
จริงอยู่ที่ Modernism ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันแนวคิดดังกล่าวก็ทำให้มนุษย์ห่างไกลจากศาสนา จิตใจของมนุษย์ไม่ได้รับการขัดเกลา เพราะมุ่งแต่สรรหาความสุขสบายและอำนาจที่มั่นคง ถาวร จนกระทั่งราวปี 1970 ก็เกิดแนวคิดต่อต้านขนบที่ดำรงคืมาตั้งแม่สมัยยุคเรเนซองส์นั่นคือ Postmodernism แนวคิดที่ปฏิเสธความจริงแท้แน่นอน และมองความจริงในหลากหลายมุมมากขึ้น
Blowup ซึ่งมีความหมายว่าภาพที่ถูกซูมเอารายละเอียดหรือหมายถึงระเบิด อุปมาเหมือนภาพวาด Abstract expressionism (ศิลปะที่เฟื่องฟูในยุคโพสโมเดิร์น เช่น No. 5, 1948 ของแจคสัน พอลลอค) ของเพื่อนศิลปินของตัวละครเอก ในหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับอิตาลี่ Michelangelo Antonioni เขานำเสนอยุคสมัยที่เป็นจุดเฟื่องฟูสูงสุดของ Modernism ยุคที่ผู้คนดำรงสถานะเป็นผู้บริโภคในระบบอุตสาหกรรมที่เจริญก้าวหน้า ล้มเลิกศรัทธาในศาสนา และศิลปะที่เน้นนำเสนอความจริงจากสิ่งที่ตาเห็น
Modernism คือยุคสมัยที่มนุษย์ใช้ libido เป็นตัวขับเคลื่อนนำไปสู่ความรุ่งเรืองทานด้านวัตถุและอำนาจทางการเมือง และแน่นอนว่าสงครามการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันก็คือผลลัพธ์ที่ตามมา Blowup ฉายภาพกรุงลอนดอนในยุคที่เพิ่งฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ Swinging London ผู้คนเหมือนได้ปลดแอกตัวเองหลังจากความทุกข์ยากในสมัยสงคราม นี่คือช่วงเวลาแห่งสุขนิยม (Hedonism) มนุษย์ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสุขสบายของตนเอง ตัวเอกที่เป็นช่างภาพแฟชั่น เมื่อเขาเบื่องาน เขาก็เดินออกไปจากสตูดิโอไปซะงั้น หรือสองสาวที่ยอมแลกตัวเพื่อจะได้เป็นนางแบบแฟชั่น
ยุคนี่เองที่ยาเสพติดทุกชนิดแพร่กระจาย (ปาร์ตี้กัญชาของเหล่าไฮโซ) ช่องห่างระหว่างชนชั้นทางสังคมก็ถูกถ่างกว้างขึ้น (ฉากพระเอกไปนอนบ้านคนยากไร้เพื่อไปถ่ายรูปผู้คนชนชั้นล่าง เขาทำไปก็อาจเพียงเพื่อโก้หรู) หรืออาจเรียกได้ว่า มันคือยุคสมัยแห่ง “ความบ้าใบ้ไร้สาระ” (ตัวตลกละครใบ้ที่ปรากฎในตอนต้นและตอนจบ ซึ่งพวกเขาอาจจะบ้าเพราะยาเสพติดก็ได้นะ) และพวกเขาไม่อาจตระหนักรู้ว่าสิ่งที่มองเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ของที่มีคุณค่าหรือความหมายในกลุ่มคนหนึ่งๆ อาจไร้ประโยชน์เป็นแค่เศษขณะกองหนึ่งเท่านั้น (กีต้าของเจฟ เบ็ค, ตัวเอกที่มองผู้หญิงเป็นเบื้องล่าง เพศชายเป็นใหญ่)
ภาพถ่ายที่พระเอกนั่งเทียนเอาว่านั่นคือหลักฐานของการฆาตกรรม (ณ จุดๆนี้รู้สึกเหมือนเป็นการ homage Hitchcock) เพราะเอาจริงๆแล้ว ศพที่เขาเห็นอาจเป็นอาการหลอนของเขาเองจากการใช้ยา ภาพที่เหลือรูปเดียว (หลังจากสตูดิโอเขาถูกรื้อค้น) ซึ่งภาพนั้นก็เกิดจากการซูมจนกระทั่งแทบดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่พระเอกก็มโนว่าคือคนนอนตาย Modernism มาถึงจุดที่ให้ผลร้ายมากกว่าผลดี มันช่างห่างไกลจากเป้าประสงค์ตอนแรกเหลือเกิน
ยินดีต้อนรับสู่ยุคสมัยโพสต์โมเดิร์น
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ
https://www.facebook.com/survival.king
