมอกลงจัด ถ้าจะให้เห็นภาพลองนึกถึงเรื่องหนัง Silent Hill อย่างนั้นเลยครับ ขับไปตัดทางเขามืดๆ เห็นเพียงแสงไฟหน้ารถ กับนานๆจะมีรถ10ล้อวิ่งมาสักคันหนึ่ง แต่ด้วยทางที่เราไม่คุ้นบวกกับไม่ใช่ทางหลักที่คนอื่นวิ่งกันทำให้เกิดปัญหาคือ น้ำมันหมดครับ ลองคิดนะครับน้ำมันหมดกลางเขา หมอกลงจัด นานๆจะมี10ล้อวิ่งมาคัน และช่วงเวลานั้นประมาณตี2เราจึงตัดสินในไปจอดในจุดเหมือนเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ที่เข้าไปนั้นมันเหมือนที่ร้าง เหมือนไม่ค่อยมีใครเข้ามา ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ ร่วงเต็มพื้น เรามีเพียงแต่ไฟฉาย อยู่2กระบอกเพื่อลงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ พยายามบีบแตร เคาะเรียกเดินแยกย้ายสำรวจ ก็ไม่มีคนอยู่เลยมีเพียงแต่รถดับเพลิงเก่าๆ กับเงาแสงไฟจากไฟฉายเท่านั้น เลยจำเป็นต้องปรึกษากับเพื่อนสรุปได้ว่าหาที่จอดรอให้หมู่บ้าน และขอเติมน้ำมันจากปั๊มหลอดของชาวบ้าน รอประมาณ2ชม ดับเครื่องรถเพราะไม่มีน้ำมัน และนอนรออย่างมีความหวังจนกว่าชาวบ้านจะตื่น โดยนานๆจะมี10ล้อวิ่งมาสักคัน ครั้งจะโบกก็ไม่จอดเพราะกลัวโดนปล้น... ช่วงเวลาตี4 นอนหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ชาวบ้าน เป็นเงาแสงไฟไกลๆขับใกล้เข้ามา ผมสกิดเพื่อนให้ตื่นช่วยกันดู ภาพที่ผมเห็นคือ เป็นเงาแสงไฟผ่านทะลุหมอกที่ลงหนาจัด คนขับคลุมหน้ามืดชิด ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่เราก็ทำท่าจะโบก แต่กระซิบคุยกับเพื่อนว่าถ้าเป็นโจรละ โดนปล้นได้นะ แต่เค้าก็เหมือนจะกลัวเรา เค้าจึงขับเลยไปสักพักจึงค่อยจอดและตะโกนถามเรา เป็นพี่ผุ้หญิงดูมีอายุหน่อย เราก็ถามว่าน้ำมันรถเราหมดจะไปเติมได้ที่ไหน มีปั๊มหลอดมั้ย พี่เค้าจึงช่วยนำทางไปซื้อร้านขายน้ำมัน อยู่ติดกับตลาดขายของเช้า ซึ่งคนในหมู่บ้านนี้ตลาดเค้าเป็นเพียงร้านขายของชำร้านเดียว แต่ขายทุกอย่างถ้าจะให้เห็นภาพ ลองนึกถึงร้านขายของชำบ้านเรา แต่มีขายผลไม้ ข้าวหลาม ปลาตากแห้ง ขนมเค้กราคาถูกๆ น้ำเต้าหู้ และที่สำคัญมีน้ำมันขาย แต่ก็จะแพงกว่าราคาปั๊มทั่วไป ผมได้อาหารเช้าเป็นแอปเปิ้ล2ลูก

ถึงจุดหมาย...
