
• หลังจากดู The Secret Life of Walter Mitty จบ คุณรู้สึกยังไงฮะ?
• รู้สึกว่าเชยจังฟะ หนังมันตั้งแต่ปีที่แล้ว มาถามอะไรเอาตอนนี้??
• เอิ่ม...ด้วยความเคารพนะฮะ คือ อย่าเพิ่งขัดได้มั้ยฮะ ผมขอถามชงเข้าเรื่องหน่อยละกัน..
• โอเค Take 2 : หลังจากดู The Secret Life of Walter Mitty จบ คุณรู้สึกยังไงฮะ?
• ผมรู้สึกว่า เฮ้ยยยย ที่เราทำอะไรอยู่? ทำไมถึงเดินขึ้นลิฟต์ตัวเดิม
ตอกบัตรที่เดิม นั่งในคอกสี่เหลี่ยมเดิมๆ ทุกวัน?
• ทำไมไม่ออกไปท่องโลกกว้างล่ะเฮ๊อะ!?
• นั่นคือที่มาที่ไปทั้งหมดของการเดินทางครั้งนี้!
• พร้อมแล้วเริ่มกันเลยฮะะะะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้• ลืมบอกไปว่านี่เป็นกระทู้ที่ 3 นะฮะ ว่างๆ เรียนเชิญรับชม 2 อันก่อนหน้าได้ตรงเน้...
รีวิวเที่ยวยุโรป 7 เมือง 7 ค่าโง่ ให้คุณเที่ยวแบบไม่โง่...เพราะผมโง่ให้คุณล้าววว!
http://pantip.com/topic/33498210 และ
รีวิวเที่ยว Cesky Krumlov...โง่เท่าไหร่ ถึงจะพอไป Cesky !?
http://pantip.com/topic/33606053
• ติดตามไปเที่ยวด้วยกันได้ที่ www.facebook.com/singpaitour
• ย้อนไปเมื่อเกือบสองปีก่อน...มือถือผมดัง เพื่อนสนิทคนหนึ่งโทรเข้ามา
อัครเดช. : เฮ้ย

ดู Walter Mitty ยัง?
ผม : ยัง เจ๋งป่ะ?
อัครเดช : เช้ดดดดดด รีบไปดูให้ด่วนเลย หนังดีมาก โคดบิ้ว กรูอยากไปเที่ยว
อยากไปภูเขาเดี๋ยวเน้ลลล์!
ผม : เออๆ เดี๋ยวไปดูละ
• ขณะที่เดินออกจากโรง รู้ตัวเลยว่าร่างกายมันต้องการออกทะยานไปที่ไหนซักแห่งแบบเฮียมิตตี้บ้าง
• ไอซ์แลนด์ กับกรีนแลนด์ คือดินแดนในฝันที่อยากสัมผัสสักครั้ง...
• ฮ่ะโถ่วววว ชีวิตจริงนี่แค่จะบินออกนอกประเทศยังคิดแล้วคิดอีก
• จู่ๆ จะไปเที่ยวไกลถึงขั้วโลกเหนือนี่เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้
• ผมเก็บความคิดนี้ไว้ จนอัครเดชโทรมาหาผมอีกครั้ง
อัครเดช : เป็นไง ดูยัง?
ผม : ดูแล้ว โคดดี เราไปเที่ยวกันเหอะ
อัครเดช : เออ เอาดิ เอาภูเขาไฟแบบในมิตตี้เลยนะ
ผม :

จะไปกรีนแลนด์ หรือไอซ์แลนด์!?! (ตื่นเต้น ทั้งๆที่รู้ว่าคงเป็นไปไม่ได้)
อัครเดช : กรูจะไป โบรโม่
ผม : โปรโม่ เอ้อ มีโปรโม่ชั่นไปกรีนแลนด์ด้วยหรอวะ?
อัครเดช : โบรโม่โว้ยยย เป็นภูเขาไฟ อยู่อินโด พี่ที่ออฟฟิศบอก สวยโคด
ผม : เหมือนมิตตี้แน่นะ?
อัครเดช : เออ ได้ฟิลเลย
ผม : โอเค ไป!

• ครับ, หลังจากนั้น Trip Walter Mitty แบบ Low cost ก็ถือกำเนิดขึ้น
• หลังจากรวบรวมสมาชิกได้ 4 คน คือ อัครเดช, รสทิพย์, วิไลวรรณ และ ผม (นามสมมติ)
พวกเราก็ช่วยกันแพลนรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้ครับ
กทม. -> สนามบิน สุราบายา อินโด -> เช่ารถขึ้น Bromo ตี5 -> นอน Bromo ->
เที่ยวน้ำตกแถวๆ นั้น -> นอนแถว Ijen -> เช้ามืดเดินขึ้น Kawah Ijen เพื่อดู Blue flame ->
นั่งเรือข้ามไปบาหลี, ชม Tanah Lot, กินอะไรเกร๋วๆ -> บินกลับกทม.
