สุกี้ตี๋น้อย (บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด) มีการเติบโตของรายได้และกำไรอย่างก้าวกระโดดในช่วงหลายปีที่ผ่านมาครับ โดยมีข้อมูลสรุปดังนี้:
ผลประกอบการย้อนหลังของสุกี้ตี๋น้อย (บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด):
ปี 2562:
รายได้: 499 ล้านบาท
กำไร: 15 ล้านบาท
ปี 2563:
รายได้: 1,223 ล้านบาท
กำไร: 140.3 ล้านบาท
ปี 2564:
รายได้: 1,572 ล้านบาท
กำไร: 147 - 148 ล้านบาท
ปี 2565:
รายได้: 3,976 ล้านบาท
กำไร: 591 - 591.5 ล้านบาท
ปี 2566:
รายได้: 5,244 - 5,262 ล้านบาท
กำไร: 907 - 913 ล้านบาท
ปี 2567:
รายได้: 7,075 ล้านบาท
กำไร: 1,168 - 1,169 ล้านบาท
ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 (Q1/2568):
กำไรสุทธิ: 271 ล้านบาท
สุกี้ตี๋น้อยสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลจากกลยุทธ์ที่เฉียบคมและเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยมีเทคนิคสำคัญดังนี้ครับ:
กลยุทธ์ราคาที่คุ้มค่า (Value for Money):
ราคาเข้าถึงง่าย: สุกี้ตี๋น้อยตั้งราคาบุฟเฟต์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (เริ่มต้น 219 บาท ไม่รวมเครื่องดื่มและ Vat) ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกว่า "คุ้มค่า" เมื่อ เทียบกับคุณภาพและปริมาณอาหารที่ได้รับ
คุณภาพวัตถุดิบเกินราคา: แม้ราคาจะถูก แต่สุกี้ตี๋น้อยยังคงรักษาคุณภาพของวัตถุดิบได้ดี เช่น เนื้อวัวออสเตรเลีย หรือชีส ซึ่งสร้างความประทับใจและเกินความคาดหวังของลูกค้า
การเปิดร้านในช่วงเวลาที่แตกต่าง (Extended Operating Hours):
เปิดตั้งแต่เที่ยงวันถึงตีห้า: นี่คือจุดแข็งที่สำคัญมาก สุกี้ตี๋น้อยเจาะกลุ่มลูกค้าที่มองหาร้านอาหารช่วงดึก หรือ "แก๊งนอนดึก" ซึ่งร้านอาหารบุฟเฟต์สุกี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดให้บริการในเวลานี้ ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรอบการใช้บริการต่อวันได้อย่างมหาศาล
ทำเลที่ตั้งและการจัดการคิว:
เน้นสาขา Stand Alone ที่มีที่จอดรถเยอะ: การเลือกทำเลที่สามารถรองรับลูกค้าจำนวนมาก และมีที่จอดรถสะดวกสบาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านรองรับการหมุนเวียนของลูกค้าได้ดี
บริหารจัดการคิวอย่างมีประสิทธิภาพ: แม้คิวจะยาว แต่มีการจัดการคิวที่ดี ทำให้ลูกค้าอดทนรอได้ ซึ่งแปลว่ามีลูกค้าจำนวนมากพร้อมที่จะใช้บริการ
การควบคุมมาตรฐานและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง:
ควบคุมคุณภาพอาหารและบริการ: มีทีมตรวจสอบคุณภาพ (QA) และใช้ Mystery Shopper (ผู้มาใช้บริการปริศนา) เพื่อควบคุมมาตรฐานให้เท่ากันทุกสาขา
พัฒนาเมนูใหม่ๆ: คิดค้นเมนูใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความหลากหลาย ทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและกลับมาใช้บริการซ้ำ
การบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพภายใน:
ลด Food Waste: มีการพยายามลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี
วัฒนธรรมองค์กรแบบ Agile และ Growth Mindset: ทีมงานและพนักงานพร้อมปรับเปลี่ยนและทดลองไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ หากกลยุทธ์ไหนไม่ได้ผล ก็กล้าที่จะยอมรับและปรับเปลี่ยน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
การสร้างประสบการณ์ลูกค้า:
บริการดี: พนักงานผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี มี Service Mind
สภาพแวดล้อม: ร้านแอร์เย็น ที่นั่งกว้างขวาง ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย
สรุปคือ สุกี้ตี๋น้อยประสบความสำเร็จจากการรวมกันของ กลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงง่ายแต่คุณภาพเกินคาด (Value Proposition), การสร้างความแตกต่างในตลาด (Niche Timing & Location), การบริหารจัดการการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และ การเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ครับ
ในสภาวะที่ร้านอาหารอื่นพากันปิด พากันเลิกกิจการ แต่มีร้านหนึ่งที่เติบโต กำไร เขาบริหารอย่างไร?