เดินทางต่อจากการเดินทางทุลักทุเล เราได้ถึงจุดหมายประมาณบ่าย3-4โมง จะขออธิบายถึงลักษณะดอยก่อนนะครับ ดอยที่เราไปพักเป็นดอยที่สามารถมองเห็นวิว เกือบ360องศา นึกถึงภาพสีเหลี่ยมผืนผ้านะครับ เราขับรถขึ้นมาตีวงจากมุมขวาล่าง วนขึ้นมาถึงมุมขวาบนเลยมาหน่อยเราจะเจอป้ายชื่อดอยเลยครับ ตรงป้ายชื่อดอย จะมีตอไม้2ฝั่ง เพื่อไว้นั่งถ่ายรูป ถัดไปอีกหน่อย จะมีต้นไม้ สูงเหนือหัว1ต้น และจะมี เหมือนรั้วที่ทำไว้สามารถ นั่งได้เหมือนเก้าอี้ยาว และมีพุ่มไม้ขึ้นอยู่ ห่างกันไป2-3 พุ่มไล่เลี่ยกัน ป้ายดอยจะอยู่ทางทิศตะวันออกพอดีสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ เราจอดรถขวางบ้านเลยครับ เพราะตอนที่เราขึ้นไปไม่มีใครคนอื่นขึ้นมากางสักคนเดียว เหมือนกับว่าดอยนี้คือของข้า จากนั้นเราได้เอาของลงและทำการสำรวจทันที จุดแรกที่ผมสำรวจคือที่นั่งไม้ยาว ตรงที่มีพุ่มไม้ผมไปนั่งพัก กับน้องผู้หญิงที่บอกไม่เคยกางเต้นนั้นแหละครับ นั่งไปสักพักผมเหลือบไปเห็นไต้พุ้มไม้ มีก้านธูปอยู่กำนึงซึ่งถูกจุดไปแล้ว เลยสะกิดน้องและเรียกเพื่อนคนหนึ่งมาดู ผมก็เลยหลอกน้องที่ไม่เคยมาเที่ยวว่า เนี่ยเค้าคือการซื้อที่ เพราะข้างๆก้านธุปนั้นมีเหรีญอยุ่2-3เหรืยญ แต่ใจผมคิดแค่ว่าต้องหลอกให้มันกลัวสักหน่อย รับน้องใหม่ ผมจึงแกล้งเอาเหรีญในกระเป๋าผมโยนๆไป มันก็โยนตามกันใหญ่เลย ก็นึกตลกในใจ จากนั้นก็แยกย้ายไปหาฝืนมาจุดไฟกัน โดยการแบ่งกลุ่มคนทำกับข้าว กับคนกางเต้น จัดของ ซึ่งจุดที่เรากาง กางเป็นแบบครึ่งวงกลมหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตรงที่เป็นม้านั่งยาว ห่างจาก ต้นใหม่สูงเลยหัว ถัดไปก็เป็นป้ายดอย ประมาณ10เมตร จุดที่กางก็คือจุดที่มีพุ่มไม้ที่เราซื้อที่กันนั้นแหละ จากนั้นเราก็ไปหาฟืน มุมขวาถ้าเดินข้ามเข้าไปจะเป็นทางขึ้นอีกชั้นหนึ่งและมีบ้านพักของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และมีห้องน้ำไว้บริการ ซึ่งจะห่างจากป้ายชื่อดอยไปอีกประมาณ30เมตร ซึ่งไกลพอสมควร แต่ที่ผมสนใจคือทางขึ้นไปอีกชั้น ซึ่งชั้นบนจะเป็นจุดชมวิว มีศาลา8เหลี่ยมอยู่ ผมจึงชวนเพื่อนขึ้นไปสำรวจกัน
เดินมาถึงศาลา8เหลี่ยม สำรวจเห็นเหมือนกับมีคนมาก่อกองไฟและกางเต้นบนนี้ เลยถามกับเพื่อนว่าย้ายมากางตรงนี้ไหม ซึ่งเราตัดสินใจไม่ย้าย แต่เราได้ไม้ฝืนจากกองไฟที่อยู่ตรงศาลามาหลายอัน เดินลงมาที่จุดกางเต้นเวลาประมาณ 6โมง เริ่มมีรถกระบะขึ้นมาอีก2คัน ซึ่งเค้าคงแปลกใจว่าทำไมเรากางเต้นท์ จอดรถบังป้ายดอย คือก็รู้นะครับว่าไม่ดี แต่ขี้เกียจขยับแล้วละเหนื่อยแล้ว และช่วงหัวค่ำหน่อยก็มีกลุ่มวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซด์ประมาณ6-7คัน ขึ้นไปจุดชมวิวด้านบน เสียงดังโวยวายด้านบน มีตะโกนด่าด้วยว่าใครขโมยไม้ฟืนมันไป สงสัยจะเจ้าถิ่น
รอบกองไฟ...