• มีกัน 4 คน ก็แบ่งหน้าที่กันง่ายครับ
• ผม จองตั๋วเครื่องบิน ไป กลับ
• อัครเดช จองรถเช่าขึ้น Bromo และพาหนะทั้งหมด
• รสทิพย์, วิไลวรรณ จองที่พักทั้งหมด
• ถึงวันเดินทางทุกคนเจอกันที่ดอนเมืองแบบพร้อมหน้า...เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆ
• มีคนหายไปคนนึง คือ รสทิพย์ นั่นเอง
• ผมซึ่งถึงเป็นคนแรก โทรถามรสทิพย์ว่าถึงไหนแล้ว
รสทิพย์ : ถึงแล้วพี่ๆ เนี่ยอยู่ชั้นสองละ
ผม : เออ พี่ก็อยู่ชั้นสองละ หน้าเคาท์เตอร์ แอร์ อ.ช. มาเช็คอินกันเร้ววว
รสทิพย์ : พี่ ชั้นนี้ไม่มีแอร์ อ.ช. นะพี่ หนูหาไม่เจออ่ะ
ผม : หาไม่เจอได้ไงอ่ะ ดอนเมืองเล็กจะตาย
รสทิพย์ : ห๊ะะะะะ!?! ดอนเมืองหรอ?? หนูอยู่สุวรรณภูมิอ่ะ!!!
ผม : เฮ้ยยยย!
• กริ๊ก...แล้วรสทิพย์ก็วางหูไปเลย
• ตอนนั้น พวกเราสองสามคนมองหน้ากันเลิ่กลัก
• กลัวมากๆ ว่ารสทิพย์จะมาไม่ทัน
• พยายามถามพนักงานว่า เครื่องมันจะดีเลย์มั้ย?
• ธรรมดาดีเลย์กี่นาทีครับ?
• พนักงานก็บอกว่า เที่ยวนี้ไม่น่าดีเลย์นะคะ
• มองนาฬิกาเหลืออีก 15 นาทีเครื่องออก
• พวกเรายังคงรอรสทิพย์อยู่ที่เคาท์เตอร์
• จะด้วยเล่นของหรือพลังงานอะไรบางอย่าง
• จู่ๆ มือถือผมก็ดัง รสทิพย์โทรมาบอกว่า ให้เข้า Gate ไปกันก่อนเลย เพราะเค้ามาถึงแล้ว!!!
• ตัดภาพไปที่สนามบินสุราบายาตอนตี 3
• ให้ลองจินตนาการดอนเมืองเมื่อซัก 20 ปีที่แล้ว
• บรรยากาศที่นี่ เป็นคล้ายๆ แบบนั้น
• พวกเราหอบกระเป๋าเดินทาง เดินงัวเงียหาคนรถที่มารับที่สนามบิน
• พี่คนรถยืนถือป้ายรอเราอยู่แล้ว
• รถที่มารับ เป็นรถมินิแวน คือเล็กกว่ารถตู้แต่ขับซิ่งดั่งวินเสาวรีย์
• ออกจากสนามบินตอนตีสามกว่า แวะเปลี่ยนรถจากมินิแวน เป็นรถจี๊บ 4WD

• นั่งหัวโหม่งหลังคารถได้ไม่นาน พวกเราก็ถึงจุดชมวิว Terima Kasih
• ที่ต้องมาตรงนี้ก่อนจะขึ้นเขา เพราะลมหายใจของ Bromo จะหาดูได้จากที่นี่เท่านั้น
• ณ เวลาเกือบๆ จะหกโมงเช้า มหาชนนักท่องเที่ยวนี่เอ่อล้นออกมาจนถึงทางเดินขึ้นจุดชมวิว
• พวกเราเดินฝ่ากระแสเคลื่อนมนุษย์ออกไปจนแตะขอบฟ้า
• ภาพตรงหน้าคือเกินที่จะบรรยายจริงๆ ฮะ

• เค้าบอกกันว่า Bromo คือภูเขาไฟที่ยังไม่ตาย ยังพร้อมปะทุอยู่เสมอ
• ควันขาวๆ ที่ลอยออกมานั่นแหละ คือลมหายใจของเธอ
• แต่ ณ ตอนที่ผม สบตากับเธอ กลับรู้สึกว่า เธอกำลังหายใจอย่างสงบ และอ่อนโยน
ไม่มีพิษมีภัยอะไร...ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเธอดีพอ
• ภาพตัดไปที่บนรถจี๊บมุ่งหน้าสู่ภูเขา Bromo ของจริง
• ระหว่างทางคือทะเลทรายเวิ้งว้าง มีหุบเขาสูงใหญ่ล้อมรอบเรา
• ยิ่งมอง ตัวเราก็ยิ่งเล็กลง มันสูงซะจนใจหวิว เหมือนยืนอยู่ยอดเขา ทั้งๆ ที่เดินอยู่บนพื้นแท้ๆ
