จากใจคนวัยทำงานฝากถึงเด็กรุ่นใหม่ที่ยังเรียนไม่จบ แต่รสนิยมสูงบางกลุ่ม

กระทู้นี้ไม่ได้มีเจตนาต่อว่า แต่อยากจะตีแผ่ความจริงบางอย่างให้เด็กรุ่นใหม่ที่กำลังจะเรียนจบได้รับทราบถึงชีวิตจริงคนทำงาน
จขกท. ได้เห็นเด็กรุ่นใหม่หลายคนที่ยังเรียนอยู่ในระดับอุดมศึกษาอายุ 17-22 ปี และยังเรียนไม่จบหลายๆคน ที่มีรสนิยมค่อนข้างสูง
แต่เมื่อได้พูดคุยถึงอนาคตการทำงาน สิ่งที่ได้รับคือ วิมานอากาศสวยหรู ซึ่ง จขกท. ฟังแล้วก็อดนึกไม่ได้ว่า"ชีวิตจริงไม่ได้ง่ายอย่างนั้นนะหนู"
จึงอยากจะมาฝากอะไรเล็กๆน้อยๆเผื่อว่าเด็กรุ่นใหม่ที่ใช้โซเชียลจะมีโอกาสได้เห็นกระทู้นี้ (อย่างที่บอกเจตนาของกระทู้นี้ไม่ได้ต่อว่าหรือตำหนิ แต่เป็นการฝากแง่คิดดีดีในการดำเนินชีวิต ซึ่งมหาวิทยาลัยไม่ได้สอน)
โดยเบื้องต้น ขอแบ่งเด็กจบมาพร้อมทำงาน เป็น 4 กรุ๊ป A B C D
กรุ๊ป A
พ่อแม่รวยมีกิจการใหญ่ อันนี้คุณอยากทำอะไรทำเลยครับ เพราะต่อให้คุณไม่ทำงานคุณก็มีกินทั้งชีวิต จะไปลำบากอีกทีน่าจะรุ่นลูกรุ่นหลานคุณ

กรุ๊ป B
พ่อแม่พอมีฐานะ กล่าวคืออาจเป็นระดับผู้จัดการระดับสูงในบริษัทหรือมีกิจการขนาดกลาง(SME) สิ่งเหล่านี้ เป็นสิ่งที่เกิดและดับได้ง่ายถ้าไม่เจ๋งพอ เพราะโลกหมุนทุกวัน คู่แข่งเพิ่มขึ้นทุกวัน การที่บริษัท SME ไม่พัฒนาขึ้น แต่ย่ำอยู่กับที่ แปลว่าคุณถอยหลังแล้ว ถ้าไม่มีการพัฒนา ไม่เกิน10ปีรับรองเจ๊งแน่นอน ฉะนั้นรุ่นลูกที่มาบริหารคุณต้องเก่งพอ หรือไม่ก็ไม่รับกิจการแล้วหาอย่างอื่นทำไปเลย

กรุ๊ป C
พ่อแม่ฐานะกลางๆ ทำงานกินเงินเดือนทั้งข้าราชการและเอกชนหรือมีกิจการขนาดเล็ก แน่นอนกลุ่มนี้ลูกจบมาส่วนนึงจะไม่ค่อยอยากรับช่วงกิจการที่บ้านต่อ

กรุ๊ป D
ฐานะที่บ้านค่อนข้างลำบาก อันนี้ขอไม่กล่าวถึง

ทีนี้พฤติกรรมที่พบเห็นในวัยรุ่นปัจจุบันคือ กลุ่ม B และ C (ซึ่งเป็นกลุ่มใหญ่ในสังคม) จะตกเป็นเหยื่อของโซเชียล กล่าวคือ เห็นเน็ตไอดอลดังๆใช้อะไรก็เกิดความอยากได้อยากมี เห็นAทำอะไรก็อยากทำตามเพราะรู้สึกว่าเราได้รับการยอมรับ จนบางครั้งเราอาจเห็นนักศึกษาหลายๆคนเข้าไปสั่งสตาบัคร์แก้วละ 100-200 จนมีบัตรทอง ถามว่าผิดมั้ย?? ไม่ผิดถ้าคุณเป็น A แต่ถ้าคุณเป็นกลุ่ม B กลุ่ม C อยากจะฝากนิดนึง
l
l
l
V
คำถามที่ผมมักถาม เด็กวัยอุดมศึกษา คิดว่าจบมาจะเงินเดือนเท่าไหร่? อยากมีบ้านตอนอายุเท่าไหร่? อยากมีรถอะไร? อยากมีลูกกี่คน?
คำตอบที่ผมมักได้ จบมาเงินเดือน15000-18000 อยากมีรถอย่างต่ำๆก็รุ่นกลาง (ซีวิคหรืออัลติส) อยากมีบ้านตอนอายุ 30 มีลูก 2 คน
คำถามที่ผมมักถามต่อคือ แล้วรู้มั้ยว่าต้องทำยังไงบ้าง??? คำตอบที่ผมมักได้รับคือ เดี๋ยวว่ากัน,ยังไม่ได้คิด และอื่นๆ ทีนี้เรามาลองซอยกันดู