ตะวันเริ่มลับฟ้า ความมืดมาเยือน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เราสามารถเห็นบรรยาการต้นไม้เป็นเพียงแค่เงา ลมพัดเอื่อยทำให้บรรยากาศขนลุกอยู่เหมือนกัน เราได้ทำก่อกองไฟ และทำอาหารกินกัน หน้าที่ของผมคือทำเนื้อย่าง ให้เพื่อนๆกิน แต่ก่อนหน้าที่เราจะกินเราทำเครื่องเซ่นเจ้าที่ ตามปกติที่เคยทำมาตลอด ส่วนเพื่อนๆน้องๆก็ดื่มเบียร์ ยืนคุยกันบ้าง คุยเล่นสนุกกันบ้าง ซึ่งเราจะมีลำโพงอยู่ตัวนึงเล็กๆ เราไปห้อยไว้ตรง ต้นไม้สูงเลยหัวเรา เพื่อให้เสียงเพลงลอยไปตามลอยเบา ถัดไปด้านล่างหลังป้าย จะเป็นทางลาดลงไป เราเอาผ้าใบกันน้ำที่ไว้ห่อของบนหลังคารถมาตากไว้ เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ผมจะไปเข้าห้องน้ำก็ถือไฟฉายเดินไป แต่ส่วนใหญ่จะไปเป็นคู่ เพื่อความปลอดภัย ระหว่างที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำกับเพื่อนก็มี คนจากรถคันอื่นเดินสวนกันไปมาเข้าด้วย แต่เราสามารถมองเห็นเป็นแค่เงา เราไม่เอาไฟฉายไปส่องหน้าเค้าเพราะเป็นการเสียมารยาท พอทานไปได้สัก5ทุ่ม น้องที่เพิ่งเคยมาก้พูดขึ้นมาว่าไม่ไหวแล้ว ขอไปนอนก่อน ส่วนผู้หญิงอีกคนก็ขอไปนอนเช่นกัน ทำให้เหลือแต่ผู้ชายคุยสนุกเฮฮาตามปกติ เพื่อนอิ่มหมดแล้วหน้าที่ผมก็หมดและก็จะเริ่มดื่มเหมือนกัน แต่ผมสังเกตุเห็นเพื่อนที่เป็นคนขับรถ คุยกับเพื่อนอีกคนอยู่เงียบข้ามกองไฟเลยไปตรงหน้า มันพูดเสียงดังออกมาว่า "ดีละ ดึกอีกหน่อยเราไปนอนดูดาวหลังป้ายกัน ผ้าใบปูไว้อยู่แล้วนิ" ผมเลิกย่างแล้ว ก็ลุกทันที เพราะไม่มีคนไปเลยไปนอนก่อนเป็นคนแรก แต่เอะใจตรงที่ว่า ทำไมเพื่อนไม่ตามมา ผมลงไปนอนสักพัก มองไปบนฟ้าก็คิดได้ว่า พระจันทร์มันเต็มดวงนิ บวกกับหมอกลง ไม่เห็นดาวจะเห็นดาวได้ยังไป จากที่ผมนอนลงบนผ้าใบเป็นทางลาด ผมรู้สึกเหมือนมีคนดึงขาผมลงไปจากผ้าใบ อีกใจก็บอกคิดไปเอง ผ้าใบมันลื่นเลย ปีนขึ้นมานอนใหม่ ก็ลื่นลงไปอีก ผมเลยเดินกลับมาเข้ากลุ่มในกองไฟ เพื่อนมันก็ถามว่าไม่เจออะไรหรอวะ ก็ถามมันเจออะไรวะ มันก็บอกสุกี้น้ำ ผมก็หัวเราะละบอกว่าเมิงนี้ไม่จบเล่น

ทั้งทริป แต่มันไม่หัวเราะไปกับผมด้วย เพื่อนคนขับรถก็บอกกับผมว่าเมิงลองเงียบและฟังสิ เสียงเพลงมันดับไปแล้ว ผมก็แบบเออ กูง่วงละ เที่ยงคืนละกูไปนอนก่อนดีกว่า ทิ้งเพื่อนไว้อีก4คน
เจอดี...
ก่อนที่ผมจะเคลิ้มหลับไปผมได้ยินเพื่อนพูดว่าก็ไม่ไหวละ กูไปนอนดีกว่า ละก็หลับไปตื่นขึ้นมาอีกทีตี3 เพราะปวดฉี่มากแต่ช่วงที่ผมตื่นมา มันมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่เข้ามาคือ "มีคนมาลูบเต้นท์" ได้ยินเสียง หวืด...