• บอกตรงๆ เลยฮะว่าจุดนี้ถือเป็นจุดสุดยอดในการถ่ายรูป Profile Facebook เกร๋วๆ
• ผมนี่กดไปหลาย ได้รูป Profile ไปบาน เรียกว่าทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลยจากเซ็ตนี้เซ็ตเดียว
• ระหว่างทางเราเห็น Bromo อยู่ข้างหน้าเหมือนจะใกล้ๆ แต่ขับรถไปเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงซักที
• จู่ๆ รถ Jeep ก็จอดเอาดื้อๆ
• หันซ้ายหันขวาดู อ้อ นี่มันที่จอดรถนีหว่า
• คนขับบอกว่า เค้าขอขับมาส่งได้แค่นี้ ส่งไกลแค่ไหนก็คงต้องไปอยู่ดี
• พวกเราเข้าใจ ยอมลงเดินแต่โดยดี คิดว่า Bromo อยู่ตรงหน้าแค่นี้ เดินแป๊ปเดียวก็ถึง
คิดเอง เออเองสุดๆ
• ระหว่างทางเดินไป มีคนเลี้ยงมาเอาม้ามาหลอกล่อเรามากมาย
• ประมาณว่า ขี่ม้าเหอะ จะเดินให้เหนื่อยทำไม
• แต่สมาชิกทั้งสี่ ยืนยันว่าจะเดิน เพราะบ้าถ่ายรูปกันทั้งสิ้น
• การอยู่บนหลังม้าแล้วหยิบกล้องมาถ่ายนู่นนี่ คงไม่ใช่เรื่องถนัดนัก
• พลาดพลั้งทำกล้องตกไป ม้าจะกระทืบเอาซะเปล่าๆ
• แต่ผมก็แอบถามราคาค่าม้าไว้เล่นๆ ได้ความว่า ราวๆ แปดร้อยบาทไทย
เออ กรูตัดสินใจถูกแล้ว เดินเอาดีกว่าครัช
• ช่วงแรกๆ ของการเดินขึ้น Bromo เป็นอะไรที่สก็อต อีซี่มว๊ากๆ
• คือเดินเล่น วิ่งกันพริ้ว แวะถ่ายรูปตรงนู้น ตรงนี้ แบบสบ๊ายสบาย หาความเหนื่อยไม่มี
• แต่พอผ่านช่วงนี้ไป จู่ๆ ทางมันก็ชันขึ้นมาซะดื้อๆ
• Bromo เป็นภูเขาที่อ่านใจคนได้
• ถ้าเราเดินๆ อยู่แล้วกระหายน้ำ ป้าขายน้ำจะโผล่ตรงหน้า
• ถ้าเราเห็นคนถือดอกไม้ แล้วอยากได้มาสักการะบ้าง พี่ขายดอกไม้ก็จะมาให้เห็น
• ขณะที่เราเมื่อย ไม่อยากเดิน นึกถึงม้า ม้าจะมา
• ผมลองถามราคาม้าอีกที คราวนี้ เหลือแค่สี่ร้อยนิดๆ
• ถามเพื่อนๆ ว่าเอาไงดี จะขี่มั้ย เดินไหวป่าว?
• ทุกคนมั่นใจในพลังกล้ามเนื้อขาของตัวเอง ปฏิเสธแบบหล่อๆ กันไป
• เดินไปได้สักพัก จะถึง Level 3 ของ Bromo
• นี่คือของจริง บันไดไม่รู้กี่ร้อยขั้น ตั้งเด่รอให้เราพิชิตยอดเขาอยู่
• บันไดนี้มีความกว้างขนาดสองคนสวนกันได้สบายๆ เรียกว่าความกว้างไม่ใช่ปัญหา
• แต่ความชันนี่แหละ ตัวบั่นทอนกำลังใจ บางช่วงนี่น่าจะเกิน 30 องศาได้
• ความมั่นใจเรื่องกล้ามเนื้อขาหดหายไปแบบหมดสิ้น
• ไอ่ที่เคยคิดว่า Bromo กำลังหายใจอย่างอ่อนโยน ไม่มีพิษมีภัยอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่เลย
แต่พอหันกลับไปดูเท่านั้นแหละ…โอ้โหเลยฮะ
• ด้วยความสูง และลาดชันระดับขาสั่น
• ทำให้สมาชิกคนหนึ่งของทริป ขอหยุดการเดินไว้ ณ ก่อนถึงปากปล่อง
• พวกเราเสียดายแทนรสทิพย์มาก ที่มาถึงที่แล้วแต่ไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง
• ผมแสดงออกความรู้สึกนั้นด้วยการแตะไหล่รสทิพย์เบาๆ แล้วพูดว่า...สม
