The Virgin Suicides – เป็นวัยรุ่น หรือ พ่อแม่ ยากกว่ากัน?

ผมเคยได้ยินชื่อผลงาน The Virgin Suicides มานานพอสมควร จนวันนี้มีโอกาสได้หยิบมาดูซักที ผมรู้จัก Sofia Coppola จาก Lost in Translation และก็ชื่นชอบ Lost in Translation ในระดับหนึ่ง แต่ที่ผมสนใจเธอมากขึ้น ก็มาจากหนังเรื่อง Her ที่มีการสื่อสารบางอย่างไปถึงเธอนั่นเอง และถ้าตัวละครใน Her คือเธอจริงๆ เราก็รับรู้เลยว่า แม้ภาพภายนอก Sofia จะดูป็นหญิงเก่ง มีความสามารถ แต่เบื้องหลัง เธอก็เป็นผู้หญิงธรรมดาที่มีอารมณ์ความรู้สึกเหมือนผู้หญิงทั่วไปนั่นเอง

หนัง Coming of Age ที่ผมประทับใจล่าสุดคือ The Perk of Being a Wallflower และก็คาดหวังไว้สูงสำหรับ The Virgin Suicides พออ่านเรื่องย่อและเห็นหน้าหนังแล้ว ยิ่งน่าสนใจมากสำหรับ The Virgin Suicides ประกอบกับการเคยเห็นการถ่ายทอดอารมณ์ได้อย่างลงตัวใน Lost in Translation มาแล้ว ผมจึงตั้งความคาดหวังไว้ค่อนข้างสูงสำหรับเรื่องนี้ แต่โดยรวมหนังยังทำได้ไม่ค่อยน่าประทับใจซักเท่าไหร่

หนังไม่ได้มีความซับซ้อนในเส้นเรื่อง สามารถเข้าใจลำดับเหตุการณ์ในหนังได้อย่างง่ายดาย แต่สิ่งที่ทำให้ไม่น่าประทับใจเท่าที่ควร คือ การให้ความสำคัญในการเปลี่ยนแปลงด้านอารณ์ความรู้สึกของตัวละครหลัก มี 2 ช่วงสำคัญ ในการเปลี่ยนแปลงตรงจุดนี้ ทั้งตอนช่วงที่ Cecillia ฆ่าตัวตาย และช่วงหลังที่ทั้ง 4 สาว ถูกกักบริเวณให้อยู่แต่ในบ้าน ถามว่าเราพอเดาความรู้สึกของตัวละครได้ไหม ก็ตอบว่า เราพอเดาได้ แต่เราก็อยากให้หนังส่งอารมณ์มาถึงเราด้วย มันเหมือนกับว่า เรารู้และเข้าใจ แต่ไม่รู้สึก

นอกเหนือไปจากประเด็นข้างต้น ประเด็นของพ่อ-แม่ ก็ยังให้น้ำหนักน้อยไปหน่อย จริงๆมันควรมีการเล่าและถ่ายทอดอารณ์มากกว่านี้ เพราะตัวละครพ่อ-แม่ก็ไม่ใช่ตัวละครเรียบๆ มีความลึกด้านอารมณ์ความรู้สึกเช่นกัน ผมเองก็รับรู้ได้แบบผิวเผินไม่เต็มเม็ดเต็มหน่วยมากนัก ผมอยากให้หนังเน้นการเล่าที่มาของการตัดสินใจของพ่อแม่ เพราะจริงๆแล้วพ่อแม่ก็มีเหตุผลลึกๆในการตัดสินใจในแต่ละเหตุการณ์เช่นกัน

ภาคการแสดงถือว่าทำได้โอเคเท่าที่บทพอจะมีให้เล่น ผมเชื่อว่าถ้าบทเขียนซีนเพิ่มเติมมากกว่านี้ เราอาจได้เห็นพลังของนักแสดงมากกว่านี้ โดยเฉพาะ Kirsten Dunst ที่เล่นเป็น Lux กับ Kathleen Turner ที่เล่นเป็นแม่ ที่ค่อนข้างมีมิติความขัดแย้ง การเปลี่ยนแปลงในตัวละครค่อนข้างสูง

ดนตรีประกอบ คือสิ่งที่ต้องชื่นชม ทำได้ดีมากทั้งดนตรีประกอบและเพลงประกอบ หลายๆฉากเพลงประกอบช่วยกระตุ้นอารมณ์ให้เราอินไปกับหนังได้มากทีเดียว เพลง Playground Love ของ Air มันหม่นมันเหงามาก และมันแทนความรู้สึกของตัวละครและหนังได้ดีมาก ดูจบต้องรีบไปหาฟังซ้ำเลยทันที