ไปซ้ายทีขวาทีรอบๆเตนท์ จะให้นึกออกลองเอานิ้วไปถูผ้าปูเตียงครับลากช้าๆยาวๆ ละมันก็นูนตามผ้าใบด้วย ผมปวดฉี่มากจนทนไม่ไหวเลย เอามือกระแทกสวนออกไป แต่รอยนูนก็เลื่อนไปที่อื่นอีกตั้งสติสักพัก เลยข่มในใจว่าคงเป็นแค่ลมและรูดเต้นออกมา ทำเสียงดังๆหน่อยให้เพื่อนรู้ว่ากูตื่นนะ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ หมอกครับ มองอะไรไม่เห็นเลย หนักมาก เห็นแต่แสงจันท์ที่ทำให้เงาชัดขึ้นแต่ก็ยังเห็นคนเดินนไปเข้าห้องน้ำนะครับ จากเตนท์อื่น แต่ตอนนั้นผมไม่ไปห้องน้ำละ จัดมันตรงต้นไม้สูงเลย ละก็รีบเข้านอนต่อ สักพักตี4มีรถ2แถวขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เสียงดังมาก เพราะเราไปจอดรถตรงจุดที่เค้ามาถ่ายรูปเลย เพื่อนผมหงุดหงิดเลยออกมาด่า แต่ทำไงได้เราไปขวางเค้าก่อน แต่ก็อีกนะครับตี4ก็เกรงใจกันบ้างสรุปก็ไม่ได้นอนต่อครับ ผมเลยออกมาชงกาแฟกิน เพื่อนๆคนอื่นก็ตืนมานั่งกินกับผมด้วย ผมจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง บอกมีคนมาลูบเต้นท์ เป็นไหม เพื่อนบอกมันได้ยืนนะว่าผมตื่นแต่มันไม่มีนะคนลูบเตนท์ เอาแล้วไงถ้าเป็นลมต้องเป็นทุกเต้นท์สิ เพื่อนก็เลยทักมาอีกว่าถามจริงเมื่อวานไม่เห็นจริงหรอ ตอนที่ผมไปนอนตรงผ้าใบ มันเล่าว่า ตรงป้ายที่มีท่อนไม้ไว้นั่งน่ะ มีเงาเด็กครึ่งตัวลอยอยู่ เค้าเห็นกันหมด เป็นเงาชัดและนานมาก ตอนแรกสงสัยเลยตะโกนไปว่าจะไปนอนดูดาวตรงนั้น แต่ก็แปลกใจที่เห็นเมิงเดินไปนอนใกล้เค้าเลย ไม่เห็นจรงหรอกวะ ผมก็บอกบ้าอย่ามาอำ น้องผู้หญิงที่พึ่งมาก็เสริมขึ้นมาว่าหนูก็เห็น แต่หนักกว่านั้นคือเห็นมายืนรอบเตนท์เลยพี่ ตั้งแต่ไปเข้าห้องน้ำละ คิดว่ากระบะคันอื่นก็มีแค่2คันที่มา แต่เงาที่เดินสวนมีเป็น10เลยนะพี่ หนูทนไม่ไหวเลยหนีไปนอนก่อน ผมก็อึ้งไปสักพักเลยถามอีกว่าก่อนนอนที่ตะโกนบอกว่าไปนอนแล้ว ไม่ไหวละคืออะไร มันบอกว่าเงาของเด็กที่ลอยครึ่งตัวเริ่มหายไป ลำโพงเสียงเพลงที่ต่อไอแพตบนต้นไม้กลับมาดังอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าแบตหมดไปแล้ว มันเลยหนีไปนอนกันเลย และมันคงเป็นปริศนาต่อไปนะครับว่าเงาเด็กที่เห็นคือใคร หรือเค้าแค่มาเฝ้าเราอยู่ห่างเท่านั้นเอง
ส่วนประวัติของดอยนี้ที่ผมหาข้อมูลมาได้จะอธิบายที่หลังนะครับ ขอตัดสินใจนิดนึงครับ เพราะบอกความหมายจะรู้ชื่อดอยทันที ขอถามความเห็นหน่อยครับว่าสมควรบอกมั้ยครับ
ขอบคุณรูปภาพบางส่วนจาก
kapook ด้วยนะครับ
เด็กเฝ้าดอย...!!!
ก่อนเดินทาง...
เนื่องจากผมและกลุ่มเพื่อน ชอบเดินทางไปตามป่าเขานอนกางเต้นท์ ตามตะเข็บชายแดน วนอุทยานก่อนที่จะเป็นแหล่งท่องเที่ยวในสมัยนี้ด้วยซ้ำนะครับจึงทำให้บรรยากาศในการเที่ยวตอนนั้นอาจไม่เหมือนสมัยนี้ ครั้งนั้นดอยที่เราจะไปกันเป็นดอยๆหนึ่งในจังหวัดเชียงราย โดยก่อนไปเรามีสมาชิกทั้งหมด7คน ซึ่งพอดีกับรถโฟวิว1คันพอดี โดยสมาชิกจะมีผู้ชายทั้งหมด5คน และเป็นผู้หญิงอีก2คน ผู้หญิงหนึ่งคนในกลุ่มเป็นน้องที่พึ่งได้รู้จักยังไม่เคยไปนอนกางเต้นท์ที่ไหนเลยครับ ถึงเป็นการรับน้องใหม่เลยทีเดียว ก่อนเดินทางเรานัดเจอกันที่บ้านเพื่อนแถวศิริราช ก่อนไปก็มีกินดื่มเพื่อรอเพื่อนหลายๆคนเลิกงานและรวมตัวเดินทางในตอนกลางคืน