• เดินขึ้นไปอีกไม่ไกล จนเห็นควันปุ๋ยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
• รู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่บนปากปล่อง Bromo แล้ว
• ด้านบนนี้สูง และสวยมากๆ จากจุดชมวิวว่าสวยแล้วนะ
• ตรงนี้พีคกว่าแบบเทียบไม่ติด
• อารมณ์เหมือนเจอผู้หญิงสวยระยะ 100 เมตร แล้วได้ซูมว๊าฟฟฟฟ เข้าไปประชิดแบบ 10 เซ็นต์
• ความงามมันช่างเปรียบกันไม่ได้เลย
• เราเดินสำรวจปากปล่องกันอย่างสนุกสนาน
• ข้างๆ ทางมีกลุ่มนักท่องเทียวท้องถิ่น คาดว่าเจนสนามมากๆ
• นั่งปูเสื่อปิกนิกกันเพลิดเพลิน ณ จุดที่พวกเค้านั่ง ถ้าพลาดกลิ้งตกลงไปก็ตายได้
• ผมกับเพื่อนเดินกันไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมคนเริ่มน้อยลง
• ทางก็เริ่มแคบ บางช่วงนี้ถึงกับเสียวว่าจะก้าวพลาด
• เพราะด้านขวาคือปากปล่องร้อนจี๋ ด้านซ้ายคือเหวลึก
• จะเลือกพลาดด้านไหน ก็พร้อมอยู่เฝ้า Bromo ทั้งน้านนน
• ด้วยความที่ปากปล่องวิวสวยมาก พวกเราก็เดินถ่ายรูปเล่นกันต่อแบบไม่คิดอะไร
• จนกระทั่งได้ยินเสียงคนแหกปากโวยวายดังมากๆ
• ในใจตอนนั้นคิดว่าคงมีใครเป็นอะไรรึเปล่า ผมเลยหยุดเดินแล้วหันไปตั้งใจฟัง…
• เฮ้ย!!! มันเรียกชื่อกรูนี่หว่า!
• ใครเรียกฟะ!?
• เมื่อจ้องมองไปทางต้นตอเสียงจึงพบว่ารสทิพย์กำลังแหกปาก ร้องเรียกให้พวกเราเดินกลับมา
โดยมีไกด์ที่อยู่ดูแลรสทิพย์วิ่งขึ้นมาหาเรา
• เมื่อผมกับเพื่อนอีก 2 เดินกลับมาพบไกด์ และรสทิพย์ที่รออยู่
• ถามไถ่ได้ความว่า พวกเราได้เดินไปไกลเกินกว่าที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเค้าจะไปกัน
• จุดที่เราไปยืนอยู่ มันเกือบจะสูงที่สุดของปากปล่อง และเคยมีคนตกเหวตายไปแล้ว!
• อ่ะโหวววว แล้วก็ไม่บอกกันซะตั้งแต่ทีแรก ก็ว่าทำไมคนมันน้อยๆ!
• ทางผ่านขากลับจาก Bromo ป็นช่วงที่ใกล้เคียง Mitty สุดละ..
• ถนนมันจะเป็นทะเลทรายโล่งๆ แล้วมีกลุ่มควันคลุ้งคลั่งมาก
คล้ายฉากที่ภูเขาไฟกำลังจะระเบิดใน Mitty เลยฮะ
• แถมนั่งรถไปอีกหน่อยนี่แทบกรี๊ด ทุ่งดอกไม้ม่วงบานกันสลอน
• งดงามมากฮะ เป็นอีกจุดที่สามารถถ่ายรูป Profile เฟสบุ้คอัดกันจนเม็มเต็ม
• หลังจากลง Bromo มา ไกด์ผู้แสนดี พาเราไปเท่ียวน้ำตกที่อยู่ไม่ไกล
• น้ำตกนั้นชื่อว่า Madakaripura
• ดูจากสายน้ำอันเชี่ยวกรากแล้ว ผมนี่เก็บกล้องเข้ากระเป๋าแทบไม่ทัน
• เที่ยวที่นี่ ผมแทบไม่ได้รูปมาเลยฮะ
• ด้านหน้าจะมีร้านขายเสื้อกันฝน, รองเท้าแตะ, และอาหารเล็กๆ น้อยๆ
• บะหมี่ถ้วยโกเร็ง เป็นอะไรที่ผงชูรสเยอะมากๆ แต่ก็อร่อยโฮกๆ
• พวกเราซื้อเสื้อกันฝนไปคนละตัว ไกด์บอกให้สวมไปเลย เพราะข้างในน้ำตกซู่ซ่ามากๆ
• เมื่อชายหญิงสี่คน สวมเสื้อกันฝนหลากสี บอกตรงๆ ว่า ดูไม่ต่างอะไรกับเทเลทับบี้เลยฮะ
เดี๋ยวมาต่อนะฮะ คำเต็มแย้ว!