1.จบมาเงินเดือน 15000-18000 อันนี้เกิดขึ้นได้จริงครับ
2.มีรถรุ่นกลางซีวิคหรืออัลติส อันนี้ราคาประมาณ 800k-1m
3.มีบ้านตอนอายุ 30 อันนี้บางคนก็ตอบคอนโด ซึ่งคอนโดทำเลดีดีส่วนมาก 2m ขึ้นไป ผมตีว่า 2m-5m สำหรับบ้านและคอนโด

ในความเป็นจริงนะครับ ถ้าผมลองแจกแจงค่าใช้จ่ายดูจะได้ดังนี้
1. ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เฉพาะค่ากิน!! เดือนนึงผมว่ามีไม่ต่ำกว่า 6,000 แน่นอน (ใช้วันละ 200 ไม่นับกลุ่มกินสตาบัคนะครับ อันนั้นกาแฟอย่างเดียวก็ใช้หมดแล้ว)
2. ค่าผ่อนรถ ผมตีว่ารถ 1 คัน ใช้ได้ 10 ปี +ค่าเมนเทอแนนซ์ และบำรุงรักษารถราคา 1ล้าน รวมค่าน้ำมันและบำรุงผมว่ามี 1.5ล้านแน่นอน ดังนั้นผมตีว่าค่าใช้จ่ายที่หมดไปกับรถยนต์เฉลี่ย ปีละ 150,000 (10ปี 1.5ล้าน ซึ่งความจริงสูงกว่าแน่นอน) เดือนละ 12,500 บาท
3. ค่าผ่อนบ้าน แน่นอน บ้านคุณอยู่ไม่ต่ำกว่า 10 ปี อัตราค่าผ่อนบ้าน 1ล้านบาทผ่อนเดือนละ 7000 (30ปี) ถ้าบ้านเดี่ยวชานเมืองตอนนี้ส่วนมากเริ่มต้นที่ 5 ล้านทั้งนั้น (ขนาดทาวโฮมบางที่ยัง 6 ล้านเลย) ก็ 35,000บาท

รวมกันทั้งหมด 6,000+12,500+35,000= 53,500 บาทครับที่คุณต้องหาให้ได้ในแต่ละเดือน

แต่อย่าลืม!!!!! นี่คุณยังไม่รวมค่าเสื้อผ้า น้ำหอม กระเป๋า รองเท้า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพ ค่าท่องเที่ยว ค่าภาษีสังคม ค่าส่งเสียลูก ค่ารักษายามเจ็บป่วย และที่สำคัญ "ยังไม่ได้ให้พ่อแม่!!!"

ถ้างั้นเรามาดูทางเลือกที่ 2 คือลดรสนิยมลงมากันบ้าง
1.ใช้จ่ายกินข้าว ผมว่า ยังไงก็คงยากที่จะลดให้ต่ำกว่า 6,000 บาท เอาเป็นว่า ไม่กินข้าวเช้าละกัน กินแค่มื้อเที่ยงกับเย็น ลดให้เหลือ 5,000 บาทพอ
2.ค่าผ่อนรถ ซีวิคมันหรูไป! เอาอีโค่คาร์ก็พออออออ 400,000เองจ้าาา ใช้ 10 ปี รวมค่าบำรุงรักษาและน้ำมัน ซัก 600,000เนาะ ปีละ 60,000 เดือนละ 5,000
3.ค่าผ่อนบ้าน บ้านแพงงงง เอาคอนโดละกัน คอนโดเริ่มต้นก็ 2 ล้านแล้วจ้า ก็ 14,000 บาท
รวมกันทั้งหมด 5,000+5,000+14,000= 24,000 บาทที่คุณต้องหาให้ได้ในแต่ละเดือน

แต่อย่าลืม!!!!! นี่คุณยังไม่รวมค่าเสื้อผ้า น้ำหอม กระเป๋า รองเท้า ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าโทรศัพ ค่าท่องเที่ยว ค่าภาษีสังคม ค่าส่งเสียลูก ค่ารักษายามเจ็บป่วย และที่สำคัญ "ยังไม่ได้ให้พ่อแม่!!!"

เอาล่ะ มาถึงตรงนี้ เชื่อว่าบางคนก็จะพูดว่า โถ่ จะไปยากอะไร ก็แค่ทำงานบริษัทให้ได้เดือนละ 100,000เอง!! ทีนี้ขอแชร์ในมุมของพนักงานบริษัทที่มีเพื่อนทำงานบริษัทยักใหญ่ และเป็นตำแหน่ง HR ที่มีหน้าที่ในการปรับเงินเดือนพนักงานบ้าง ว่าเงินเดือนพนักงานเค้าปรับที่ปีละเท่าไหร่