ในช่วงที่รอเพื่อนนั้นเราได้วางแผนการเดินทาง และเล่าเรื่องผีปนตลกกันในวงเหล้า โดยเพื่อนคนหนึ่งเอามุขมากจากละครซิตคอมเรื่องหนึ่งที่ว่า " เวลาเจอผี อย่าเรียกว่าผีในทริปนี้ถ้าเจอให้เรียกว่า สุกี้น้ำ " เราก็ตลกไปกับมุขเพื่อน จนประมาณ4ทุ่มเพื่อนมาครบเราจึงออกเดินทางกัน ระหว่างทางกรุงเทพไปเชียงราย เราก็ยังเล่าเรื่องผี ทำเสียงดนตรีผี เปิดเรื่องผีฟัง แต่ก็ยังมีเรื่องตลกที่เล่นกันบอกขับไประวังเจอ... ผมก็ถามเจออะไรวะ เพื่อนก็บอกสุกี้น้ำ เราก็ตลกกันไปตลอดทาง โดยบรรยากาศในการเดินทางตอนกลางคืนผู้ใหญ่ชอบบอกว่าอย่าทัก อย่าเล่น พวกผมเชื่อในเรื่องพวกนี้นะครับ แต่อยู่กันหลายคนมันก็ทำเป็นเรื่องตลกตามประสาวัยรุ่นได้ตลอด ระหว่างขับรถไปนั้นเราขับแวะไปหาเพื่อนที่สุโขทัย และวิ่งขึ้นเชียงรายอีกทางหนึ่ง ซึ่งเป็นทางไม่คุ้นเคย เป็นทางที่ไม่มีไฟ หมอกลงจัด ถ้าจะให้เห็นภาพลองนึกถึงเรื่องหนัง Silent Hill อย่างนั้นเลยครับ ขับไปตัดทางเขามืดๆ เห็นเพียงแสงไฟหน้ารถ กับนานๆจะมีรถ10ล้อวิ่งมาสักคันหนึ่ง แต่ด้วยทางที่เราไม่คุ้นบวกกับไม่ใช่ทางหลักที่คนอื่นวิ่งกันทำให้เกิดปัญหาคือ น้ำมันหมดครับ ลองคิดนะครับน้ำมันหมดกลางเขา หมอกลงจัด นานๆจะมี10ล้อวิ่งมาคัน และช่วงเวลานั้นประมาณตี2เราจึงตัดสินในไปจอดในจุดเหมือนเป็นที่พักของเจ้าหน้าที่ดับเพลิงของหมู่บ้านเพื่อขอความช่วยเหลือแต่ที่เข้าไปนั้นมันเหมือนที่ร้าง เหมือนไม่ค่อยมีใครเข้ามา ใบไม้จากต้นไม้ใหญ่ ร่วงเต็มพื้น เรามีเพียงแต่ไฟฉาย อยู่2กระบอกเพื่อลงไปสอบถามเจ้าหน้าที่ พยายามบีบแตร เคาะเรียกเดินแยกย้ายสำรวจ ก็ไม่มีคนอยู่เลยมีเพียงแต่รถดับเพลิงเก่าๆ กับเงาแสงไฟจากไฟฉายเท่านั้น เลยจำเป็นต้องปรึกษากับเพื่อนสรุปได้ว่าหาที่จอดรอให้หมู่บ้าน และขอเติมน้ำมันจากปั๊มหลอดของชาวบ้าน รอประมาณ2ชม ดับเครื่องรถเพราะไม่มีน้ำมัน และนอนรออย่างมีความหวังจนกว่าชาวบ้านจะตื่น โดยนานๆจะมี10ล้อวิ่งมาสักคัน ครั้งจะโบกก็ไม่จอดเพราะกลัวโดนปล้น... ช่วงเวลาตี4 นอนหลับไปสักพักก็ได้ยินเสียงมอเตอร์ชาวบ้าน เป็นเงาแสงไฟไกลๆขับใกล้เข้ามา ผมสกิดเพื่อนให้ตื่นช่วยกันดู ภาพที่ผมเห็นคือ เป็นเงาแสงไฟผ่านทะลุหมอกที่ลงหนาจัด คนขับคลุมหน้ามืดชิด ใส่เสื้อกันหนาวตัวใหญ่เราก็ทำท่าจะโบก แต่กระซิบคุยกับเพื่อนว่าถ้าเป็นโจรละ โดนปล้นได้นะ แต่เค้าก็เหมือนจะกลัวเรา เค้าจึงขับเลยไปสักพักจึงค่อยจอดและตะโกนถามเรา เป็นพี่ผุ้หญิงดูมีอายุหน่อย เราก็ถามว่าน้ำมันรถเราหมดจะไปเติมได้ที่ไหน มีปั๊มหลอดมั้ย พี่เค้าจึงช่วยนำทางไปซื้อร้านขายน้ำมัน อยู่ติดกับตลาดขายของเช้า ซึ่งคนในหมู่บ้านนี้ตลาดเค้าเป็นเพียงร้านขายของชำร้านเดียว แต่ขายทุกอย่างถ้าจะให้เห็นภาพ ลองนึกถึงร้านขายของชำบ้านเรา แต่มีขายผลไม้ ข้าวหลาม ปลาตากแห้ง ขนมเค้กราคาถูกๆ น้ำเต้าหู้ และที่สำคัญมีน้ำมันขาย แต่ก็จะแพงกว่าราคาปั๊มทั่วไป ผมได้อาหารเช้าเป็นแอปเปิ้ล2ลูก
ถึงจุดหมาย...