[CR] มหากาพย์รีวิวเที่ยว Bromo ต่อ Kawah Ijen ทะลุ บาหลี + Tanah lot ฉบับ Walter Mitty LOW COST!!!
• หลังจากดู The Secret Life of Walter Mitty จบ คุณรู้สึกยังไงฮะ?
• รู้สึกว่าเชยจังฟะ หนังมันตั้งแต่ปีที่แล้ว มาถามอะไรเอาตอนนี้??
• เอิ่ม...ด้วยความเคารพนะฮะ คือ อย่าเพิ่งขัดได้มั้ยฮะ ผมขอถามชงเข้าเรื่องหน่อยละกัน..
• โอเค Take 2 : หลังจากดู The Secret Life of Walter Mitty จบ คุณรู้สึกยังไงฮะ?
• ผมรู้สึกว่า เฮ้ยยยย ที่เราทำอะไรอยู่? ทำไมถึงเดินขึ้นลิฟต์ตัวเดิม
ตอกบัตรที่เดิม นั่งในคอกสี่เหลี่ยมเดิมๆ ทุกวัน?
• ทำไมไม่ออกไปท่องโลกกว้างล่ะเฮ๊อะ!?
• นั่นคือที่มาที่ไปทั้งหมดของการเดินทางครั้งนี้!
• พร้อมแล้วเริ่มกันเลยฮะะะะ
[Spoil] คลิกเพื่อดูข้อความที่ซ่อนไว้
• ย้อนไปเมื่อเกือบสองปีก่อน...มือถือผมดัง เพื่อนสนิทคนหนึ่งโทรเข้ามา
อัครเดช. : เฮ้ย
ผม : ยัง เจ๋งป่ะ?
อัครเดช : เช้ดดดดดด รีบไปดูให้ด่วนเลย หนังดีมาก โคดบิ้ว กรูอยากไปเที่ยว
อยากไปภูเขาเดี๋ยวเน้ลลล์!
ผม : เออๆ เดี๋ยวไปดูละ
• ขณะที่เดินออกจากโรง รู้ตัวเลยว่าร่างกายมันต้องการออกทะยานไปที่ไหนซักแห่งแบบเฮียมิตตี้บ้าง
• ไอซ์แลนด์ กับกรีนแลนด์ คือดินแดนในฝันที่อยากสัมผัสสักครั้ง...
• ฮ่ะโถ่วววว ชีวิตจริงนี่แค่จะบินออกนอกประเทศยังคิดแล้วคิดอีก
• จู่ๆ จะไปเที่ยวไกลถึงขั้วโลกเหนือนี่เรียกว่าแทบเป็นไปไม่ได้
• ผมเก็บความคิดนี้ไว้ จนอัครเดชโทรมาหาผมอีกครั้ง
อัครเดช : เป็นไง ดูยัง?
ผม : ดูแล้ว โคดดี เราไปเที่ยวกันเหอะ
อัครเดช : เออ เอาดิ เอาภูเขาไฟแบบในมิตตี้เลยนะ
ผม :
อัครเดช : กรูจะไป โบรโม่
ผม : โปรโม่ เอ้อ มีโปรโม่ชั่นไปกรีนแลนด์ด้วยหรอวะ?
อัครเดช : โบรโม่โว้ยยย เป็นภูเขาไฟ อยู่อินโด พี่ที่ออฟฟิศบอก สวยโคด
ผม : เหมือนมิตตี้แน่นะ?
อัครเดช : เออ ได้ฟิลเลย
ผม : โอเค ไป!
• ครับ, หลังจากนั้น Trip Walter Mitty แบบ Low cost ก็ถือกำเนิดขึ้น
• หลังจากรวบรวมสมาชิกได้ 4 คน คือ อัครเดช, รสทิพย์, วิไลวรรณ และ ผม (นามสมมติ)
พวกเราก็ช่วยกันแพลนรายละเอียดคร่าวๆ ดังนี้ครับ
กทม. -> สนามบิน สุราบายา อินโด -> เช่ารถขึ้น Bromo ตี5 -> นอน Bromo ->
เที่ยวน้ำตกแถวๆ นั้น -> นอนแถว Ijen -> เช้ามืดเดินขึ้น Kawah Ijen เพื่อดู Blue flame ->
นั่งเรือข้ามไปบาหลี, ชม Tanah Lot, กินอะไรเกร๋วๆ -> บินกลับกทม.