Tempy Movies Review รีวิวหนัง: Blowup {Michelangelo Antonioni}, 1966
จริงอยู่ที่ Modernism ทำให้เกิดความเจริญก้าวหน้าทางด้านเทคโนโลยีและอุตสาหกรรม แต่ในขณะเดียวกันแนวคิดดังกล่าวก็ทำให้มนุษย์ห่างไกลจากศาสนา จิตใจของมนุษย์ไม่ได้รับการขัดเกลา เพราะมุ่งแต่สรรหาความสุขสบายและอำนาจที่มั่นคง ถาวร จนกระทั่งราวปี 1970 ก็เกิดแนวคิดต่อต้านขนบที่ดำรงคืมาตั้งแม่สมัยยุคเรเนซองส์นั่นคือ Postmodernism แนวคิดที่ปฏิเสธความจริงแท้แน่นอน และมองความจริงในหลากหลายมุมมากขึ้น
Blowup ซึ่งมีความหมายว่าภาพที่ถูกซูมเอารายละเอียดหรือหมายถึงระเบิด อุปมาเหมือนภาพวาด Abstract expressionism (ศิลปะที่เฟื่องฟูในยุคโพสโมเดิร์น เช่น No. 5, 1948 ของแจคสัน พอลลอค) ของเพื่อนศิลปินของตัวละครเอก ในหนังภาษาอังกฤษเรื่องแรกของผู้กำกับอิตาลี่ Michelangelo Antonioni เขานำเสนอยุคสมัยที่เป็นจุดเฟื่องฟูสูงสุดของ Modernism ยุคที่ผู้คนดำรงสถานะเป็นผู้บริโภคในระบบอุตสาหกรรมที่เจริญก้าวหน้า ล้มเลิกศรัทธาในศาสนา และศิลปะที่เน้นนำเสนอความจริงจากสิ่งที่ตาเห็น
Modernism คือยุคสมัยที่มนุษย์ใช้ libido เป็นตัวขับเคลื่อนนำไปสู่ความรุ่งเรืองทานด้านวัตถุและอำนาจทางการเมือง และแน่นอนว่าสงครามการแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกันก็คือผลลัพธ์ที่ตามมา Blowup ฉายภาพกรุงลอนดอนในยุคที่เพิ่งฟื้นตัวจากสงครามโลกครั้งที่สอง หรือ Swinging London ผู้คนเหมือนได้ปลดแอกตัวเองหลังจากความทุกข์ยากในสมัยสงคราม นี่คือช่วงเวลาแห่งสุขนิยม (Hedonism) มนุษย์ทำทุกสิ่งทุกอย่างเพื่อความสุขสบายของตนเอง ตัวเอกที่เป็นช่างภาพแฟชั่น เมื่อเขาเบื่องาน เขาก็เดินออกไปจากสตูดิโอไปซะงั้น หรือสองสาวที่ยอมแลกตัวเพื่อจะได้เป็นนางแบบแฟชั่น
ยุคนี่เองที่ยาเสพติดทุกชนิดแพร่กระจาย (ปาร์ตี้กัญชาของเหล่าไฮโซ) ช่องห่างระหว่างชนชั้นทางสังคมก็ถูกถ่างกว้างขึ้น (ฉากพระเอกไปนอนบ้านคนยากไร้เพื่อไปถ่ายรูปผู้คนชนชั้นล่าง เขาทำไปก็อาจเพียงเพื่อโก้หรู) หรืออาจเรียกได้ว่า มันคือยุคสมัยแห่ง “ความบ้าใบ้ไร้สาระ” (ตัวตลกละครใบ้ที่ปรากฎในตอนต้นและตอนจบ ซึ่งพวกเขาอาจจะบ้าเพราะยาเสพติดก็ได้นะ) และพวกเขาไม่อาจตระหนักรู้ว่าสิ่งที่มองเห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น ของที่มีคุณค่าหรือความหมายในกลุ่มคนหนึ่งๆ อาจไร้ประโยชน์เป็นแค่เศษขณะกองหนึ่งเท่านั้น (กีต้าของเจฟ เบ็ค, ตัวเอกที่มองผู้หญิงเป็นเบื้องล่าง เพศชายเป็นใหญ่)
ภาพถ่ายที่พระเอกนั่งเทียนเอาว่านั่นคือหลักฐานของการฆาตกรรม (ณ จุดๆนี้รู้สึกเหมือนเป็นการ homage Hitchcock) เพราะเอาจริงๆแล้ว ศพที่เขาเห็นอาจเป็นอาการหลอนของเขาเองจากการใช้ยา ภาพที่เหลือรูปเดียว (หลังจากสตูดิโอเขาถูกรื้อค้น) ซึ่งภาพนั้นก็เกิดจากการซูมจนกระทั่งแทบดูไม่ออกว่าคืออะไร แต่พระเอกก็มโนว่าคือคนนอนตาย Modernism มาถึงจุดที่ให้ผลร้ายมากกว่าผลดี มันช่างห่างไกลจากเป้าประสงค์ตอนแรกเหลือเกิน
ยินดีต้อนรับสู่ยุคสมัยโพสต์โมเดิร์น
ร่วมพูดคุยเกี่ยวกับภาพยนตร์ทางเฟสได้เลยน่ะครับ https://www.facebook.com/survival.king