เดินทางต่อจากการเดินทางทุลักทุเล เราได้ถึงจุดหมายประมาณบ่าย3-4โมง จะขออธิบายถึงลักษณะดอยก่อนนะครับ ดอยที่เราไปพักเป็นดอยที่สามารถมองเห็นวิว เกือบ360องศา นึกถึงภาพสีเหลี่ยมผืนผ้านะครับ เราขับรถขึ้นมาตีวงจากมุมขวาล่าง วนขึ้นมาถึงมุมขวาบนเลยมาหน่อยเราจะเจอป้ายชื่อดอยเลยครับ ตรงป้ายชื่อดอย จะมีตอไม้2ฝั่ง เพื่อไว้นั่งถ่ายรูป ถัดไปอีกหน่อย จะมีต้นไม้ สูงเหนือหัว1ต้น และจะมี เหมือนรั้วที่ทำไว้สามารถ นั่งได้เหมือนเก้าอี้ยาว และมีพุ่มไม้ขึ้นอยู่ ห่างกันไป2-3 พุ่มไล่เลี่ยกัน ป้ายดอยจะอยู่ทางทิศตะวันออกพอดีสามารถชมพระอาทิตย์ขึ้นได้ เราจอดรถขวางบ้านเลยครับ เพราะตอนที่เราขึ้นไปไม่มีใครคนอื่นขึ้นมากางสักคนเดียว เหมือนกับว่าดอยนี้คือของข้า จากนั้นเราได้เอาของลงและทำการสำรวจทันที จุดแรกที่ผมสำรวจคือที่นั่งไม้ยาว ตรงที่มีพุ่มไม้ผมไปนั่งพัก กับน้องผู้หญิงที่บอกไม่เคยกางเต้นนั้นแหละครับ นั่งไปสักพักผมเหลือบไปเห็นไต้พุ้มไม้ มีก้านธูปอยู่กำนึงซึ่งถูกจุดไปแล้ว เลยสะกิดน้องและเรียกเพื่อนคนหนึ่งมาดู ผมก็เลยหลอกน้องที่ไม่เคยมาเที่ยวว่า เนี่ยเค้าคือการซื้อที่ เพราะข้างๆก้านธุปนั้นมีเหรีญอยุ่2-3เหรืยญ แต่ใจผมคิดแค่ว่าต้องหลอกให้มันกลัวสักหน่อย รับน้องใหม่ ผมจึงแกล้งเอาเหรีญในกระเป๋าผมโยนๆไป มันก็โยนตามกันใหญ่เลย ก็นึกตลกในใจ จากนั้นก็แยกย้ายไปหาฝืนมาจุดไฟกัน โดยการแบ่งกลุ่มคนทำกับข้าว กับคนกางเต้น จัดของ ซึ่งจุดที่เรากาง กางเป็นแบบครึ่งวงกลมหันหน้าไปทางทิศตะวันออก ตรงที่เป็นม้านั่งยาว ห่างจาก ต้นใหม่สูงเลยหัว ถัดไปก็เป็นป้ายดอย ประมาณ10เมตร จุดที่กางก็คือจุดที่มีพุ่มไม้ที่เราซื้อที่กันนั้นแหละ จากนั้นเราก็ไปหาฟืน มุมขวาถ้าเดินข้ามเข้าไปจะเป็นทางขึ้นอีกชั้นหนึ่งและมีบ้านพักของเจ้าหน้าที่ป่าไม้ และมีห้องน้ำไว้บริการ ซึ่งจะห่างจากป้ายชื่อดอยไปอีกประมาณ30เมตร ซึ่งไกลพอสมควร แต่ที่ผมสนใจคือทางขึ้นไปอีกชั้น ซึ่งชั้นบนจะเป็นจุดชมวิว มีศาลา8เหลี่ยมอยู่ ผมจึงชวนเพื่อนขึ้นไปสำรวจกัน
เดินมาถึงศาลา8เหลี่ยม สำรวจเห็นเหมือนกับมีคนมาก่อกองไฟและกางเต้นบนนี้ เลยถามกับเพื่อนว่าย้ายมากางตรงนี้ไหม ซึ่งเราตัดสินใจไม่ย้าย แต่เราได้ไม้ฝืนจากกองไฟที่อยู่ตรงศาลามาหลายอัน เดินลงมาที่จุดกางเต้นเวลาประมาณ 6โมง เริ่มมีรถกระบะขึ้นมาอีก2คัน ซึ่งเค้าคงแปลกใจว่าทำไมเรากางเต้นท์ จอดรถบังป้ายดอย คือก็รู้นะครับว่าไม่ดี แต่ขี้เกียจขยับแล้วละเหนื่อยแล้ว และช่วงหัวค่ำหน่อยก็มีกลุ่มวัยรุ่นขับมอเตอร์ไซด์ประมาณ6-7คัน ขึ้นไปจุดชมวิวด้านบน เสียงดังโวยวายด้านบน มีตะโกนด่าด้วยว่าใครขโมยไม้ฟืนมันไป สงสัยจะเจ้าถิ่น
รอบกองไฟ...