• มีกัน 4 คน ก็แบ่งหน้าที่กันง่ายครับ
• ผม จองตั๋วเครื่องบิน ไป กลับ
• อัครเดช จองรถเช่าขึ้น Bromo และพาหนะทั้งหมด
• รสทิพย์, วิไลวรรณ จองที่พักทั้งหมด
• ถึงวันเดินทางทุกคนเจอกันที่ดอนเมืองแบบพร้อมหน้า...เอ๊ะ เดี๋ยวๆๆ
• มีคนหายไปคนนึง คือ รสทิพย์ นั่นเอง
• ผมซึ่งถึงเป็นคนแรก โทรถามรสทิพย์ว่าถึงไหนแล้ว
รสทิพย์ : ถึงแล้วพี่ๆ เนี่ยอยู่ชั้นสองละ
ผม : เออ พี่ก็อยู่ชั้นสองละ หน้าเคาท์เตอร์ แอร์ อ.ช. มาเช็คอินกันเร้ววว
รสทิพย์ : พี่ ชั้นนี้ไม่มีแอร์ อ.ช. นะพี่ หนูหาไม่เจออ่ะ
ผม : หาไม่เจอได้ไงอ่ะ ดอนเมืองเล็กจะตาย
รสทิพย์ : ห๊ะะะะะ!?! ดอนเมืองหรอ?? หนูอยู่สุวรรณภูมิอ่ะ!!!
ผม : เฮ้ยยยย!
• กริ๊ก...แล้วรสทิพย์ก็วางหูไปเลย
• ตอนนั้น พวกเราสองสามคนมองหน้ากันเลิ่กลัก
• กลัวมากๆ ว่ารสทิพย์จะมาไม่ทัน
• พยายามถามพนักงานว่า เครื่องมันจะดีเลย์มั้ย?
• ธรรมดาดีเลย์กี่นาทีครับ?
• พนักงานก็บอกว่า เที่ยวนี้ไม่น่าดีเลย์นะคะ
• มองนาฬิกาเหลืออีก 15 นาทีเครื่องออก
• พวกเรายังคงรอรสทิพย์อยู่ที่เคาท์เตอร์
• จะด้วยเล่นของหรือพลังงานอะไรบางอย่าง
• จู่ๆ มือถือผมก็ดัง รสทิพย์โทรมาบอกว่า ให้เข้า Gate ไปกันก่อนเลย เพราะเค้ามาถึงแล้ว!!!
• ตัดภาพไปที่สนามบินสุราบายาตอนตี 3
• ให้ลองจินตนาการดอนเมืองเมื่อซัก 20 ปีที่แล้ว
• บรรยากาศที่นี่ เป็นคล้ายๆ แบบนั้น
• พวกเราหอบกระเป๋าเดินทาง เดินงัวเงียหาคนรถที่มารับที่สนามบิน
• พี่คนรถยืนถือป้ายรอเราอยู่แล้ว
• รถที่มารับ เป็นรถมินิแวน คือเล็กกว่ารถตู้แต่ขับซิ่งดั่งวินเสาวรีย์
• ออกจากสนามบินตอนตีสามกว่า แวะเปลี่ยนรถจากมินิแวน เป็นรถจี๊บ 4WD
• นั่งหัวโหม่งหลังคารถได้ไม่นาน พวกเราก็ถึงจุดชมวิว Terima Kasih
• ที่ต้องมาตรงนี้ก่อนจะขึ้นเขา เพราะลมหายใจของ Bromo จะหาดูได้จากที่นี่เท่านั้น
• ณ เวลาเกือบๆ จะหกโมงเช้า มหาชนนักท่องเที่ยวนี่เอ่อล้นออกมาจนถึงทางเดินขึ้นจุดชมวิว
• พวกเราเดินฝ่ากระแสเคลื่อนมนุษย์ออกไปจนแตะขอบฟ้า
• ภาพตรงหน้าคือเกินที่จะบรรยายจริงๆ ฮะ
• เค้าบอกกันว่า Bromo คือภูเขาไฟที่ยังไม่ตาย ยังพร้อมปะทุอยู่เสมอ
• ควันขาวๆ ที่ลอยออกมานั่นแหละ คือลมหายใจของเธอ
• แต่ ณ ตอนที่ผม สบตากับเธอ กลับรู้สึกว่า เธอกำลังหายใจอย่างสงบ และอ่อนโยน
ไม่มีพิษมีภัยอะไร...ตอนนั้นผมยังไม่รู้จักเธอดีพอ
• ภาพตัดไปที่บนรถจี๊บมุ่งหน้าสู่ภูเขา Bromo ของจริง
• ระหว่างทางคือทะเลทรายเวิ้งว้าง มีหุบเขาสูงใหญ่ล้อมรอบเรา
• ยิ่งมอง ตัวเราก็ยิ่งเล็กลง มันสูงซะจนใจหวิว เหมือนยืนอยู่ยอดเขา ทั้งๆ ที่เดินอยู่บนพื้นแท้ๆ