ไม่ว่าจะเป็นตำแหน่งไหนก็ตาม เฉลี่ยอัตราการปรับเงินเดือนจะอยู่ที่ 3-10% ต่อปี (บริษัทที่ผมเคยทำ ปรับ1.5เปอเซ็นต่อปี เงินเดือน 20000 ครบปี ได้เป็น 20300 ดีใจน้ำตาไหลหนักมาก!)
สมมติถ้าคุณเงินเดือน Start 20,000 (ซึ่งเป็นไปได้ยากมาก) และบริษัทโครงสร้างพนักงานปรับเงินเดือน 3เปอเซ็นต่อปี
1ปีแรก 20600
10ปีเงินเดือนจะเป็น 26878
30ปีเงินเดือนจะเป็น 48545 (คุณอายุ 52ปีแล้ว)

อาจจะดูน้อยไป งั้นถ้าสมมติคุณเก่งโคตรละกัน และบริษัทคุณดีมากๆ ปรับเงินเดือนให้10%ต่อปี ทุกปีเลย (ไม่มีที่ไหนปรับให้ขนาดนี้นะครับ บอกไว้ก่อน เต็มที่ปรับให้แค่ปีเดียว ปีถัดไปก็ไม่เท่า)
เงินเดือน Start 20,000
1ปีแรก 22,000
10ปี 51,874 (เพิ่งมีปัญญาผ่อนรถผ่อนบ้าน ตอนอายุ32)
30ปี 348,988 (อายุ 52ปี)

สังเกตไหมครับ เงินเดือน 350,000ตอนอายุ 52 ปี ปัจจุบันมีคนทำได้จริงนะครับ แต่ต้องระดับรองกรรมการผู้จัดการ หรือ CEO น่ะครับคุณถึงจะได้เงินขนาดนี้ แล้วบริษัททุกบริษัท ไม่ใช่ว่าจะจ่ายเงินขนาดนี้ให้คนอายุ 52 ปีนะครับ บางคนอายุ 50 เงินเดือน 50,000 ยังมีเลยครับ

อย่างที่บอกนะครับ เจตนาวันนี้อยากให้เด็กรุ่นใหม่ที่คิดว่าชีวิตง่ายได้รับรู้ว่าชีวิตไม่ง่ายครับ อย่าคิดว่าเรียนจบมา ทำงานซักพักเก็บเงินเรียนต่อ กลับมาซื้อรถ รับเงินเดือน5หมื่น เปิดกิจการส่วนตัว ส่งลูกเรียนอินเตอร์ คือชีวิตไม่ง่ายขนาดนั้นครับ ปัญหาครอบครัวส่วนใหญ่เกิดจากการขาดวิสัยทัศในการวางแผนอนาคตนะครับ ใครคิดได้แต่เนิ่นๆนับว่าโชคดี

สุดท้ายครับ มีสิ่งหนึ่งที่อยากฝาก สำหรับน้องๆที่บ่นว่าเหนื่อย "เรียนหนัก" "เป็นวัยรุ่นมันเหนื่อย"

"ถ้าชีวิตนี้ยังไม่ได้หาเงินเอง ผ่อนบ้าน ผ่อนรถ ส่งลูก ให้พ่อแม่ อย่ามาบ่นครับว่าเหนื่อย"

Edit เพิ่มเติมนะครับ มีหลายคนอ่านแล้วไม่เข้าใจประเด็นของกระทู้ ประเด็นของกระทู้ไม่ใช่การตำหนิเด็กที่มีรสนิยมสูง ไม่ใช่การตำหนิคนที่ชอบกินหรูอยู่สบาย เจตนาของผมคือหวังว่าเด็กวัยรุ่นที่ยังเรียนไม่จบและรสนิยมสูงมีการวางแผนรองรับอนาคต
การมีความฝันเป็นสิ่งที่ดีครับ
การมีความต้องการความอยากได้เป็นสิ่งที่ดีครับ มันทำให้มนุษพัฒนา
แต่ถ้าอยากได้ อยากเป็น อยากมี แต่ไม่มีการกระทำ หรือแผนการเลย ต่างหากครับที่น่าเป็นห่วง

ส่วนที่ผมเอาเงินเดือนมาเปรียบเทียบ จริงอยู่ครับว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะต้องทำงานประจำ แต่มันเป็นวิธีการนำเสนอที่อ่านแล้วเข้าใจได้ง่ายครับ

Edit 2
สืบเนื่องจากกระทู้ของผมมีทั้งผู้เห็นด้วยและไม่เห็นด้วย ผู้ที่ได้รับประโยชน์และคิดว่าไม่มีประโยชน์ แต่ผมสะดุดตรงที่มีคนแนะนำผมว่า นอกจากจะเตือนสติแล้ว ควรให้คำแนะนำเด็กรุ่นใหม่บ้าง ผมเลยเขียนกระทู้จากประสบการณ์ส่วนตัวเพิ่มเติม (อาจไม่ถูกจริตหลายๆท่าน แต่คิดว่าอยากให้ผู้อ่านได้ประโยชน์ครับ)
ลองตามอ่านดูนะครับ
--->  http://pantip.com/topic/33722587
แก้ไขข้อความเมื่อ

แสดงความคิดเห็น
โปรดศึกษาและยอมรับนโยบายข้อมูลส่วนบุคคลก่อนเริ่มใช้งาน อ่านเพิ่มเติมได้ที่นี่