ตะวันเริ่มลับฟ้า ความมืดมาเยือน คืนนี้พระจันทร์เต็มดวง เราสามารถเห็นบรรยาการต้นไม้เป็นเพียงแค่เงา ลมพัดเอื่อยทำให้บรรยากาศขนลุกอยู่เหมือนกัน เราได้ทำก่อกองไฟ และทำอาหารกินกัน หน้าที่ของผมคือทำเนื้อย่าง ให้เพื่อนๆกิน แต่ก่อนหน้าที่เราจะกินเราทำเครื่องเซ่นเจ้าที่ ตามปกติที่เคยทำมาตลอด ส่วนเพื่อนๆน้องๆก็ดื่มเบียร์ ยืนคุยกันบ้าง คุยเล่นสนุกกันบ้าง ซึ่งเราจะมีลำโพงอยู่ตัวนึงเล็กๆ เราไปห้อยไว้ตรง ต้นไม้สูงเลยหัวเรา เพื่อให้เสียงเพลงลอยไปตามลอยเบา ถัดไปด้านล่างหลังป้าย จะเป็นทางลาดลงไป เราเอาผ้าใบกันน้ำที่ไว้ห่อของบนหลังคารถมาตากไว้ เวลาก็ผ่านไปเรื่อยๆ ผมจะไปเข้าห้องน้ำก็ถือไฟฉายเดินไป แต่ส่วนใหญ่จะไปเป็นคู่ เพื่อความปลอดภัย ระหว่างที่ผมเดินไปเข้าห้องน้ำกับเพื่อนก็มี คนจากรถคันอื่นเดินสวนกันไปมาเข้าด้วย แต่เราสามารถมองเห็นเป็นแค่เงา เราไม่เอาไฟฉายไปส่องหน้าเค้าเพราะเป็นการเสียมารยาท พอทานไปได้สัก5ทุ่ม น้องที่เพิ่งเคยมาก้พูดขึ้นมาว่าไม่ไหวแล้ว ขอไปนอนก่อน ส่วนผู้หญิงอีกคนก็ขอไปนอนเช่นกัน ทำให้เหลือแต่ผู้ชายคุยสนุกเฮฮาตามปกติ เพื่อนอิ่มหมดแล้วหน้าที่ผมก็หมดและก็จะเริ่มดื่มเหมือนกัน แต่ผมสังเกตุเห็นเพื่อนที่เป็นคนขับรถ คุยกับเพื่อนอีกคนอยู่เงียบข้ามกองไฟเลยไปตรงหน้า มันพูดเสียงดังออกมาว่า "ดีละ ดึกอีกหน่อยเราไปนอนดูดาวหลังป้ายกัน ผ้าใบปูไว้อยู่แล้วนิ" ผมเลิกย่างแล้ว ก็ลุกทันที เพราะไม่มีคนไปเลยไปนอนก่อนเป็นคนแรก แต่เอะใจตรงที่ว่า ทำไมเพื่อนไม่ตามมา ผมลงไปนอนสักพัก มองไปบนฟ้าก็คิดได้ว่า พระจันทร์มันเต็มดวงนิ บวกกับหมอกลง ไม่เห็นดาวจะเห็นดาวได้ยังไป จากที่ผมนอนลงบนผ้าใบเป็นทางลาด ผมรู้สึกเหมือนมีคนดึงขาผมลงไปจากผ้าใบ อีกใจก็บอกคิดไปเอง ผ้าใบมันลื่นเลย ปีนขึ้นมานอนใหม่ ก็ลื่นลงไปอีก ผมเลยเดินกลับมาเข้ากลุ่มในกองไฟ เพื่อนมันก็ถามว่าไม่เจออะไรหรอวะ ก็ถามมันเจออะไรวะ มันก็บอกสุกี้น้ำ ผมก็หัวเราะละบอกว่าเมิงนี้ไม่จบเล่น
เจอดี...