ว่ากันว่าการก้าวผ่านช่วงวัยรุ่น เป็นช่วงเวลาที่ยากที่สุด เป็นช่วงหัวเลี้ยวหัวตอ จะไปทางดีหรือร้าย ก็อยู่ในช่วงนี้ วัยรุ่นคือวัยที่อยากลองอะไรใหม่ๆ กล้าทำในสิ่งอยากรู้อยากลอง  ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ ต้องการอิสระ อะไรยิ่งถูกห้าม ก็ยิ่งจะอยากลอง บางคนก็ผ่านช่วงวัยรุ่นมาได้ด้วยดี บางคนก็ผ่านมาได้แบบทุลักทุเล ดีบ้างร้ายบ้าง และบางคนอาจจะผ่านมันมาไม่ได้เลยก็มี

พ่อแม่ทุกคนเคยผ่านช่วงวัยรุ่นมาด้วยกันทั้งนั้น แต่สิ่งที่ต่างกันบ้าง ก็คือ ยุคสมัยที่พ่อแม่เป็นวัยรุ่นกับตอนมีลูก มันคือคนละยุคกัน อะไรเลยๆอย่างมันก็ต่างกันไป สังคมอาจให้คุณค่าให้สิ่งที่ต่างกัน กิจกรรมที่สนใจแตกต่างกัน ไหนจะเทคโนโลยีอีก มันไม่ง่ายเลยที่พ่อแม่จะเข้าใจความรู้สึกของลูกในช่วงวัยรุ่นได้

การให้ความรัก ความอบอุ่น ความเข้าใจแก่ลูก จะช่วยให้ลูกไม่ออกนอกลู่นอกทาง ผมว่ามันเป็นอะไรที่พูดง่ายแต่ทำยากมากๆ เพราะทุกคนต่างก็มีอัตตาของตัวเอง พ่อแม่ก็มีความเชื่อของตัวเอง อะไรที่ตัวเองคิดว่าดี ก็อยากให้ลูกได้สิ่งนั้น ซึ่งนั่นมันอาจจะไม่ใช้สิ่งที่ลูกต้องการก็ได้ ขณะเดียวกันสิ่งที่พ่อแม่คิดว่าไม่ดีและพยายามกีดกันไม่ให้ลูกเข้าไปยุ่งกับมัน จริงๆมันอาจมีมุมดีๆอยู่ก็ได้

ผมเชื่อว่าการเป็นพ่อแม่ที่มีลูกอยู่ในช่วงวัยรุ่นนั้น ยากลำบากไม่แพ้การเป็นวัยรุ่นเลย มันเป็นช่วงที่ต้องเติบโตไปอีกขั้นของพ่อแม่ เค้าอาจจะต้องเริ่มเรียนรู้ เริ่มปล่อย และเริ่มทำใจ เพราะช่วงนี้ลูกน้อยของเค้ากำลังจะเริ่มโบยบินไปในทิศทางที่เค้าต้องการ เราไม่อาจไม่ควบคุมมันได้อีกแล้ว สิ่งที่พ่อแม่ทำได้ คือดูแลอยู่ห่างๆ ให้คำแนะนำ แต่ไม่สามารถบังคับได้ คอยปลอยใจอยู่เคียงข้าง เมื่อลูกพลาดพลั้ง เพราะลูกไม่ใช่ตัวเราอีกต่อไปแล้ว

แม้ว่าวัยรุ่นจะเป็นวัยที่ต้องการอิสระ ไม่ชอบให้ใครมาบังคับ แต่ผมเชื่อว่าเค้าไม่สามารถก้าวผ่านช่วงเวลาแบบนี้ไปคนเดียวได้ แม้ว่าพ่อแม่แต่ละคน อาจจะปฏิบัติกับลูกแตกต่างวิธีกันไป แต่สิ่งหนึ่งที่เหมือนกันและเรารับรู้ได้ คือ พ่อแม่ทุกคนหวังดีกับลูก และผมเชื่อว่าวัยรุ่นทุกคนจะสามารถผ่านช่วงเวลาวัยนี้ไปได้ ถ้ามีพ่อแม่คอยอยู่เคียงข้าง แม้พวกเค้าจะไม่ได้รับรู้เรื่องราวอะไรของลูกเลย ไม่รู้ว่าลูกกำลังเจอปัญหาอะไรด้วยซ้ำไป แต่เพียงแค่ประโยคคำถาม เมื่อเรากลับบ้านว่า “หิวไหม ทานข้าวมารึยัง” แค่นั้นมันก็เป็นพลังที่ยิ่งใหญ่มหาศาลแล้ว

https://www.facebook.com/MyOwnPrivateFilm/
แก้ไขข้อความเมื่อ
แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่