ผลประกอบการย้อนหลังของสุกี้ตี๋น้อย (บริษัท บี เอ็น เอ็น เรสเตอรองท์ กรุ๊ป จำกัด):
ปี 2562:
รายได้: 499 ล้านบาท
กำไร: 15 ล้านบาท
ปี 2563:
รายได้: 1,223 ล้านบาท
กำไร: 140.3 ล้านบาท
ปี 2564:
รายได้: 1,572 ล้านบาท
กำไร: 147 - 148 ล้านบาท
ปี 2565:
รายได้: 3,976 ล้านบาท
กำไร: 591 - 591.5 ล้านบาท
ปี 2566:
รายได้: 5,244 - 5,262 ล้านบาท
กำไร: 907 - 913 ล้านบาท
ปี 2567:
รายได้: 7,075 ล้านบาท
กำไร: 1,168 - 1,169 ล้านบาท
ผลประกอบการไตรมาส 1 ปี 2568 (Q1/2568):
กำไรสุทธิ: 271 ล้านบาท
สุกี้ตี๋น้อยสามารถสร้างกำไรได้อย่างมหาศาลจากกลยุทธ์ที่เฉียบคมและเข้าใจลูกค้าอย่างลึกซึ้ง โดยมีเทคนิคสำคัญดังนี้ครับ:
กลยุทธ์ราคาที่คุ้มค่า (Value for Money):
ราคาเข้าถึงง่าย: สุกี้ตี๋น้อยตั้งราคาบุฟเฟต์ที่สามารถเข้าถึงได้ง่าย (เริ่มต้น 219 บาท ไม่รวมเครื่องดื่มและ Vat) ทำให้ลูกค้าส่วนใหญ่รู้สึกว่า "คุ้มค่า" เมื่อ เทียบกับคุณภาพและปริมาณอาหารที่ได้รับ
คุณภาพวัตถุดิบเกินราคา: แม้ราคาจะถูก แต่สุกี้ตี๋น้อยยังคงรักษาคุณภาพของวัตถุดิบได้ดี เช่น เนื้อวัวออสเตรเลีย หรือชีส ซึ่งสร้างความประทับใจและเกินความคาดหวังของลูกค้า
การเปิดร้านในช่วงเวลาที่แตกต่าง (Extended Operating Hours):
เปิดตั้งแต่เที่ยงวันถึงตีห้า: นี่คือจุดแข็งที่สำคัญมาก สุกี้ตี๋น้อยเจาะกลุ่มลูกค้าที่มองหาร้านอาหารช่วงดึก หรือ "แก๊งนอนดึก" ซึ่งร้านอาหารบุฟเฟต์สุกี้ส่วนใหญ่ไม่ได้เปิดให้บริการในเวลานี้ ทำให้สามารถขยายฐานลูกค้าและเพิ่มรอบการใช้บริการต่อวันได้อย่างมหาศาล
ทำเลที่ตั้งและการจัดการคิว:
เน้นสาขา Stand Alone ที่มีที่จอดรถเยอะ: การเลือกทำเลที่สามารถรองรับลูกค้าจำนวนมาก และมีที่จอดรถสะดวกสบาย เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ร้านรองรับการหมุนเวียนของลูกค้าได้ดี
บริหารจัดการคิวอย่างมีประสิทธิภาพ: แม้คิวจะยาว แต่มีการจัดการคิวที่ดี ทำให้ลูกค้าอดทนรอได้ ซึ่งแปลว่ามีลูกค้าจำนวนมากพร้อมที่จะใช้บริการ
การควบคุมมาตรฐานและพัฒนาอย่างต่อเนื่อง:
ควบคุมคุณภาพอาหารและบริการ: มีทีมตรวจสอบคุณภาพ (QA) และใช้ Mystery Shopper (ผู้มาใช้บริการปริศนา) เพื่อควบคุมมาตรฐานให้เท่ากันทุกสาขา
พัฒนาเมนูใหม่ๆ: คิดค้นเมนูใหม่ๆ เพื่อดึงดูดลูกค้าและสร้างความหลากหลาย ทำให้ลูกค้ารู้สึกตื่นเต้นและกลับมาใช้บริการซ้ำ
การบริหารจัดการต้นทุนและประสิทธิภาพภายใน:
ลด Food Waste: มีการพยายามลดปริมาณอาหารเหลือทิ้ง ซึ่งช่วยควบคุมต้นทุนวัตถุดิบได้ดี
วัฒนธรรมองค์กรแบบ Agile และ Growth Mindset: ทีมงานและพนักงานพร้อมปรับเปลี่ยนและทดลองไอเดียใหม่ๆ อยู่เสมอ หากกลยุทธ์ไหนไม่ได้ผล ก็กล้าที่จะยอมรับและปรับเปลี่ยน เพื่อให้ธุรกิจเติบโตและแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็ว
การสร้างประสบการณ์ลูกค้า:
บริการดี: พนักงานผ่านการฝึกอบรมมาอย่างดี มี Service Mind
สภาพแวดล้อม: ร้านแอร์เย็น ที่นั่งกว้างขวาง ทำให้ลูกค้ารู้สึกสบาย
สรุปคือ สุกี้ตี๋น้อยประสบความสำเร็จจากการรวมกันของ กลยุทธ์ราคาที่เข้าถึงง่ายแต่คุณภาพเกินคาด (Value Proposition), การสร้างความแตกต่างในตลาด (Niche Timing & Location), การบริหารจัดการการดำเนินงานที่มีประสิทธิภาพ และ การเข้าใจความต้องการของลูกค้าอย่างแท้จริง ครับ