ก่อนที่ผมจะเคลิ้มหลับไปผมได้ยินเพื่อนพูดว่าก็ไม่ไหวละ กูไปนอนดีกว่า ละก็หลับไปตื่นขึ้นมาอีกทีตี3 เพราะปวดฉี่มากแต่ช่วงที่ผมตื่นมา มันมีอีกความรู้สึกหนึ่งที่เข้ามาคือ "มีคนมาลูบเต้นท์" ได้ยินเสียง หวืด...ไปซ้ายทีขวาทีรอบๆเตนท์ จะให้นึกออกลองเอานิ้วไปถูผ้าปูเตียงครับลากช้าๆยาวๆ ละมันก็นูนตามผ้าใบด้วย ผมปวดฉี่มากจนทนไม่ไหวเลย เอามือกระแทกสวนออกไป แต่รอยนูนก็เลื่อนไปที่อื่นอีกตั้งสติสักพัก เลยข่มในใจว่าคงเป็นแค่ลมและรูดเต้นออกมา ทำเสียงดังๆหน่อยให้เพื่อนรู้ว่ากูตื่นนะ ภาพที่เห็นตรงหน้าคือ หมอกครับ มองอะไรไม่เห็นเลย หนักมาก เห็นแต่แสงจันท์ที่ทำให้เงาชัดขึ้นแต่ก็ยังเห็นคนเดินนไปเข้าห้องน้ำนะครับ จากเตนท์อื่น แต่ตอนนั้นผมไม่ไปห้องน้ำละ จัดมันตรงต้นไม้สูงเลย ละก็รีบเข้านอนต่อ สักพักตี4มีรถ2แถวขึ้นมาดูพระอาทิตย์ขึ้น เสียงดังมาก เพราะเราไปจอดรถตรงจุดที่เค้ามาถ่ายรูปเลย เพื่อนผมหงุดหงิดเลยออกมาด่า แต่ทำไงได้เราไปขวางเค้าก่อน แต่ก็อีกนะครับตี4ก็เกรงใจกันบ้างสรุปก็ไม่ได้นอนต่อครับ ผมเลยออกมาชงกาแฟกิน เพื่อนๆคนอื่นก็ตืนมานั่งกินกับผมด้วย ผมจึงเล่าเรื่องเมื่อคืนให้ฟัง บอกมีคนมาลูบเต้นท์ เป็นไหม เพื่อนบอกมันได้ยืนนะว่าผมตื่นแต่มันไม่มีนะคนลูบเตนท์ เอาแล้วไงถ้าเป็นลมต้องเป็นทุกเต้นท์สิ เพื่อนก็เลยทักมาอีกว่าถามจริงเมื่อวานไม่เห็นจริงหรอ ตอนที่ผมไปนอนตรงผ้าใบ มันเล่าว่า ตรงป้ายที่มีท่อนไม้ไว้นั่งน่ะ มีเงาเด็กครึ่งตัวลอยอยู่ เค้าเห็นกันหมด เป็นเงาชัดและนานมาก ตอนแรกสงสัยเลยตะโกนไปว่าจะไปนอนดูดาวตรงนั้น แต่ก็แปลกใจที่เห็นเมิงเดินไปนอนใกล้เค้าเลย ไม่เห็นจรงหรอกวะ ผมก็บอกบ้าอย่ามาอำ น้องผู้หญิงที่พึ่งมาก็เสริมขึ้นมาว่าหนูก็เห็น แต่หนักกว่านั้นคือเห็นมายืนรอบเตนท์เลยพี่ ตั้งแต่ไปเข้าห้องน้ำละ คิดว่ากระบะคันอื่นก็มีแค่2คันที่มา แต่เงาที่เดินสวนมีเป็น10เลยนะพี่ หนูทนไม่ไหวเลยหนีไปนอนก่อน ผมก็อึ้งไปสักพักเลยถามอีกว่าก่อนนอนที่ตะโกนบอกว่าไปนอนแล้ว ไม่ไหวละคืออะไร มันบอกว่าเงาของเด็กที่ลอยครึ่งตัวเริ่มหายไป ลำโพงเสียงเพลงที่ต่อไอแพตบนต้นไม้กลับมาดังอีกครั้ง ทั้งที่คิดว่าแบตหมดไปแล้ว มันเลยหนีไปนอนกันเลย และมันคงเป็นปริศนาต่อไปนะครับว่าเงาเด็กที่เห็นคือใคร หรือเค้าแค่มาเฝ้าเราอยู่ห่างเท่านั้นเอง
ส่วนประวัติของดอยนี้ที่ผมหาข้อมูลมาได้จะอธิบายที่หลังนะครับ ขอตัดสินใจนิดนึงครับ เพราะบอกความหมายจะรู้ชื่อดอยทันที ขอถามความเห็นหน่อยครับว่าสมควรบอกมั้ยครับ
ขอบคุณรูปภาพบางส่วนจาก
kapook ด้วยนะครับ