• บอกตรงๆ เลยฮะว่าจุดนี้ถือเป็นจุดสุดยอดในการถ่ายรูป Profile Facebook เกร๋วๆ
• ผมนี่กดไปหลาย ได้รูป Profile ไปบาน เรียกว่าทุกวันนี้ยังใช้ไม่หมดเลยจากเซ็ตนี้เซ็ตเดียว
• ระหว่างทางเราเห็น Bromo อยู่ข้างหน้าเหมือนจะใกล้ๆ แต่ขับรถไปเท่าไหร่ ก็ไม่ถึงซักที
• จู่ๆ รถ Jeep ก็จอดเอาดื้อๆ
• หันซ้ายหันขวาดู อ้อ นี่มันที่จอดรถนีหว่า
• คนขับบอกว่า เค้าขอขับมาส่งได้แค่นี้ ส่งไกลแค่ไหนก็คงต้องไปอยู่ดี
• พวกเราเข้าใจ ยอมลงเดินแต่โดยดี คิดว่า Bromo อยู่ตรงหน้าแค่นี้ เดินแป๊ปเดียวก็ถึง
คิดเอง เออเองสุดๆ
• ระหว่างทางเดินไป มีคนเลี้ยงมาเอาม้ามาหลอกล่อเรามากมาย
• ประมาณว่า ขี่ม้าเหอะ จะเดินให้เหนื่อยทำไม
• แต่สมาชิกทั้งสี่ ยืนยันว่าจะเดิน เพราะบ้าถ่ายรูปกันทั้งสิ้น
• การอยู่บนหลังม้าแล้วหยิบกล้องมาถ่ายนู่นนี่ คงไม่ใช่เรื่องถนัดนัก
• พลาดพลั้งทำกล้องตกไป ม้าจะกระทืบเอาซะเปล่าๆ
• แต่ผมก็แอบถามราคาค่าม้าไว้เล่นๆ ได้ความว่า ราวๆ แปดร้อยบาทไทย
เออ กรูตัดสินใจถูกแล้ว เดินเอาดีกว่าครัช
• ช่วงแรกๆ ของการเดินขึ้น Bromo เป็นอะไรที่สก็อต อีซี่มว๊ากๆ
• คือเดินเล่น วิ่งกันพริ้ว แวะถ่ายรูปตรงนู้น ตรงนี้ แบบสบ๊ายสบาย หาความเหนื่อยไม่มี
• แต่พอผ่านช่วงนี้ไป จู่ๆ ทางมันก็ชันขึ้นมาซะดื้อๆ
• Bromo เป็นภูเขาที่อ่านใจคนได้
• ถ้าเราเดินๆ อยู่แล้วกระหายน้ำ ป้าขายน้ำจะโผล่ตรงหน้า
• ถ้าเราเห็นคนถือดอกไม้ แล้วอยากได้มาสักการะบ้าง พี่ขายดอกไม้ก็จะมาให้เห็น
• ขณะที่เราเมื่อย ไม่อยากเดิน นึกถึงม้า ม้าจะมา
• ผมลองถามราคาม้าอีกที คราวนี้ เหลือแค่สี่ร้อยนิดๆ
• ถามเพื่อนๆ ว่าเอาไงดี จะขี่มั้ย เดินไหวป่าว?
• ทุกคนมั่นใจในพลังกล้ามเนื้อขาของตัวเอง ปฏิเสธแบบหล่อๆ กันไป
• เดินไปได้สักพัก จะถึง Level 3 ของ Bromo
• นี่คือของจริง บันไดไม่รู้กี่ร้อยขั้น ตั้งเด่รอให้เราพิชิตยอดเขาอยู่
• บันไดนี้มีความกว้างขนาดสองคนสวนกันได้สบายๆ เรียกว่าความกว้างไม่ใช่ปัญหา
• แต่ความชันนี่แหละ ตัวบั่นทอนกำลังใจ บางช่วงนี่น่าจะเกิน 30 องศาได้
• ความมั่นใจเรื่องกล้ามเนื้อขาหดหายไปแบบหมดสิ้น
• ไอ่ที่เคยคิดว่า Bromo กำลังหายใจอย่างอ่อนโยน ไม่มีพิษมีภัยอะไร ตอนนี้รู้แล้วว่าไม่ใช่เลย
แต่พอหันกลับไปดูเท่านั้นแหละ…โอ้โหเลยฮะ
• ด้วยความสูง และลาดชันระดับขาสั่น
• ทำให้สมาชิกคนหนึ่งของทริป ขอหยุดการเดินไว้ ณ ก่อนถึงปากปล่อง
• พวกเราเสียดายแทนรสทิพย์มาก ที่มาถึงที่แล้วแต่ไม่ได้เห็นมันด้วยตาของตัวเอง
• ผมแสดงออกความรู้สึกนั้นด้วยการแตะไหล่รสทิพย์เบาๆ แล้วพูดว่า...สม
• เดินขึ้นไปอีกไม่ไกล จนเห็นควันปุ๋ยๆ ใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ
• รู้สึกตัวอีกที ก็มาอยู่บนปากปล่อง Bromo แล้ว
• ด้านบนนี้สูง และสวยมากๆ จากจุดชมวิวว่าสวยแล้วนะ
• ตรงนี้พีคกว่าแบบเทียบไม่ติด
• อารมณ์เหมือนเจอผู้หญิงสวยระยะ 100 เมตร แล้วได้ซูมว๊าฟฟฟฟ เข้าไปประชิดแบบ 10 เซ็นต์
• ความงามมันช่างเปรียบกันไม่ได้เลย
• เราเดินสำรวจปากปล่องกันอย่างสนุกสนาน
• ข้างๆ ทางมีกลุ่มนักท่องเทียวท้องถิ่น คาดว่าเจนสนามมากๆ
• นั่งปูเสื่อปิกนิกกันเพลิดเพลิน ณ จุดที่พวกเค้านั่ง ถ้าพลาดกลิ้งตกลงไปก็ตายได้
• ผมกับเพื่อนเดินกันไปเรื่อยๆ เริ่มรู้สึกว่า เอ๊ะ ทำไมคนเริ่มน้อยลง
• ทางก็เริ่มแคบ บางช่วงนี้ถึงกับเสียวว่าจะก้าวพลาด
• เพราะด้านขวาคือปากปล่องร้อนจี๋ ด้านซ้ายคือเหวลึก
• จะเลือกพลาดด้านไหน ก็พร้อมอยู่เฝ้า Bromo ทั้งน้านนน
• ด้วยความที่ปากปล่องวิวสวยมาก พวกเราก็เดินถ่ายรูปเล่นกันต่อแบบไม่คิดอะไร
• จนกระทั่งได้ยินเสียงคนแหกปากโวยวายดังมากๆ
• ในใจตอนนั้นคิดว่าคงมีใครเป็นอะไรรึเปล่า ผมเลยหยุดเดินแล้วหันไปตั้งใจฟัง…
• เฮ้ย!!! มันเรียกชื่อกรูนี่หว่า!
• ใครเรียกฟะ!?
• เมื่อจ้องมองไปทางต้นตอเสียงจึงพบว่ารสทิพย์กำลังแหกปาก ร้องเรียกให้พวกเราเดินกลับมา
โดยมีไกด์ที่อยู่ดูแลรสทิพย์วิ่งขึ้นมาหาเรา
• เมื่อผมกับเพื่อนอีก 2 เดินกลับมาพบไกด์ และรสทิพย์ที่รออยู่
• ถามไถ่ได้ความว่า พวกเราได้เดินไปไกลเกินกว่าที่นักท่องเที่ยวทั่วไปเค้าจะไปกัน
• จุดที่เราไปยืนอยู่ มันเกือบจะสูงที่สุดของปากปล่อง และเคยมีคนตกเหวตายไปแล้ว!
• อ่ะโหวววว แล้วก็ไม่บอกกันซะตั้งแต่ทีแรก ก็ว่าทำไมคนมันน้อยๆ!
• ทางผ่านขากลับจาก Bromo ป็นช่วงที่ใกล้เคียง Mitty สุดละ..
• ถนนมันจะเป็นทะเลทรายโล่งๆ แล้วมีกลุ่มควันคลุ้งคลั่งมาก
คล้ายฉากที่ภูเขาไฟกำลังจะระเบิดใน Mitty เลยฮะ
• แถมนั่งรถไปอีกหน่อยนี่แทบกรี๊ด ทุ่งดอกไม้ม่วงบานกันสลอน
• งดงามมากฮะ เป็นอีกจุดที่สามารถถ่ายรูป Profile เฟสบุ้คอัดกันจนเม็มเต็ม
• หลังจากลง Bromo มา ไกด์ผู้แสนดี พาเราไปเท่ียวน้ำตกที่อยู่ไม่ไกล
• น้ำตกนั้นชื่อว่า Madakaripura
• ดูจากสายน้ำอันเชี่ยวกรากแล้ว ผมนี่เก็บกล้องเข้ากระเป๋าแทบไม่ทัน
• เที่ยวที่นี่ ผมแทบไม่ได้รูปมาเลยฮะ
• ด้านหน้าจะมีร้านขายเสื้อกันฝน, รองเท้าแตะ, และอาหารเล็กๆ น้อยๆ
• บะหมี่ถ้วยโกเร็ง เป็นอะไรที่ผงชูรสเยอะมากๆ แต่ก็อร่อยโฮกๆ
• พวกเราซื้อเสื้อกันฝนไปคนละตัว ไกด์บอกให้สวมไปเลย เพราะข้างในน้ำตกซู่ซ่ามากๆ
• เมื่อชายหญิงสี่คน สวมเสื้อกันฝนหลากสี บอกตรงๆ ว่า ดูไม่ต่างอะไรกับเทเลทับบี้เลยฮะ
เดี๋ยวมาต่อนะฮะ คำเต็มแย้ว!